บทที่ 150 ความอบอุ่นที่มีให้กันทุกวัน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยห้าสิบ

ความอบอุ่นที่มีให้กันทุกวัน

หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่กลับมาจากวัดต้าเซียงกั๋ว ชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องของเซี่ยเทียนเฉิง ก่อนจะบอกเด็กสาวอย่างจริงจังว่าห้ามออกไปข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาอีก เสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัวเช่นเดียวกัน เธอจึงเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี นับแต่นี้ไปคงได้แต่ปิดประตูเรือนและไม่ออกไปไหนเท่านั้น

ฤดูหนาวในเมืองหลวงเดิมทีอากาศก็หนาวเย็นอยู่แล้ว หลังจากเข้าเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติก็ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าเดิม ลมหนาวที่พัดมากระทบใบหน้านั้นราวกับคมมีด เมื่อไรที่ก้าวเท้าออกจากเรือน มือเท้าอาจแข็งทื่อกลับมาได้

โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าเมื่อสองสามวันก่อนท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมทางเหนือก็พัดโชยเข้ามา เขาจึงออกไปซื้อของใช้จำเป็นมาจำนวนหนึ่ง และตอนนี้อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ทั้งสองคนจึงอยู่แต่ในเรือน

ตอนนี้มีเสียงลมพัดกิ่งไม้ดังหวีดหวิว แต่ห้องหนังสือของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังมีกระถางไฟทองเหลืองใบใหญ่ตั้งอยู่ ด้านในมีถ่านที่กำลังเป็นสีแดง แม้ว่าจะไม่ทำให้อบอุ่นเท่าฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็อุ่นกว่าด้านนอกไม่น้อย อย่างน้อยคงพอจะทำให้มือเท้าไม่ชาจนเกินไป

เสวี่ยหยวนจิ้งนึกถึงเรื่องของเซี่ยเทียนเฉิง ทำให้รู้ถึงความสำคัญของอำนาจ หากเกิดอะไรขึ้นเขาคงปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงขยันอ่านตำรามากขึ้น เขาต้องสอบระดับเมืองหลวงให้ผ่าน และเดินเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง

ขณะที่เขากำลังทบทวนตำรานั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็นั่งอยู่บนตั่งตัวยาวข้างหน้าต่าง บางคราวเธอจะถือตำราและอ่านเพื่อฆ่าเวลา บางทีก็นำผ้ามาปักหรือเย็บชุดไว้สวม

ในช่วงที่ผ่านมานี้ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของเธอดียิ่งขึ้น เสื้อผ้าที่เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งสวมนั้นก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนตัดให้ เพราะเสวี่ยเจียเยว่สามารถทำเองได้

เธอหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดผ้าสีขาวพระจันทร์บนโต๊ะตัวเล็กหน้าตั่งตัวยาว จากนั้นก็นำเข็มกับด้ายมาเย็บ

เสวี่ยหยวนจิ้งทบทวนตำราจนเหนื่อยก็เงยหน้าขึ้น และเห็นว่ากางเกงที่อยู่ในมือของเสวี่ยเจียเยว่ดูเป็นรูปเป็นร่างแล้ว กางเกงค่อนข้างยาว น่าจะไม่ใช่ของเจ้าตัว

ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะนั่งลงบนตั่งที่เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่ แล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกางเกงที่อยู่ในมือของเด็กสาว แม้ว่าจะเป็นผ้าไหมธรรมดา แต่สัมผัสแล้วกลับรู้สึกนุ่มลื่น

“เจ้าเย็บกางเกงตัวนี้ให้ข้าหรือ” เขาถามพลางยิ้มบาง “กางเกงตัวในอย่างนั้นหรือ”

สองวันก่อนเสวี่ยเจียเยว่ซักกางเกงตัวในให้เสวี่ยหยวนจิ้งและเห็นว่ามันเก่ามากแล้ว เมื่อวานนี้เธอนึกขึ้นมาได้ว่ามีผ้าสีขาวพระจันทร์อยู่สองสามผืน จึงถือโอกาสหยิบออกมาทำกางเกงตัวในให้ชายหนุ่ม

ในความคิดของเธอนั้น เรื่องนี้ถือเป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยคำว่า ‘กางเกงตัวใน’ ออกมา เธอถึงได้รู้สึกว่ามันอนาจารเล็กน้อย…

