ตอนที่ 159 พวกเราหมั้นกันเถอะ

เดิมพันเสน่หา

เมืองหลวงของประเทศเอ้าตู หิมะตกติดต่อกันสามวัน ในที่สุดเช้าวันที่สี่ ท้องฟ้าก็กลับมาสดใส แสงแดดที่ห่างหายไปนานกลับมาสว่างจ้าอีกครั้ง หลังจากหิมะตกอย่างหนักในที่สุดโลกก็กลับมาสดใส

บ้านเมืองหลังจากหิมะตก บนพื้นขาวโพลน สะอาดสะอ้าน ใบไม้บนต้นไม้ร่วงหล่นจนหมด ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวเล็กๆ พร้อมทั้งมีหยดน้ำแข็งสีใสแวววาวเกาะอยู่ ต้นสนที่เขียวตลอดฤดูร้อนและหนาว ปกคลุมไปด้วยหิมะ อาคารบ้านเรือน ถนนหนทางล้วนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนไปหมด

แสงแดดที่ส่องลงมาบนเมืองที่ขาวสะอาดโพลน สะท้อนเป็นรุ้งเจ็ดสี สวยราวกับบ้านเมืองในนิยาย ทว่าบ้านเมืองนี้กลับเหน็บหนาวมากเป็นพิเศษ ประเทศเอ้าตูอยู่ใกล้กับซีกโลกเหนือมากกว่าเมืองหลง ทำให้อากาศของประเทศนี้หนาวกว่าเมืองหลง ผู้คนบนท้องถนนสวมเสื้อกันหนาวตัวหนา เวลาที่พูดคุยกันจะมีควันสีขาวลอยออกมา

ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะชอบหิมะ แต่เพราะเป็นคนที่กลัวความหนาวเธอจึงทำได้แค่มอง ไม่ยอมเดินออกไปจากห้อง เหลิ่งรั่งปิงขอลางานกับไซ่ตี้จวิ้น เธอขออยู่คอนโดมิเนียมแล้วทำงานออกแบบอาคารอัจฉริยะ 5A งานออกแบบนี้เธอทำมานานกว่าสองเดือนแล้ว และออกแบบเสร็จไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ 80% แล้ว ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม

ตอนเที่ยง ไซ่ตี้จวิ้นมาที่คอนโดมิเนียมพร้อมกับข้าวกล่อง เขาพูดอย่างหยอกล้อ “คิดไม่ถึงจริงๆ นะครับ ผู้หญิงที่เก่งอย่างคุณเหลิ่งจะกลัวอากาศหนาวมากขนาดนี้ หิมะยังทันไม่ทันตกหนัก คุณก็ปิดประตูไม่ยอมออกไปแล้ว”

เหลิ่งรั่วปิงกินมื้อเที่ยงที่เขาเอามาฝากอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหัวเราะเยาะพนักงานดีเด่นที่ทำงานให้คุณทั้งวันแบบนี้ มันจะดีเหรอคะ”

ไซ่ตี้จวิ้นคลี่ยิ้มอ่อนโยน “คุณออกแบบไปถึงไหนแล้วครับ” พลางตักเนื้อให้เธอหนึ่งชิ้น “กินเนื้อเยอะๆ นะครับ คุณผอมเกินไปแล้ว”

“ประมาณสิ้นเดือนนี้น่าจะเสร็จแล้วค่ะ”

“ทำได้ดีมากเลยครับ” ไซ่ตี้จวิ้นมองหน้าเหลิ่งรั่วปิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ช่วงนี้คุณโหมทำงานหนักติดต่อกันหลายวัน ผมกลัวว่าร่างกายของคุณจะไม่ไหว อันที่จริงคุณไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้”

เดิมทีโปรเจคนี้เขาให้เธอรับผิดชอบเพราะอยากให้เธอได้ฝึกฝนเท่านั้น เขาไม่ได้คิดที่จะหากำไรจากโปรเจคนี้ เหลิ่งรั่วปิงตั้งใจทำงานแทบเป็นแทบตาย ทำให้ไซ่ตี้จวิ้นรู้สึกว่าไม่ตรงกับความต้องการแรกของเขา

เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจความหวังดีของไซ่ตี้จวิ้น เธอยิ้มด้วยความจริงใจ “ฉันมีความสุขมากค่ะ คุณไซ่ตี้จวิ้น การออกแบบอาคารเป็นงานที่ฉันรักและเป็นความฝันของฉัน การทำงานที่รักเพื่อสานฝันของตัวนเอง ทำให้ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณคุณมากนะคะ”

