บทที่ 148: บัลลังก์ดอกบัวเก้าชั้น

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 148: บัลลังก์ดอกบัวเก้าชั้น

หลินฮั่นมองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเชื่อนักขณะที่สอนวิธีใช้ซิมให้กับอีกฝ่ายต่อไป ในขณะที่ฉินเย่เพียงแค่แสร้งทำเป็นฟังเท่านั้น แต่เขาไม่เคยละสายตาออกจากใต้เตียงเลยสักนิด

สิบนาทีต่อมา หลินฮั่นบิดขี้เกียจและลุกขึ้นยืน “เราออกไปดื่มกันไหม? วันนี้โรงอาหารไม่เปิด พวกเขาขี้เหนียวชะมัด แถมผมยังลืมเอาอาหารพื้นเมืองของเมืองไดซานกลับมาด้วยน่ะสิ…หืม? ทำไมคุณถึงมีกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนั้นด้วยล่ะ? พอจะมีขนมหรือของกินอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่า?”

ขณะที่พูด มืออันซุกซนก็เอื้อมไปที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ฉินเย่วางอยู่บนพื้นทันที ทว่าในวินาทีต่อมา หลินฮั่นก็พบว่าตัวเขาถูกเตะกระเด็นไปที่ประตูห้องอย่างแรงขณะที่มองฉินเย่อย่างตะลึง “พระเจ้า! เป็นไปไม่ได้…คุณซ่อนลูกเอาไว้เหรอ?!”

ฉินเย่ลูบกระเป๋าเดินทางอย่างโล่งใจ จากนั้นจึงไปจ้องไปที่ร่างของหลินฮั่น – คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือพวกโง่ที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น!

ใครมันเป็นคนพูดกันว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด? ใครเป็นคนพูดว่าที่ที่มืดที่สุดคือใต้ประภาคาร?

อย่างไรก็ตาม มันยังมีสิ่งชีวิตที่เรียกว่าฮัสกี้อยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของมัน มันมักจะมีวิธีที่แสนจะแปลกประหลาดในการขุดคุ้ยสิ่งที่คุณอยากจะซ่อนเอาไว้ที่สุดเสมอ ไม่ว่าคุณจะซ่อนมันไว้ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดหรือจุดที่อันตรายที่สุดก็ตาม ไม่ว่ามันจะไปที่ไหน มันจะทำลาย และมันก็จะชนะ…และหลินฮั่นก็คือหนึ่งในพวกที่เก่งเรื่องพวกนี้ที่สุด!

“นี่คุณซ่อนลูกไว้จริง ๆ เหรอ? ผมขออุ้มหน่อยไม่ได้หรือไง…ผมไม่เปิดกระเป๋าดูหรอกน่า?” เขามองฉินเย่ด้วยประกายวิ้ง ๆ อย่างอยากรู้ในดวงตา ชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหลังของฉินเย่และมองกระเป๋าเดินทางอย่างสนใจขณะที่เอื้อมมือที่ซุกซนของตนออกไปอีกครั้ง ฉินเย่ที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบปฏิเสธอีกฝ่ายโดยการเตะจนร่างใหญ่กระเด็นออกไปและรีบดันกระเป๋ากลับเข้าไปใต้เตียงอย่างระมัดระวัง แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเผลอดันกระเป๋าไปชนเข้ากับอาร์ทิสจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางออกมาเบา ๆ อีกครั้ง

ข้าคือตุลาการนรกนะยะ! เจ้าช่วยแสดงความเคารพข้าอีกหน่อยไม่ได้หรือ? แค่ต้องมาซ่อนอยู่ใต้เตียงมันก็น่าอับอายมากพอแล้ว แต่นี่เจ้ายังกล้ายัดกระเป๋าบ้านี่เข้ามาอีกอย่างนั้นงั้นหรือ?!

