ตอนที่ 103 ซื่อจื่อปกป้องภรรยา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 103 ซื่อจื่อปกป้องภรรยา

อันหลิงอีโดนอันหลิงจุนกล่าวมิไว้หน้าก็ยิ่งมีโทสะ หากมิติดว่าตรงนี้มีผู้คนมากมาย นางคงตอกกลับอันหลิงจุนไปนานแล้ว

อันหลิงอีกวาดตามองโดยรอบพบว่าคนที่เดินผ่านไปมากำลังคุยเล่นกัน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็พูดเสียงดังว่า

“จุนเกอร์เอ๋อ เจ้ากล่าวว่าองค์ชายเก้าอัปลักษณ์ได้เยี่ยงไร ? อย่างไรเสียเจ้าก็เรียนเป็นเพื่อนองค์ชายเก้าหลายปี ความสัมพันธ์มิใช่ว่าดีมากหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้เจ้ามากล่าวว่าองค์ชายเก้าอัปลักษณ์”

อันหลิงอีพูดด้วยใบหน้าขุ่นเคืองราวกับว่าอันหลิงจุนทำเรื่องต่ำช้าน่ารังเกียจจนนางอดดูถูกเขามิได้

องค์ชายเก้าได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมาทอดพระเนตรทางอันหลิงอี แต่เดิมพระองค์ก็ประทับอยู่มิไกล เพียงได้ยินคำว่าอัปลักษณ์อันใดสักอย่างจึงมิได้เก็บมาใส่พระทัย ทว่าได้ยินคำพูดของอันหลิงอีอย่างชัดเจนแล้วในพระทัยก็ราวมีไฟลุกโชนขึ้นมา

“เจ้าทาสชั้นต่ำ กล้านินทาว่าข้าอัปลักษณ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ” องค์ชายเก้าดำเนินเข้ามาด้วยโทสะจนเผลอเรียกอันหลิงจุนเหมือนตอนอยู่ในวังโดยมิรู้พระองค์

คำเหยียดหยามเช่นนี้ทำให้ใบหน้าที่มีความสุขอันหลิงเกอหายไป มือที่วางอยู่ข้างกายค่อย ๆ กำหมัดแน่น ใบหน้างดงามฉายแววโกรธเคืองออกมา

แววตาของอันหลิงเกอฉายความเย็นยะเยือกทำให้องค์ชายเก้าตระหนกจนต้องก้าวถอยหลังโดยมิรู้องค์

“ครั้งก่อนตอนอยู่ในวังหลวง หม่อมฉันได้ทูลองค์ชายเก้าแล้วว่าจุนเกอร์เอ๋อคือซื่อจื่อแห่งจวนโหว แม้ฮ่องเต้ทรงมีบัญชาให้เขาเป็นเพื่อนเรียนกับเหล่าองค์ชาย แต่เขามิใช่ทาสขององค์ชายเก้า คำเรียกทาสชั้นต่ำ สองคำก็เรียกทาสชั้นต่ำ มิทราบว่าพระองค์เอาจวนโหวของเราวางในตำแหน่งใดหรือเพคะ ? ”

องค์ชายเก้าถอยหลังหนึ่งก้าว อันหลิงเกอก็เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วบังอันหลิงจุนไว้ด้านหลัง “หากองค์ชายเก้าประสงค์ใช้ฐานะองค์ชายเหยียบย่ำน้องชายของหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันจักกราบทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ ทูลถามสักคำว่าในสายพระเนตรนั้นจวนโหวของเราเป็นเพียงทาสชั้นต่ำจริงหรือไม่ ? ”

“องค์ชายเก้าพระชนมายุยังน้อยจึงตรัสมิระวังไปบ้าง คุณหนูใหญ่อันเหตุใดต้องจริงจังด้วยเล่า ? ” องค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่เสด็จเข้ามาด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์ ทว่าแววพระเนตรที่มองอันหลิงเกอมิเป็นมิตรแม้แต่น้อย

พระองค์คือโอรสของหลี่กุ้ยเฟยและยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของอันหลิงอี แน่นอนว่าพระองค์ย่อมออกหน้าแทนอันหลิงอี