มือที่ถือเข็มพลันหยุดไปชั่วขณะ แม้ว่าใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่จะแดงเรื่อ แต่เธอก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจเขา เอาแต่ก้มหน้าก้มตายุ่งอยู่กับงานในมือของตน

จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ผ้าไหมสีขาวพระจันทร์ผืนนี้วางอยู่ในตู้ใส่เสื้อผ้าของเจ้าใช่หรือไม่ ตอนนั้นข้าเห็นว่ายังมีผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่อยู่หนึ่งผืน ช่วงนี้เจ้าว่าง มิสู้นำผ้าไหมสีแดงออกมาทำ…”

เขาพูดประโยคหลังยังไม่ทันจบ ก็ถูกเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยขัดจังหวะเสียก่อน

“เดี๋ยวก็สอบระดับเมืองหลวงแล้ว ไยท่านไม่ไปทบทวนตำรา มัวแต่พูดอะไรไร้สาระกับข้าอยู่ตรงนี้” ใบหน้างดงามของเธอแดงเรื่อ แต่ก็ยังพยายามทำหน้าบึ้งตึงเพื่อให้ดูจริงจังมากขึ้น “รีบไปทบทวนตำราเถอะ”

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่มีท่าทางจริงจังเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงยกยิ้มอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบโอบกอดเด็กสาวก่อนที่อีกฝ่ายจะอายจนโกรธเขา แล้วก้มหน้าลงจูบใบหน้าเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอายเช่นนั้นหรือ”

พอเสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจ เขาก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น และยิ่งก้มหน้าต่ำลง ในขณะที่กล่าวนั้นลมหายใจอุ่นๆ ของเขาก็รดติ่งหูขาวเนียนราวหยกของเสวี่ยเจียเยว่

“ผิวของเจ้าขาวเนียน สวมสีแดงแล้วเหมาะยิ่งนัก อีกอย่าง… ผมของเจ้าก็เงาดำปานน้ำหมึก พอผมดำขลับของเจ้าสยายลงมา จะขับให้ผิวของเจ้าเปล่งปลั่ง และสีแดงของ…”

คำสุดท้ายยังไม่ทันเปล่งออกมา ก็ถูกเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยขัดอย่างฉับพลัน “เสวี่ย… หยวน… จิ้ง…”

ราวกับเธอกัดฟันในทุกคำที่เปล่งออกมา หากมองให้ดีจะเห็นได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่อยิ่งกว่าเดิม

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นคนเช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาดูสุภาพเรียบร้อยมาตลอดไม่ใช่หรือ และที่สำคัญ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาจะนิ่งขรึม แต่เมื่ออยู่กับเธอตามลำพัง…

เสวี่ยเจียเยว่อยากจะเอาเข็มในมือเย็บปากเขาเอาไว้เสียจริง

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าเด็กสาวโกรธจริงๆ ก็ไม่คิดจะแกล้งอีก แต่เอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปอ่านตำราแล้ว”

เมื่อเขากล่าวจบก็ปล่อยแขนที่โอบเสวี่ยเจียเยว่ออก แล้วลุกขึ้นจากตั่งตัวยาว

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังโล่งอกอยู่นั้น ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งโน้มตัวลงมา แล้วเอ่ยข้างหูเธอด้วยรอยยิ้ม

“เยว่เอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าว่าง นำผ้าสีแดงมาทำตู้โต้วสักตัวสิ หากข้าสอบผ่านระดับเมืองหลวงแล้ว จากนั้นก็เป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง พอข้าสอบผ่าน พวกเราก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน พอถึงตอนนั้นเจ้าจะได้สวมตู้โต้วสีแดงเข้าหอกับข้า”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคนั้นออกมาจนสมบูรณ์

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นแรงราวกับมีกวางน้อยกระโดดไปมาอยู่ในนั้น ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เธอหยิบไม้ที่ใช้วัดผ้าบนโต๊ะขึ้นมาและตีไปที่มือของเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ท่านยังไม่ไปอ่านตำราอีกหรือ หากยังมัวแต่พูดอะไรเช่นนี้ ข้าจะกลับห้องแล้ว”

ช่วงที่ผ่านมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งขยันทบทวนตำราทุกวัน และมักจะให้เสวี่ยเจียเยว่คอยดูแลอยู่ในห้องหนังสือ ถึงแม้ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน แต่เมื่อมีเด็กสาวอยู่เคียงข้างเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกว่าจิตใจสงบยิ่งนัก

