ตอนที่ 131.2 ท่องเที่ยวทะเลสาบ (2) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เหนียนซูหลานเมื่อคืน สวมชุดสีแดง ประทินโฉมจนสวยหยาดเยิ้มดุจปีศาจ ทำให้ใจหวั่นไหว มิอาจควบคุม เพียงชายตามอง ผู้ชายบนโลกต่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล

เหนียนซูหลานวันนี้แต่งตัวได้ไม่เลว ทว่าในความงดงามแฝงด้วยความสง่างามหลายส่วน บุคลิกดูสูงส่ง ทว่ากลับไม่สูญเสียความสง่างามของสตรีไป

ที่ทำให้เล่อเหยาเหยาตกตะลึง มิใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นเหตุใดเหนียนซูหลานและพญายมจึงปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน!

เมื่อครู่เธอรู้เพียงว่าพญายมถูกไทเฮาเชิญเข้าไปในวังหลวง ตอนนี้เห็นเขาอยู่กับเหนียนซูหลาน หรือเมื่อครู่นั้น เขาอยู่กับเหนียนซูหลานตลอดเวลา!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจพรั่งพรูความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คล้ายภายในใจมีบางอย่างหมักบ่มจนส่งกลิ่นเปรี้ยวออกมา

กระทั่งสีหน้าบนใบหน้าเล็ก ดูเคร่งขรึมลงหนึ่งส่วน

ทว่าแม้จะรู้สึกไม่สบายใจ เล่อเหยาเหยายังทำว่าตนเป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่งได้ ดังนั้นหลังจัดการความผิดปกติในใจ เล่อเหยาเหยาพลันเดินขึ้นมา เอ่ยอย่างนอบน้อมกับพญายมว่า

“คารวะท่านอ๋อง”

เล่อเหยาเหยาเวลานี้ ก้มหน้าหลุบตา สวมชุดขันทีบนตัว ทำให้เธอดูไม่แตกต่างจากขันทีคนอื่น

แต่สำหรับความน่ารักเฉลียวฉลาดของเธอ พญายมเพียงเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม

ดวงตาเย็นชาหนาวเหน็บคู่นั้น ตกอยู่ที่คนตัวเล็กที่ก้มหน้าหลุบตาด้านหน้าตลอดเวลา

สายตาคมกริบ ลึกล้ำเช่นนี้ของเขา ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงด้านหลังชาวาบ

ทว่าเธอยังนิ่งเงียบไม่พูดจา

ทันใดนั้น บรรยากาศดูแปลกไป เหนียนซูหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างพญายม ก็คล้ายรับรู้ถึงบางอย่าง ดวงตาคู่งามที่แต่งแต้มอย่างหยาดเยิ้มคู่นั้น อดมองไปยังขันทีน้อยตรงหน้าอย่างแปลกใจไม่ได้

เห็นเพียงขันทีน้อยตรงหน้า รูปโฉมงดงามไร้เดียงสา ผิวนั้นคล้ายไข่ไก่ที่ถูกกะเทาะเปลือก เนียนขาวหมดจดจนทำให้คนริษยา

เป็นครั้งแรกของเธอที่เห็นขันทีสดใสน่ารักเพียงนี้!

แม้ขันทีน้อยนี้จะรูปโฉมน่ามอง สายตาจวิ้นอวี๋เหตุใดจึงมักมองไปที่ ‘เขา’ กัน!

สำหรับเรื่องนี้ เหนียนซูหลานรู้สึกสับสน

แต่เวลานี้ตงฟางไป๋ที่อยู่ตรงข้าม หลังเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาตะลึงชั่วขณะ แววตาปรากฎความประหลาดใจขึ้นมา

ทว่าได้สติอย่างรวดเร็ว

บนใบหน้าหล่อเหลายิ้มดุจลมในฤดูใบไม้ผลิขึ้นมา

“จวิ้นอวี๋ ท่านมาแล้วหรือ”

“อืม”

เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงพยักหน้า เป็นการตอบรับ

เวลานี้ สายตาเคร่งขรึมของเขา จึงเบือนออกจากเล่อเหยาเหยา ก่อนมองไปยังตงฟางไป๋ที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนเอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า

“เมื่อครู่พวกเจ้าทำสิ่งใดกัน”

“อ้อ เมื่อครู่หรือ น้องเหยาอยากเรียนพิณขึ้นมา ข้าจึงสอนเขา”

สำหรับสีหน้าเคร่งขรึมของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตงฟางไป๋ชินชาจนเป็นเรื่องปกติแล้ว

เพราะรู้จักกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาหลายปี ใบหน้าเขามักเย็นชาอยู่ตลอด กระทั่งยิ้มเพียงเล็กน้อย ก็สิ้นเปลืองอย่างมาก

เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงขมวดคิ้ว สายตามองไปยังพิณตัวนั้น ทันใดนั้น ก็เบือนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเม้มริมฝีปากแน่นชั่วขณะ ไม่พูดจา เพียงสาวเท้าเข้าไปยังโต๊ะหินตัวนั้น

ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น พลันสั่งให้คนไปยกน้ำชา

เสี่ยวถังรู้สถานะของเหลิ่งจวิ้อวี๋ ย่อมไม่กล้าล่าช้า ออกไปจัดเตรียม

เพราะการปรากฏตัวของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาจึงไม่ได้ฝีกฝนพิณต่อ เพราะเจ้านายของเธอมาแล้ว จึงย่อมต้องปรนนิบัติเจ้านายตน

โดยเฉพาะเจ้านายเธอมีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ ไม่รู้วันนี้ผู้ใดยั่วโมโหเขา จึงทำหน้าบูดมาถึงที่นี่

ประเดี๋ยวเธอต้องท่องไว้ว่าห้ามยั่วโมโหเขา มิฉะนั้นต้องเจอกับบทเรียนที่อาจติดตัวไปจนตายแน่นอน

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เธอได้มายืนอยู่ด้านหลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋แล้ว

และเวลานี้ ตงฟางไป๋และเหลิ่งจวิ้นอวี๋ รวมทั้งเหนียนซูหลานต่างนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

เสี่ยวถังหลังจากยกชาเข้ามา ตงฟางไป๋จึงเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

“เหตุใดวันนี้ท่านจึงมีเวลาว่าง แวะมาที่นี่”

“เพียงออกจากวัง เห็นว่ายังไม่เคยมาที่โรงหมอของเจ้าเลย อีกทั้งเบื่อหน่ายจึงมาที่นี่”

“อืม ที่แท้เป็นเช่นนี้”

สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตงฟางไป๋เพียงยิ้มบางๆ ตอบกลับไป ทันใดนั้น สายตามองไปยังเหนียนซูหลานที่นั่งอยู่ข้างกายเหลิ่งจวิ้นอวี๋

ประจวบเหมาะกับที่เหนียนซูหลานก็เบนสายตามาที่ตงฟางไป๋พอดี หลังสบตากับตงฟางไป๋ คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงยกริมฝีปากแดงหัวเราะออกมา เสียงนั้นดุจเสียงนกกระจิบ ไพเราะน่าฟังอย่างที่สุด

“เรื่องเมื่อคืน ต้องขอบคุณท่านหมอไป๋ ที่แท้หมอเทวดาชื่อเสียงโด่งดัง กลับอายุน้อยเช่นนี้”

เห็นเพียงเหนียนซูหลานเอ่ยพลางยิ้มแย้ม ดวงตากลมโตคู่งามนั้น เวลานี้จ้องมองที่ตงฟางไป๋ คำพูดที่เอ่ยออกมาดูเหมาะสม

หากเป็นชายผู้อื่น เมื่อเผชิญกับคำชื่นชมของหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ ต้องฟังจนใจเต้นระรัวแน่นอน

ทว่าหลังได้ยินคำพูดของเหนียนซูหลาน ตงฟางไป๋เพียงยิ้มจางๆ เป็นปกติ

“ฮ่า ๆ แม่นางเหนียนกล่าวเกินไปแล้ว จริงสิ เท้าที่บาดเจ็บของแม่นางยังอาการหนักหรือไม่ ต้องการให้ข้าตรวจอาการดูอีกหรือไม่”

สำหรับข้อเสนอของตงฟางไป๋ เหนียนซูหลานเพียงส่ายหน้ายิ้มๆ พลางเอ่ยว่า

“ท่านหมอไป๋ฝีการรักษายอดเยี่ยม เท้าที่บาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ต้องขอบคุณยาของท่านหมอไป๋จริงๆ ”

“ฮ่า ๆ เรื่องเล็กน้อย แม่นางเหนียนไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”

สำหรับคำขอบคุณของเหนียนซูหลาน ตงฟางไป๋เพียงตอบรับอย่างสง่างาม

สองคนสนทนากันสองประโยค พลันเห็นเหนียนซูหลานฉุกคิดบางอย่างได้ ก่อนมองสีของท้องฟ้า

เห็นเพียงเวลานี้ใกล้จะบ่ายคล้อยแล้ว ไม่นานท้องฟ้าจะมืดมิด

ไม่ง่ายกว่าเธอจะอ้างคำสั่งของท่านป้า ทำให้พี่อวี๋ต้องมาอยู่กับเธอ ฉะนั้นย่อมไม่กลับไปเช่นนี้แน่

แต่เกรงว่าพี่อวี๋จะส่งตัวเธอกลับไป ดังนั้น เหนียนซูหลานจึงขบคิดไปมา บนใบหน้างดงามพลันฉุกคิดบางอย่างได้ ดวงตาคู่งามเป็นประกาย จากนั้นหันไปเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

“พี่อวี๋ ข้าไม่ได้กลับเมืองหลวงมาห้าปีแล้ว ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้ ทางทะเลสาบในเมืองหลวงนั้น มีเรือสำราญไม่น้อย ตอนกลางวันนั่งเรือสำราญชมทิวทัศน์อันงดงามย่อมไม่เลว แต่การชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืน คล้ายเป็นเรื่องที่น่าลองเช่นกัน เช่นนั้นมิสู้พวกเราไปนั่งเรือสำราญท่องเที่ยวทะเลสาบกันดีหรือไม่เพคะ!”