หลินฮั่นกำลังพยุงตัวขึ้นอย่างเจ็บปวด แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปและขมวดคิ้วยุ่ง จากนั้นจึงมองไปรอบ ๆ อย่างระแวงพร้อมกับถามว่า “เดี๋ยวก่อน…คุณไม่ได้ยินจริง ๆ เหรอ? ผมคิดว่าเมื่อครู่ผมเหมือนจะได้ยินเสียงนั้นอีกแล้วนะ? แถมเสียงของมันยังดูเหมือนกับไม่พอใจด้วย”

ให้ตายเถอะ! พวกนายจะต้องทำให้ฉันประสาทแตกตายสักวันแน่ ๆ …ฉินเย่ช่วยพยุงหลินฮั่นยืนขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย จากนั้นจึงพาอีกฝ่ายตรงไปที่หน้าต่างและตบหลังชายหนุ่มอย่างแรก “คุณอันธพาลท้องถิ่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คุณเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมนับว่าเป็นเพื่อนจริง ๆ”

หลินฮั่น “…?”

ไม่ใช่ว่าเราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วเหรอ?

“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมปฏิบัติกับเพื่อนของตัวเองยังไง?” ฉินเย่จับร่างของหลินฮั่นแน่น ๆ และเริ่มผลักร่างของอีกฝ่ายออกไปนอกหน้าต่างอย่างฉับพลัน

จากตรงนี้เขาสามารถมองเห็นภาพที่เจริญรุ่งเรืองของเมืองได้อย่างชัดเจนเลยแหละ

“คุณเห็นตึกนั้นไหม? มา ๆ ลุกขึ้น ๆ เดี๋ยวคุณขึ้นไปยืนบนนั้นนะแล้วก็กระโดดลงมา แต่คุณเพียงต้องมีความศรัทธาสักหน่อยนะ และความกังวลทั้งหมดของคุณจะหายไปทันที คุณจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตอีกต่อไป แม้แต่โลกก็ต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน…แล้วจากนั้น เราก็จะเป็นเพื่อนกันไปชั่วนิรันดร์”

ตำแหน่งของผู้ตรวจสอบอดีตกรรมยังคงว่างอยู่ ไม่ต้องอาย มา ๆ นรกยังขาดคนที่มีความสามารถอย่างนายอยู่…และในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน ทำไมนายไม่มาช่วยฉันหน่อยล่ะเพื่อน?

หลินฮั่นที่ได้ยินเช่นนั้นรีบยืดตัวตรงและขยับตัวออกจากการจับกุมที่แน่นหนาของฉินเย่ทันที จากนั้นก็เดินถอยหลังออกไปจากห้องของฉินเย่ บอกลาสั้น ๆ ก่อนจะปิดประตูลง “พวกนักเรียนจะมาถึงเวลา 6 โมงเช้าของวันมะรืน แต่ละสาขาจะต้องไปต้อนรับนักเรียนของตนเอง ผมดูตารางแล้ว คุณเป็นคนแรก และคุณจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่ 6 โมงถึง 9 โมง แค่นี้แหละ แล้วเจอกัน?”

ปัง!!

“นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร?” ทันทีที่ประตูปิดลง ใบหน้าที่น่ารักของตุ๊กตายางก็โผล่ออกมาพร้อมเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “เหตุใดเจ้าจึงไม่โยนเขาออกจากหน้าต่างแล้วทำให้มันจบ ๆ ไป? ไอ้การล้อเล่นไร้สาระพวกนั้นมันคืออะไรกัน?”

“ข้าทำไม่ได้…” ฉินเย่ถอนหายใจ “แต่พอแล้วกับเรื่องไร้สาระ อาร์ตี้ ท่านลองดูนี่สิ”

เขาเสียบการ์ดและเริ่มการดาวน์โหลดทันที ใช้เวลาเพียง 20 เท่านั้นการดาวน์โหลดก็เสร็จสิ้น ฉินเย่รีบเปิดแอปโม่โม่ของตนเองอย่างรวดเร็ว และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือมันมีไอคอนหีบสมบัติเพิ่มขึ้นมาบริเวณใต้ข้อความ