“คุณมีความสุขก็ดีแล้วครับ” ไซ่ตี้จวิ้นดึงทิชชู่มาเช็ดคราบมันบนริมฝีปากของเธอ เขาอ่อนโยนเหมือนแอ่งน้ำในฤดูใบไม้ผลิ “คุณก็รู้นี่หนิครับ ผมไม่ต้องการคำขอบคุณของคุณ”

เขาเช็ดปากให้เธอ เหมือนเป็นคนรักของเธอมาแล้วหลายปี

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ไซ่ตี้จวิ้นก็คอยเอาใจใส่เธอมาโดยตลอด เขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน มีความเป็นสุภาพบุรุษ รู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรและเป็นคนที่อบอุ่นมาก สิ่งที่เขาทำถึงแม้บางครั้งมันจะดูเหมือนเธอกับเขาสนิทสนมกันเกินไป แต่กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจ

ระหว่างเธอกับไซ่ตี้จวิ้น เหลิ่งรั่วปิงเป็นฝ่ายรับมาโดยตลอด เธอได้รับความอบอุ่นจากเขา ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ได้รับความช่วยเหลือ ได้รับความเชื่อใจและรักใคร่จากเขา แต่เธอกลับไม่สามารถทำอะไรตอบแทนเขาไม่ได้เลย

ดังนั้น เหลิ่งรั่วปิงจึงรู้สึกผิด “คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณอย่ารอฉันเลยค่ะ” เธอไม่อาจสามารถรักเขาได้ เขาไม่ควรเสียเวลากับเธอ มีผู้หญิงดีๆ มากมายที่รักเขา เหมือนผู้หญิงที่บุกมาหาเขาในคืนนั้น ไซ่ตี้จวิ้นมีเป็นทางเลือกที่ดีกว่านี้

ไซ่ตี้จวิ้นพยายามกลั้นความผิดหวังและเจ็บปวดเอาไว้ในใจ เขายังคงคลี่ยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น คล้ายตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นพระอาทิตย์ในใจของเธอ “ทำไมครับ คุณบอกว่าจะพิจารณาผมไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงปฏิเสธผมเร็วขนาดนี้”

เหลิ่งรั่วปิงเม้มกัดริมฝีปาก หลุบตาลง ผมยาวประบ่าของเธอบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง “คุณไซ่ตี้จวิ้นคะ ความรักของฉันถูกวันเวลาบั่นทอนไปจนหมดสิ้นแล้ว ฉันไม่สามารถรักใครไม่ได้อีก ดังนั้น…”

“คุณไม่ต้องรักผม ขอแค่ผมรักคุณก็พอแล้วครับ” ไซ่ตี้จวิ้นเอื้อมมือขึ้นมาทัด เขาคล้องผมของเธอไว้หลังใบหู มองดูใบหน้าที่งดงามและขนตาที่สั่นเทา “หรือคุณต้องการจะบอกผมว่า คุณยังไม่ลืมหนานกงเยี่ย”

“ไม่ว่าฉันจะลืมหรือไม่ลืมเขา สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม ฉันกับคุณหนานกงเยี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแล้ว ” แววตาของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งงัน นิ่งจนไร้ความรู้สึก “เรื่องของฉันกับเขามันไม่ใช่ความสัมพันธ์งดงามอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นด้วยเรื่องสกปรก ตอนจบก็น่ารังเกียจมาก ดังนั้นฉันจึงไม่มีเหตุผลให้อะไรต้องคิดถึงมันค่ะ”

ถึงแม้เธอจะพูดเหมือนตัดใจได้แล้ว แต่ยังคงมีความเศร้าฉายออกมาจากแววตาคู่สวย หากถ้าจะบอกว่ากำลังเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ไซ่ตี้จวิ้นฟัง สู้บอกว่าเธอกำลังเจ็บปวดยังจะดีเสียกว่า เธอเจ็บปวดที่ชีวิตของเธอต้องเลือกเดินทางนั้น

ไซ่ตี้จวิ้นจับจ้องดวงตาคู่สวยอยู่นาน เขาค่อยๆ เลื่อนตัวเข้าไปใกล้เหลิ่งรั่วปิง แล้วก้มลงประทับจูบจุมพิตบนแก้มของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อคุณไม่สามารถรักใครไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณก็อยู่ข้างผมสิครับ คอยดื่มด่ำกับความรักของผม หื้ม?” นิ้วมือเรียวยาวลูบแก้มของเธอเบาๆ “เราหมั้นกันเถอะ”

หมั้นกับเขา?