“หากคุณหนูใหญ่อันกราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทจริง ๆ เกรงจักกลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่นเสียเปล่า” อากาศเย็น ทว่าจ้าวหลานหยู่ก็ถือพัดแล้วแกล้งพัดไปมา ท่าทีเสแสร้งนั้นทำให้อันหลิงเกอรู้สึกคลื่นไส้

 อันหลิงจุนกำลังจักเอ่ยก็ถูกคนผู้หนึ่งแย่งพูดเสียก่อน

มู่จวินฮานปรากฏตัวขึ้นตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรมิทราบ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาช่างดึงดูดสายตามิน้อย

ใบหน้าสง่างามของมู่จวินฮานมีรอยยิ้มเบาบางประดับอยู่ ดวงตาหงส์คู่นั้นมิแยแส ตอนมองจ้าวหลานหยู่ก็ให้ความรู้สึกเย็นชาอย่างยิ่ง “หรือจักให้อันซื่อจื่อกล้ำกลืนความโกรธและอดทนเอาไว้จึงเป็นวิธีถูกต้องที่สุด ? ”

จ้าวหลานหยู่สะบัดพัดในพระหัตถ์ ท่าทางองอาจผ่าเผย “แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ แม้ไปถึงพระกรรณของ*ฟู่หวง พระองค์ก็มิสนพระทัยหรอก”

มู่จวินฮานพยักหน้าแล้วทันใดนั้นก็สะบัดมือไปทางจ้าวหลานหยู่ ใบหลิวบนปลายนิ้วถูกเขาใช้พลังภายในผลักออกไป เกิดลมที่มองมิเห็นพุ่งไปที่ดวงพักตร์ของจ้าวหลานหยู่

จ้าวหลานหยู่รีบหลบแต่หลบมิทัน เห็นเพียงใบหลิวใบหนึ่งเลื่อนผ่านหน้าแล้วกรีดใบหน้าจนเกิดคราบโลหิตบาง ๆ ขึ้น

“มู่จวินฮาน เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

จ้าวหลานหยู่มิมีใจสะบัดพัดทำตัวสง่างามอีกต่อไป พระองค์เก็บพัดแล้วทอดพระเนตรมู่จวินฮานราวจักกลืนกินทั้งเป็น

มู่จวินฮานทำเพียงกระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มงดงามทำเอาบรรดาคุณหนูที่อยู่โดยรอบหน้าแดงไปตาม ๆ กัน

“*เปิ่นซื่อจื่อมิได้ตั้งใจ พอดีใบไม้ลื่นหลุดมือทำให้องค์ชายบาดเจ็บเป็นความผิดของข้าเอง ทว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไฉนองค์ชายเจ็ดจึงมีโทสะนักเล่า ? ”

“เจ้าทำร้ายองค์ชาย นี่ยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกหรือ ? ” จ้าวหลานหยู่ชี้ไปที่ดวงพักตร์ของตน ปกติพระพักตร์ดูดีแต่ยามนี้ดุร้ายยิ่งนัก

มู่จวินฮานยักไหล่อย่างมิใส่ใจ มุมปากยังคงแต้มยิ้มบาง “หากองค์ชายเจ็ดมิพอพระทัยต่อคำขอโทษของเปิ่นซื่อจื่อผู้นี้ก็ไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ อย่างไรหลี่กุ้ยเฟยก็เป็นที่โปรดปรานอยู่แล้ว หากองค์ชายเจ็ดอยากฟ้องร้องก็เป็นเรื่องง่ายดาย”

เมื่อกล่าวจบมู่จวินฮานก็นิ่งไปชั่วครู่แล้วกวาดตามองจ้าวหลานหยู่ “ก็อย่างที่พระองค์ตรัสออกมาว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย หากพระองค์โวยวายไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทก็อาจมิสนพระทัยใช่หรือไม่”

 นี่คือการเอาคำพูดตนมาอุดปากตน !