ฐานข้อมูล

“นี่คืออะไร?” อาร์ทิสถามอย่างสงสัย

“สมบัติที่ถูกสะสมโดยหน่วยสอบสวนพิเศษตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาอยู่ในรายการนี้ทั้งหมด” ฉินเย่กดลงไปเบา ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์เบา จากนั้นโทรศัพท์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืด ก่อนที่ภาพ 3D ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องราวกับมันถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

อาร์ทิสผละไปทันที จากนั้น นางจึงแย่งโทรศัพท์มาจากมืออีกฝ่ายและเริ่มไถมันอย่างตื่นเต้น

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาหลังจากนั้น ฉินเย่เฝ้าดูอีกฝ่ายอย่างจับสังเกตในขณะที่แววตาของอาร์ทิสเป็นประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ขณะที่นางกำลังไล่ดูเนื้อหาที่เหลืออยู่อย่างตื่นเต้น การแจ้งเตือนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ “สิทธิ์การเข้าถึงไม่เพียงพอ กรุณาตั้งใจทำงานเพื่อเพิ่มคะแนนการสอน” มันเป็นตอนนั้นเองที่อาร์ทิสถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้กับฉินเย่

“ว่าไง? มีอะไรที่ยมโลกสามารถใช้ได้บ้างมั้ย?” ฉินเย่ถาม

อาร์ทิสไม่ตอบทันที นางหลับตาลงและถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะพึมพำเบา ๆ ว่า “ฐานทัพของผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์งั้นหรือ? ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ขององค์กรแบบนี้ในแดนมนุษย์เมื่อนานมาแล้ว แต่การจะระบุตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากจนข้าเองก็เริ่มคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รายการสมบัติพวกนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นความจริง เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็คงไม่สามารถมีขุมสมบัติที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ได้หากไม่ใช่เพราะความพยายามที่สั่งสมมาตลอดหลายพันปี”

นางลืมตาขึ้น กดลงหน้าจอเบา ๆ และเลื่อนดูสมบัติขั้นน่าล่าวิญญาณไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงรูปของดอกบัวดอกหนึ่ง “ดูนี่สิ”

ฉินเย่ยื่นหน้าไปมองดูอย่างใกล้ชิด ภาพของดอกบัวตรงหน้านั้นดูธรรมดาและเรียบง่าย สิ่งที่พิเศษอย่างเดียวเกี่ยวกับมันคือมันเป็นสีแดงสด และต้องใช้คะแนนความดี 10,000 คะแนนในการแลกมา

“มันคือ?”

“เมล็ดของบัลลังก์ดอกบัวเก้าชั้น…” อาร์ทิสอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเหลือเชื่อ “มนุษย์พวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาครอบครองสิ่งใดอยู่…ไม่ บางที มันอาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งของเหล่านี้ไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง และมันคือสมบัติล้ำค่าที่ยมโลกไม่สามารถขาดได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

“บัลลังก์ดอกบัวเก้าชั้นนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของปุณฑริกเก้าชั้นบัวที่เหล่าผู้มีจิตกรุณาจะได้ขึ้นเพื่อไปสู่ดินแดนสุขาวดี พวกเขาจะนั่งบนบัลลังก์ดอกบัวที่ถูกห่อหุ้มโดยกลีบดอกซึ่งจะเบ่งบานเมื่อพวกเขาไปถึงปลายทางแล้วเท่านั้น มีเพียงผู้ที่ได้บรรลุคุณธรรมอันสูงส่งและความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ขึ้นบัลลังก์ดอกบัวและเดินทางไปสู่แดนสุขาวดี โดยลำดับของดอกบัวนั้นจะถูกแบ่งออกตามความบริสุทธิ์ของจิต มีตั้งแต่ระดับสูงไปจนถึงชั้นล่างระดับล่าง ยิ่งมีความดีในแดนมนุษย์มาเท่าไหร่ ความสวยงามของดอกบัวก็จะยิ่งสูง และมีโอกาสในการไปถึงแดนสุขาวดีก็จะยิ่งสูงขึ้น”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ท่าน…เดี๋ยวก่อนนะ…นี่ยมโลกมีระบบในการส่งประชากรวิญญาณไปสู่สวรรค์โดยตรงด้วยอย่างนั้นหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน?”