ดวงตากลมโตของเหลิ่งรั่วปิงเบิกกว้าง เธอกระพริบตาปริบๆ มองดูผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้า ใบหน้าของเขาหล่อเหลาและอ่อนโยน “คุณบอกว่าอะไรนะคะ”

“หมั้นกับผม” ไซ่ตี้จวิ้นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของเขาลุ่มลึก “ในเมื่อคุณคิดจะอยู่ที่ประเทศเอ้าตูในฐานะฉู่หนิงซยาตลอดไปแล้ว อีกทั้งคุณเองก็ไม่คิดจะรักใคร ถ้าอย่างนั้น…” กุมมือเธอเบาๆ “คุณให้โอกาสผมสักครั้ง ให้ผมได้รักคุณได้ไหมครับ”

“…” เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้จะตอบอย่างไรยังไงดี เธออยากจะหลบสายตาของเขาแต่ก็ไม่สามารถหลบไม่ได้ “คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ แต่ฉัน… ชีวิตนี้ฉันอาจจะไม่สามารถตอบตกลงคุณไม่ได้…”

“ผมไม่ต้องการให้คุณทำอะไรเพื่อผม!” เขาดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ สวมแหวนลงบนนิ้วกลางข้างซ้าย “หมั้นกับผมนะครับ”

แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เหลิ่งรั่วปิงไม่สามารถทนมองไม่ได้ เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย “ฉันขอเวลาคิดหน่อยนะคะ”

“นานเท่าไหร่ครับ” ถึงแม้ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาก็ยินดีที่จะรอ แต่ว่าเขาอยากได้วันเวลาที่ชัดเจน

“สิ้นเดือนนี้จะมีงานประชุมนานาชาติด้านการออกแบบ ถ้าคุณอนุญาต ฉันขอเอางานออกแบบอาคารอัจฉริยะ 5A ไปร่วมงาน หลังจากงานเลิก ฉันจะให้คำตอบคุณค่ะ”

“ครับ” ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มอย่างมีความสุข ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มร่า ยังดีที่เวลาไม่นานมาก แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เขารอได้ “ผมเองก็อยากให้คุณไปร่วมงานนี้อยู่พอดี นี่เป็นโอกาสดีในการเปิดตัวคุณในวงการออกแบบของประเทศเอ้าตู ผมสนับสนุนคุณเต็มที่ครับ”

เหลิ่งรั่วปิงอยากจะบอกขอบคุณเขามาก แต่เธอรู้ดีว่าเขาไม่อยากได้ยินคำนี้ เธอจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับเขา

“ฉันขอคืนแหวนให้คุณก่อนนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงกำลังจะถอดแหวนออกมา แต่กลับถูกไซ่ตี้จวิ้นห้ามเอาไว้ “แหวนที่ผมให้คุณ ผมไม่ปล่อยให้คุณถอดออกมาหรอก ผมเชื่อว่าครึ่งเดือนหลังจากนี้ คุณต้องตอบตกลงผมแน่นอน ไม่อย่างนั้นคุณจะไปหาผู้ชายดีๆ อย่างผมจากที่ไหนได้อีก หื้ม?”

เหลิ่งรั่วปิงอมยิ้มแล้วก้มหน้าลง เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรยังไง และไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไรยังไง เขาเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี

ไซ่ตี้จวิ้นรู้ว่าไม่ควรบีบบังคับเหลิ่งรั่วปิงจนเกินไป เขาจึงหัวเราะออกมาเบาๆ “ครับๆ ผมไปทำงานก่อนนะ บ๊ายบายๆ”

“ค่ะ บ๊ายบายๆ”

ไซ่ตี้จวิ้นหยุดชะงัก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจหอมแก้มบอกลาเธอ

เขาทำเหมือนเหลิ่งรั่วปิงคือว่าที่เจ้าสาวของตนเองไปแล้ว

ทุกการกระทำของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก ความใกล้ชิดสนิทสนมที่เขาทำ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจ

มองดูประตูห้องปิดลง ไซ่ตี้จวิ้นกลับไปแล้ว เหลิ่งรั่วปิงดึงสายตาของตนเองกลับ เธอมองแหวนบนนิ้วกลางข้างซ้ายของตนเอง แหวนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าราคาไม่ธรรมดา เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาเตรียมของขวัญให้เธอตั้งแต่เมื่อไรหร่

ตั้งแต่อุบัติเหตุในครั้งนั้น เขายอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยชีวิตเธอ เธอก็ไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับความรู้สึกที่เขามีต่อเธออีก