จ้าวหลานหยู่ทำได้เพียงโกรธแค้นอยู่ในใจ แม้กระทั่งบาดแผลเล็ก ๆ บนใบหน้าก็เริ่มเจ็บขึ้นมาแล้ว

“ฮึ มู่จวินฮาน เจ้าช่างบังอาจนัก ต่อไปก็อย่าเสียใจภายหลัง ! ”

แม้พระองค์มิใช่องค์รัชทายาท ทว่าหมู่เฟยก็เป็นที่โปรดปรานที่สุด ฟู่หวงจักทรงยกบัลลังก์ให้พระองค์อย่างแน่นอน

เมื่อจินตนาการถึงตอนนั้นแล้ว หากภายภาคหน้าตนมีอำนาจก็จักทำให้มู่จวินฮาน เสียใจต่อการกระทำในวันนี้อย่างแน่นอน พระองค์ต้องทำให้มู่จวินฮานคุกเข่าขอร้องให้จงได้!

มู่จวินฮานมิได้นำคำพูดของจ้าวหลานหยู่มาใส่ใจ เพียงโต้ตอบไปสองสามคำก็ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนเดินหนีไปเอง

“พี่หญิงขอรับ คนผู้นั้นคือใคร ? ”

 อันหลิงจุนกดเสียงต่ำแล้วกระซิบถามข้างหูของอันหลิงเกอ

นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาพบมู่จวินฮาน ครั้งก่อนได้พบตอนอยู่ในวัง ณ ตำหนักอี๋เฟย ซึ่งในตอนนั้นอี๋เฟยได้สร้างความลำบากให้ตนและพี่หญิง ทว่าก็ได้คนผู้นี้ช่วยเอาไว้ มาวันนี้องค์ชายเจ็ดใช้อำนาจรังแกตน ก็เป็นคนผู้นี้ช่วยเหลือเอาไว้อีก

อันหลิงเกอกระแอมออกมาหนึ่งทีแล้วอธิบายอย่างติดขัด “เขาคือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องมู่ ฝ่าบาททรงประทานสมรสให้จวนโหวกับจวนอ๋องมู่ ฉะนั้น…”

บางเรื่องมิจำเป็นต้องอธิบายให้มากความก็พอเข้าใจได้ อันหลิงจุนพยักหน้ารับรู้ แววตาเต็มไปด้วยความนับถือในตัวมู่จวินฮาน

พี่เขยในอนาคตช่างเก่งกาจยิ่งนัก ครั้งที่แล้วทำให้อี๋เฟยถอยหลบ ครั้งนี้ก็บีบบังคับจนองค์ชายเจ็ดพ่ายแพ้ ช่างเก่งกาจและหล่อเหลาเสียจริง !

“ว่าที่พี่เขยนั่นเอง” อันหลิงจุนยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาวกะพริบบนท้องฟ้า ยามนี้เขาลืมเรื่องที่องค์ชายเก้าดูหมิ่นตนไปเรียบร้อยแล้ว

อันหลิงเกอรีบหยิกเขาอย่างแรงทีหนึ่งพร้อมส่งสายตาตักเตือน

เรื่องของฟางชิงยังมิชัดเจน คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการตายของมารดาคือใครก็ยังหามิพบ เด็กคนนี้ช่างใจง่าย มิทันไรก็นับถือเขาไปแล้ว ความนับถือที่อันหลิงจุนมีต่อมู่จวินฮานทำให้นางรู้สึกอิจฉามิน้อย

อันหลิงจุนรู้สึกเจ็บจนร้องออกมา ทว่าใบหน้ายังคงรอยยิ้มไว้ “ว่าที่พี่เขย ท่านมาหาพี่หญิงของข้าต้องมีธุระต่อกัน ข้ามิรบกวนพวกท่านแล้วขอรับ”

เนื่องจากที่นี่คือสำนักศึกษาจิงตู มีนักเรียนอยู่มิน้อย ทำให้การที่ทั้งสองคนสนทนากันจักมิโดนตำหนิเพราะมิได้อยู่ลับตาคน

อันหลิงจุนจึงถอยหลังออกไปหลายก้าว เมื่อเห็นอันหลิงอียังยืนอยู่ที่เดิมก็รีบดึงนางออกมายืนข้างตน

“เจ้าอย่าคิดเรื่องที่มิควรคิดเชียว”

อันหลิงจุนก้มลงกระซิบข้างหูของอันหลิงอี ใบหน้าไร้รอยยิ้มสดใสแล้วแฝงด้วยท่าทีข่มขู่