“ก็เพราะว่าเจ้าเป็นพวกนอกรีตน่ะสิ” หมิงชีหยินลอยออกมาและดูหน้าจอโทรศัพท์อย่างใกล้ชิดก่อนที่พื้นผิวของกระจกจะปรากฏประโยคคำพูดขึ้น “ข้าไม่คิดเลยว่าบัลลังก์ดอกบัวเก้าชั้นจะมีค่าเพียง 10,000 แต้มเท่านั้น พวกแดนมนุษย์นี่เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? พวกเขาสามารถขายสิ่งนี้ให้กับนรกด้วยราคาอย่างน้อย 50 ล้านหยวน!”

ก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไรออกมา อาร์ทิสก็รีบคว้าบานกระจกและยัดมันกลับไปใต้หมอนขณะที่นางเอ่ยต่อว่า “สิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับนรกนั้นเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แม้กระทั่งข้าผู้เคยเป็นเจ้าหน้าที่มากว่าร้อยปีก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในนรก แต่ข้าสามารถยืนยันได้ว่าแดนสุขาวดีนั้นมีอยู่จริง”

“โลกนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามภูมิ สวรรค์ภูมิ นรกภูมิ และมนุษย์ภูมิ เจ้าสามารถคิดได้ว่านรกเป็นจุดขนส่งแห่งหนึ่ง ลองคิดดู สุดท้ายแล้วคนตายจะไปลงเอยอยู่ที่ใด? ไม่ใช่การกลับมาเกิดใหม่หรอกหรือ? พวกที่กระทำชั่วจะต้องถูกส่งไปเกิดยังพิภพเดรัจฉาน ในขณะที่ผู้ที่กระทำความดีเอาไว้มากจะได้ไปเกิดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ในชาติต่อไปของพวกเขา จากนั้น ผู้ที่บรรลุธรรมอันสูงส่งหรือมีวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ก็จะได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งสุขาวดี”

“พวกเขาจะไม่สามารถเข้าสู่แดนสุขาวดีได้ หากปราศจากยานพาหนะอย่างบัลลังก์ดอกบัว ข้าจำได้ว่าหม่าฮั่น หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของท่านเปา ครั้งหนึ่งได้เคยเปิด ‘บริษัทสิ่งแวดล้อมและพืชพันธุ์แห่งนรก’ หรือไม่ก็รู้จักกันในชื่อของ บริษัทพืชพันธุ์แห่งนรก พวกเขาปลูกบัลลังก์ดอกบัวจำนวนมากและได้ผูกขาดอำนาจในการเดินทางไปสู่แดนสุขาวดี แต่เขาก็ไม่เคยถูกฟ้องเลยสักครั้ง หากพูดกันตามความจริง วีรบุรุษผู้ที่กระทำความดีและวีรกรรมอันยิ่งใหญ่พวกนี้มีจำนวนน้อยมากจนเจ้าอาจไม่สามารถเห็นพวกเขาได้เลยในรอบ 20 ปี อย่างไรก็ตาม นรกก็ไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์หากปราศจากมัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากสามารถจินตนาการว่ามันเป็นบริษัทแห่งหนึ่งสิ มันก็คงเป็นบริษัทที่มีแต่ตกต่ำลง ไม่มีความหวังใด ๆ นรกสมควรที่จะลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดี ดังนั้นพวกเราจะส่งเสริมความดีได้อย่างไร?”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองภาพดอกบัวบนหน้าจอ เขาพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด

“และมันยังไม่ใช่เพียงเท่านั้น” อาร์ทิสใช้ประโยชน์จากอาการพูดไม่ออกของเด็กหนุ่มและหมิงชีหยินที่ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มที่ขณะที่เลื่อนไปที่สมบัติชิ้นต่อไปและแตะบนหน้าจอเบา ๆ “ในนี้ยังมีของดีอีกหลายอย่าง อันที่จริง ข้าพอจะเดาได้ว่าสองหรือสามในสิบของสมบัติที่นี่คือสิ่งที่นรกสามารถใช้งานได้….ลองดูสิ่งนี้สิ เจ้าเคยได้ยินเรื่องหยดน้ำตาแห่งภูตผีมาก่อนหรือไม่?”