เขารักเธอ รักเธอจากใจจริง

ว่ากันว่า วิธีการลืมความรักครั้งเก่าที่ดีที่สุด คือการเริ่มต้นด้วยความรักครั้งใหม่ ไซ่ตี้จวิ้นรักเธอมาก ทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดี บางทีการเลือกเขา คงจะทำให้เธอหาคำตอบในบั้นปลายชีวิตของเธอได้แล้ว ใครบอกว่ารักแรกพบจะเป็นรักชั่วนิรันดร์ บางทีอยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็สามารถรักกันก็ได้

เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าต่าง มือเรียวสวยแตะขอบหน้าต่าง มองดูลานจอดรถชั้นล่าง

ร่างสูงโปร่งของไซ่ตี้จวิ้นเดินออกไปจากคอนโดมิเนียม เขาเดินเข้าไปในรถสีดำคันหรู แล้วขับไกลออกไป บนโลกที่กว้างใหญ่นี้ รถยนต์ของเขาเหมือนเอลฟ์สีดำตัวเล็กๆ

จนกระทั่งรถขับพ้นสายตาไป เหลิ่งรั่วปิงดึงสายตากลับมา จ้องมองดูแหวนอยู่นาน สุดท้าย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เลื่อนไปที่เบอร์ของไซ่ตี้จวิ้น ส่งข้อความไปหาเขาว่า [‘ขับรถดีๆ นะคะ]’

ไซ่ตี้จวิ้นที่กำลังขับรถอยู่นั้น ตอนที่เห็นข้อความ ใบหน้าของเขาก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม

*****

เวลาประมาณบ่ายสอง ประตูห้องถูกคนเคาะ จากเสียงเคาะประตู เหลิ่งรั่วปิงมั่นใจว่าคนที่มาคือไซ่หย่าเซวียน เธอมาหาตนไม่มีเรื่องอื่น นอกจากช้อปปิ้ง กินข้าวและวิธีการจีบฉู่เทียนรุ่ย

หึ!

เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะด้วยความจนปัญญา เธอวางดินสอและไม้บรรทัดในมือลง ลุกขึ้นไปเปิดประตู

พอเปิดประตู ก็เห็นใบหน้าเล็กๆ ของไซ่หย่าเซวียนโผล่มาตรงหน้า “หนิงซยา พวกเราไปช้อปปิ้งกันดีไหม”

วันนี้ไซ่หย่าเซวียนสวมเสื้อกันหนาวตัวหนา หมวกแคชเมียร์ถักและถุงมือ แก้มของเธอแดงเป็นลูกแอปเปิ้ลเพราะอากาศที่หนาวจัด

เหลิ่งรั่วปิงเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างไม่สนใจ เธอตอบพูดออกมาสองคำว่าพยางค์ “ไม่ไป”

ไซ่หย่าเซวียนรีบวิ่งตามเข้ามา “ทำไมถึงไม่ไป”

“อากาศหนาว” เหลิ่งรั่วปิงหยิบดินสอและไม้บรรทัดขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจทำงานของเธอต่อ ด้วยสีหน้าของเธอเรียบเฉย

“หนิงซยา เธอไปเถอะนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะหาข้ออ้างอะไรในการเจอพี่เทียนรุ่ย” ก่อนหน้านี้เธอเชื่อฟังคำพูดของเหลิ่งรั่วปิง แกล้งทำเป็นผู้หญิงเย็นชา ตอนนี้จะให้เธอไปตามตอแยเขาก็คงไม่ถูก ต้องมีเหลิ่งรั่วปิงไปด้วย ถึงจะมีเหตุผลในการเจอฉู่เทียนรุ่ย หิมะตกหนักมาสามวันแล้ว และเธอก็ไม่ได้เจอฉู่เทียนรุ่ยมาสามวัน คิดถึงเขาจนใจจะขาดแล้ว

“แต่ว่า…” เหลิ่งรั่วปิงยังคงสนใจภาพวาดของตนเป็นหลัก เธอหันไปพูดกับไซ่หย่าเซวียน “ฉันไม่อยากทำให้ตัวเองต้องหนาวตาย เพราะช่วยให้เธอได้กลายเป็นพี่สะใภ้ของฉัน”

“นี่ ฉู่หนิงซยา เธอมันลืมบุญคุณจริงๆ ครั้งที่แล้วกู้จือเหาคอยตามตอแยเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันออกหน้าช่วย ไม่รู้ว่าเธอจะถูกตาบ้านั่นทำอะไรบ้าง ถ้าเธอยังใจจืดใจดำแบบนี้ คราวหน้าถ้าฉันไม่ช่วยเธอก็ห้ามมาโทษกันนะ!”

“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “จ้จ๊ะๆๆ ไปก็ไป ถ้าวันนี้ฉันไม่ออกไปกับเธอ ฉันคงต้องรู้สึกผิดแน่ๆ!”