ท่าทางเหนียนซูหลานเวลานี้ คล้ายเด็กน้อยที่อ้อนวอนผู้ใหญ่ ภายในดวงตาคู่งามนั้น ดูเว้าวอนอย่างหาที่สุดไม่ได้ กระทั่งน้ำเสียงไพเราะนั้น เต็มไปด้วยความออดอ้อน

สำหรับการอ้อนวอนของสาวงามที่โดดเด่นเช่นนี้ หากเป็นชายหนุ่มผู้อื่น คงตกปากรับคำไปแล้ว ใจก็อ่อนโอนไปตามท่าทางออดอ้อนของหญิงสาว  หัวใจอ่อนยวบไปหมดแน่

แต่สำหรับการออดอ้อนของเหนียนซูหลาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงยกชาขึ้นจิบ สำหรับคำพูดของเธอ คล้ายทำเป็นหูทวนลม

เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานก็ไม่ได้ผิดหวังเสียใจใดๆ

เพราะเธอรู้จักสนิทสนมกับชายหนุ่มตรงหน้ามาตั้งแต่เด็ก สำหรับนิสัยของชายหนุ่ม จึงคุ้นชินเป็นอย่างดี

รู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไม่ยิ้มแย้ม ต่างเย็นชาไม่แยแสต่อทุกสิ่งทุกอย่าง คล้ายแม้ฟ้าจะถล่มลงมา บนใบหน้าเขาก็ไม่ปรากฏความหวาดหวั่นออกมาแม้แต่นิดเดียว

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขายิ่งเย็นชา ยิ่งทำให้เธอหวั่นไหวไม่หยุด

ไม่ว่าตอนเด็ก หรือว่าวันนี้ ใจที่เธอมีต่อเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป

พอคิดถึงตรงนี้ แววตาอ้อนวอนของเหนียนซูหลานยิ่งเข้มข้นมากขึ้น กระทั่งริมฝีปากแดงก็ยื่นออกมาเล็กน้อย

เพราะคนที่รูปโฉมงดงามโดดเด่น ไม่ว่าทำท่าทางเช่นใด ต่างสวยงามและน่ารักเช่นนี้

แต่แม้เหนียนซูหลานจะยื่นปากอย่างงดามเพียงใด สุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็เพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“ฟ้ามืดแล้ว ข้าส่งเจ้ากลับไปดีกว่า”

“เอ้อ พี่อวี๋”

สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าเหนียนซูหลานดูไม่พอใจอย่างยากที่จะบรรยาย

แววตาแฝงไปด้วยความผิดหวัง

น้ำเสียงนั้นก็ลากยาว เผยความไม่พอใจในใจเธอออกมาจนหมด

คนฉลาดย่อมฟังออกถึงความไม่พอใจของหญิงสาว แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายเห็นชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม เหนียนซูหลานถอนหายใจอย่างเสียใจ ก้มหน้าลง พร้อมเอ่ยขึ้นว่า

“ก็ได้เพคะ”

เมื่อพี่อวี๋เอ่ยเช่นนี้ เธอก็ไม่ควรเอ่ยสิ่งใด

ท้ายที่สุดแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล เธอยังมีเวลาอยู่กับเขาได้อีกบ่อยครั้ง แม้จะเป็นน้ำแข็งลึกล้ำพันปี ย่อมมีวันละลาย

พอคิดถึงตรงนี้ ในใจของเหนียนซูหลานก็เต็มไปด้วยความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้น เสียงอันสดใสพลันดังขึ้น ภายในน้ำเสียงแฝงด้วยความสนใจไม่น้อย

“เอ๋! เมื่อครู่ผู้ใดเอ่ยจะไปเที่ยวทะเลสาบกันหรือ ดีเลย เที่ยวทะเลสาบในเมืองหลวงยามค่ำคืน ถือเป็นเรื่องที่ไม่เลว บรรยากาศทั้งสวยงาม และของกินตอนเย็นแถวทะเลสาบ เรียงรายเต็มถนน มีทั้งทอดทั้งผัด รสชาติอร่อยยิ่งนัก!”

คนยังไม่ปรากฏตัว แต่เสียงมาถึงก่อนตัว

เห็นเพียงหลังเสียงสดใสนั้น สายตาทุกคนมองไปยังประตูของเรือนพักด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง

ก่อนเห็นหนานกงจวิ้นซีเวลานี้กำลังก้าวเดินตรงเข้ามาด้านใน