ฉินเย่ส่ายศีรษะ

“พวกภูตผีจะไม่หลั่งน้ำตา พวกมันสามารถหลั่งเลือดได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันยังมีข้อยกเว้นประการหนึ่ง และมันก็คือเมื่อวิญญาณปรสิตได้สังหารวิญญาณของร่างสิงสู่ไปแล้ว และร่างกายของร่างสิงสู่ยังคงมีชีวิตอยู่ ในกรณีที่หายากเช่นนั้น พวกภูตผีจะสามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้ สิ่งนี้มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ไปในตัว เจ้าเห็นน้ำตรงนี้หรือไม่? นี่คือน้ำที่นำมาจากมหาดินแดนหยาง สถานที่ซึ่งคล้ายกับน้ำพุที่ใสสะอาดภายในภูเขาแห่งเปลวไฟ เมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน เจ้าก็จะได้ภาชนะหยินหยางที่มีค่ามากมายมหาศาล”

“แล้วสิ่งนั้นคือ?” ฉินเย่เริ่มรู้สึกต่ำต้อย ในฐานะของเจ้านรกในอนาคต เหตุใดเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับดินแดนของตัวเองน้อยถึงเพียงนี้?

ใบหน้าของอาร์ทิสฉายชัดถึงความคิดถึง “วิญญาณนั้นไม่สามารถสัมผัสกับสิ่งของในแดนมนุษย์ได้เว้นแต่พวกมันจะอยู่ขั้นตุลาการนรกขึ้นไป แต่หากเป็นน้ำที่ถูกเทออกมาจากภาชนะหยินหยาน…วิญญาณทุกตนจะสามารถสัมผัสกับมันได้ นอกจากนี้…อุณหภูมิของมันก็อุ่นพอดี ไม่ร้อนไปหรือเย็นเกินไป มันสามารถทำให้เหล่าวิญญาณสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ได้…”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ “ไม่ใช่ว่านั่นจะทำให้ทุกอย่าง…”

“ใช่แล้ว! ในอดีต ตอนที่เสิ่นว่านซานตาย [1] เขาได้สร้างคฤหาสน์น้ำพุร้อนตระกูลเสิ่นขึ้นมา มันคือคลับและสังคมชั้นสูงทางใต้ของนรก หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เขาได้สร้างอาณาจักรแห่งน้ำพุร้อนทั้งอาณาจักรของเขาขึ้นจากภาชนะหยินจำนวนนับไม่ถ้วน…เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่ได้บ่อน้ำพุร้อนมาหลายร้อยปีแล้วเหมือนกัน…” อาร์ทิสจึงเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที

ให้ตายเถอะ….

เฮ้อ ฉินเย่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรพูดอะไรออกมา

“ทั้งหมดนี้ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด เพราะพวกมันไม่ได้จำเป็นแต่อย่างใด แม้แต่บัลลังก์ดอกบัวเก้าชั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เจ้าอาจจะใช้เพียงร้อยปีครั้งเท่านั้น…แต่สิ่งของต่อไปนี้ มันคือสิ่งที่เจ้าจะต้องนำมาให้ได้!” น้ำเสียงของอาร์ทิสเข้มและจริงจังขึ้นขณะที่เลื่อนไปยังปลายสุดของฐานข้อมูลและชี้ไปที่เมล็ดสีดำหมึกเมล็ดหนึ่ง

ฉินเย่เป็นหนึ่งในกลุ่มอาจารย์ดีเด่น

แต่ตำแหน่งของเขาก็ยังไม่มั่นคง เนื่องจากในการประเมินอาจารย์ในรอบที่สองอาจมีคนที่สามารถเอาชนะเขาได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาก็สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลในการแลกของสำหรับอาจารย์ดีเด่นได้แล้ว และที่สำคัญที่สุด…การได้เป็นอาจารย์ดีเด่นอย่างเป็นทางการนั้นจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

ปีละครั้ง พวกเขาจะมีสิทธิ์ในการแลกสมบัติระดับสูงได้!