เขาหวังว่าในภายภาคหน้าเสวี่ยเจียเยว่จะเป็นเหมือนตอนนี้ ไม่ออกจากเรือนตลอดทั้งวัน ใบหน้าอันงดงามก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ ด้วยวิธีนี้จะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นในวัดต้าเซียงกั๋วอีก

ไม้ที่เสวี่ยเจียเยว่หยิบขึ้นมาตีเขานั้น น้ำหนักไม่เบาไม่แรงเกินไป ทำให้แขนของเสวี่ยหยวนจิ้งคันยุบยิบเท่านั้น และตอนนี้ชายหนุ่มก็หัวเราะและหันกลับไปนั่งลงหลังโต๊ะเขียนหนังสือเช่นเดิม ก่อนจะหยิบตำราขึ้นมาแล้วจดจ่อกับการทบทวนอีกครั้ง

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาตั้งใจอ่านตำราเช่นนั้น แม้ว่าหัวใจจะยังเต้นแรง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก เพียงมองเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง และหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

เธอกังวลว่าชายหนุ่มจะได้ยินจนทำให้เขาเสียสมาธิ จึงต้องพยายามอดกลั้นเอาไว้ และก้มหน้าก้มตาเย็บกางเกงต่อ

ลมหนาวข้างนอกพัดมาพร้อมความหนาวเหน็บ แต่เมื่อมีคนรักอยู่ข้างกาย หัวใจก็อบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ไม่รู้สึกหนาวเย็นสักนิด

หลังจากผ่านเทศกาลล่าปาเจี๋ย[1] อากาศก็อบอุ่นขึ้น กระทั่งเสื้อขนสัตว์ก็ไม่จำเป็นต้องสวม สวมเพียงเสื้อกั๊กผ้าฝ้ายไว้ข้างนอกก็เพียงพอ

วันนี้แสงแดดจ้านับว่าเป็นเรื่องดี เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าข้าวกับผักในเรือนใกล้จะหมดเต็มที เขาจึงคิดจะออกไปซื้อที่ร้านค้าด้านนอก และเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าใกล้จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว แน่นอนว่าต้องมีของวันปีใหม่ให้เลือกซื้อ ดังนั้นหลังจากกินอาหารมื้อเช้าเสร็จเขาจึงบอกให้เสวี่ยเจียเยว่อยู่ที่เรือน ส่วนตนจะออกไปซื้อของเอง

คล้อยหลังเขาออกจากเรือน เสวี่ยเจียเยว่ก็ล้างถ้วยชาม จากนั้นจึงนำผ้าห่มของทั้งสองคนออกมาตากในลานเรือน ทำความสะอาดทั้งในและนอกเรือน ในขณะที่เธอกำลังดื่มชานั้น ก็มีคนมาเคาะประตูใหญ่

เธอคิดสงสัยในใจ ก่อนจะเดินไปมองผ่านช่องบนประตู และเห็นว่าคนที่เคาะนั้นคือป้าอู๋

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งมาเมืองหลวงในช่วงแรก เธออยากจะซื้อเรือนสักสองสามหลัง จากนั้นเธอก็จะกลายเป็นเจ้าของเรือน มีชีวิตที่ดีกับการเก็บค่าเช่าทุกวัน จึงได้รู้จักกับผู้จัดหาเรือนสองสามคน แต่เพราะมีเสวี่ยหยวนจิ้งคอยเป็นอุปสรรค ดังนั้นผู้จัดหาเรือนเหล่านั้นจึงให้ภรรยาของตัวเองพาเธอไปดูรอบๆ และป้าอู๋ก็คือภรรยาของหนึ่งในผู้จัดหาเรือน เรือนที่เสวี่ยเจียเยว่อาศัยอยู่ตอนนี้ อันที่จริงแล้วเธอก็ซื้อผ่านป้าอู๋เช่นกัน

ทันทีที่เสวี่ยเจียเยว่เห็นป้าอู๋ เธอรีบยกมือขึ้นดึงไม้ขัดประตูออกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ป้าอู๋? วันนี้ลมอะไรหอบท่านมาหาข้าที่นี่ได้ ช่างเป็นเกียรติของข้าจริงๆ เชิญเข้ามาเจ้าค่ะ”