เมล็ดที่อาร์ทิสชี้อยู่นี่คือสิ่งประดิษฐ์ระดับสาม หรือก็คือมันอยู่เหนือกว่าสมบัติเกรดแอลฟาขั้นยมเทพ เหนือกว่าเกรดบีตาขั้นนักล่าวิญญาณ และอยู่ระดับเดียวกับ…เกรดแกมมา ขั้นยมทูตขาวดำ!

“หญ้าแปดล้านวิญญาณกลืนกิน” อาร์ทิสสูดหายใจช้า ๆ และเอ่ยต่อ “นี่คือเครื่องป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับนครและเมืองที่เพิ่งถูกสร้างขึ้น!”

ฉินเย่มองดูเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวก่อนจะเอ่ยถามว่า “มันช่วยอะไร? ป้องกัน? ข้าจะต้องป้องกันใคร?”

ราชาผีทั้งสามหรือ?

ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้ โชคชะตาของอีกฝ่ายแทบจะถูกปิดผนึกทันทีที่พวกเขาย่างก้าวเข้ามาในเมืองเป่าอัน หรือป้องกันนรกจากแดนมนุษย์? นั่นไม่จำเป็นเลยสักนิด พวกที่สามารถเข้าไปถึงที่ยมโลกได้จะต้องเป็นผู้ที่ตายแล้วเท่านั้น

“แล้ว…หรือว่าใช้เพื่อป้องกันการจลาจลและการปฏิวัติที่อาจเกิดขึ้น?” เขาถาม

อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ออกมา “เจ้าหนู…เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยมโลกเลยสักนิด บางครั้ง…ศัตรูนั้นไม่ได้มาจากภายใน แต่มันกลับมาจากวิญญาณที่อยู่ในนรกเอง…”

โดยไม่รอคำตอบจากฉินเย่ นางรีบปิดโทรศัพท์และเอ่ยว่า “เจ้าจะต้องทำการสอนในเมืองเป่าอันไปอีกสองปี การรักษาความปลอดภัยของที่นี่แน่นหนามาก มันไม่มีทางที่เจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเจ้าคงจะไม่มีทางเจอสถานการณ์เช่นนั้นได้แน่ แต่หากเจ้าเจอ…ข้าก็จะอธิบายให้เจ้าฟังเพิ่มเมื่อถึงเวลานั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเพิ่มคะแนนความดีเพื่อแลกเมล็ดพันธุ์นี้มาให้ได้ ก่อนที่การดำรงตำแหน่งของเจ้าในที่แห่งนี้จะสิ้นสุดลง!”

“ปลูกมันลงในพื้นที่ของมหาดินแดนหยิน และเลี้ยงมันด้วยเลือด ใช้เวลางอกหนึ่งปี เติบโตอีกสิบปี และโตเต็มที่ 50 ปี นี่คือพืชที่มีคุณสมบัติเฉพาะของนรก มันจะกลืนกินวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณชนิดใด มันก็จะล้อมรอบและเขมือบทันทีที่มันสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณตนนั้น จงปลูกมันรอบ ๆ นครวิญญาณเสีย และมันจะเป็นปราการป้องกันที่ดีที่สุดของนรกในยามนี้!”

จากนั้นนางจึงหันไปนอกหน้าต่าง จ้องมองท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปและเอ่ยว่า “เพราะอย่างไรแล้ว…ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า…”

[1] อ้างอิงถึงก่อนหน้านี้ในบทที่ 143 แล้ว