ตอนแรกเมื่อภรรยาของผู้จัดหาเรือนเหล่านั้นรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากซื้อเรือน ต่างก็ขยันวิ่งมาหาเธอไม่ขาด แต่พอได้ยินว่าเธอไม่ซื้อแล้ว พวกนางก็ไม่มาอีก จึงเป็นเรื่องยากที่ป้าอู๋จะมาหาเสวี่ยเจียเยว่ถึงเรือน

เสวี่ยเจียเยว่เชิญป้าอู๋เข้ามาด้วยคิดว่าควรทำความรู้จักกับผู้คนให้มาก

เมื่อทั้งสองเดินเข้าประตูกลาง ป้าอู๋ก็เห็นว่าทุกอย่างในลานเรือนเป็นระเบียบและได้รับการทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีกระถางไม้ประดับมากมายที่วางตกแต่งอยู่ในลาน และมีดอกเหมยขี้ผึ้งสีเหลืองหนึ่งกระถางที่กำลังแบ่งบาน ทั้งเรือนจึงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม

ป้าอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนั้นไม่มีกระถางไม้ประดับเหล่านี้ในเรือน พอเจ้าเก็บกวาดทำความสะอาด ในลานก็มีไม้ดอกไม้ประดับมากมาย ทำให้อารมณ์สดชื่นเมื่อได้มอง”

เสวี่ยเจียเยว่เม้มปากยิ้มบาง เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเธอชอบดอกไม้ หลังจากพวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มก็ซื้อกระถางไม้ดอกไม้ประดับจำนวนมากกลับมา ทั้งยังบอกอีกว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง เขาต้องไปหาคนรับจ้างทำสวนมาสักคนเพื่อซื้อดอกไม้มาปลูกในลานเรือน และเขาจะปลูกดอกไม้ให้เสวี่ยเจียเยว่ได้ชื่นชมตลอดทั้งสี่ฤดู

วันนี้อากาศดี เสวี่ยเจียเยว่จึงยกเก้าอี้ออกมาวางไว้ที่ลานเรือน ก่อนจะขอให้ป้าอู๋นั่งลง ส่วนตนก็นำเก้าอี้ตัวเล็กมาตั้งไว้ จากนั้นจึงต้มน้ำชามาสองถ้วย พร้อมกับถือกล่องใส่ขนมเชียนเฉิงเกา[2] ก่อนจะนั่งลงพูดคุยกับป้าอู๋

หลังจากซื้อเรือนหลังนี้แล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังมีเงินเหลืออยู่ในมือเพียงพอให้เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งได้ใช้สอยอย่างไม่ขาดเหลือไปตลอดชีวิต จึงไม่ได้ประหยัดในการซื้อของกินดื่มและเครื่องนุ่งห่มอีกต่อไป

ป้าอู๋หยิบขนมขึ้นมากินหนึ่งชิ้น จากนั้นก็จิบชา ก่อนจะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อพูดไปเรื่อยๆ นางก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ของการมาในวันนี้

“ข้าได้ยินสามีข้าพูดเมื่อสองวันก่อนว่ามีพื้นที่ว่างกว้างขวางขนาดเจ็ดสิบแปดสิบหมู่เห็นจะได้ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ที่ตั้งนับว่าใช้ได้ เจ้าของคิดอยากจะขาย แต่ไม่มีใครอยากซื้อเพราะมันเป็นแอ่งน้ำขัง วันนี้จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนเจ้าเข้าเมืองหลวงในช่วงแรกๆ นั้นคิดอยากจะซื้อเรือน จึงอยากมาถามเจ้าว่าอยากซื้อที่ดินผืนนี้ไหม”

ที่ดินเปล่ากว้างเกือบร้อยหมู่…

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นแรงกะทันหัน จากนั้นเธอก็คิดดูก่อนจะเอ่ยถาม “ป้าอู๋ วันนี้ท่านว่างหรือไม่ หากว่างท่านพาข้าไปดูที่ดินเปล่าตอนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”

[1] จัดในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เปรียบเหมือนการโหมโรงสำหรับการขึ้นปีใหม่ เมื่อถึงเทศกาล ผู้คนจะเริ่มเลือกซื้อสินค้าสำหรับปีใหม่ และเก็บกวาดตกแต่งบ้านเรือน

[2] คือขนมวุ้นกรอบ