ตอนที่ 153 ลางสังหรณ์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจับตาดูอาหารการกินของเรือนมีคู่ทั้งหมดให้ดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แต่งตัวอยู่หน้ากระจกกล่าวกับเซียงเสวี่ย นางซาบซึ้งใจหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นอย่างมากที่ก่อนจะจากไปก็ได้ขอร้องให้ซั่งกวนฮ่าวตกคำรับปากอย่างไม่สำรวมเท่าไร…เมื่อนายใหญ่ของบ้านล้วนไม่อยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องทานอาหารพร้อมกัน อยากจะกินอะไร ก็ให้ตัวเองส่งสาวใช้ไปแจ้งที่ครัวก่อนหน้าหนึ่งวันหรือจะทำกินเองก็ย่อมได้ หลังจากนั้นก็กินในเรือนของตัวเอง ลดความเสี่ยงที่คนของตระกูลทั่วป๋าจะใช้โต๊ะอาหารตระกูลซั่งกวนมาเล่นละคร

คำพูดนี้ของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว…ตั้งแต่ทั่วป๋าฉินซินมาที่ตระกูลซั่งกวนก็ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้าซั่งกวนเจวี๋ยเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดคุยตามลำพัง ก่อนงานชมดอกบัว ซั่งกวนเจวี๋ยต้องต้อนรับแขกเหรื่อจากตระกูลต่างๆ ที่เชื้อเชิญมา หลังจากงานชมดอกบัว ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังต้องวิ่งวุ่นอยู่ในจวนทั้งวัน ส่งแขกไปแล้วก็ไปเรือนโม่โฉวกับพวกซั่งกวนฮ่าว เมื่อพวกซั่งกวนฮ่าวกลับมา เขาก็มาแยกตัวไปอยู่ตามลำพังกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์สองคนอีก ทั่วป๋าฉินซินคิดอยากจะไปเป็นก้างขวางคอที่เรือนสดับวายุ แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับกล่าวอย่างเรียบเย็นว่า ‘ตายจริง เรือนสดับวายุเป็นของพี่สะใภ้เจ้าแล้ว หากอยากจะไปก็รอพี่สะใภ้เจ้ากลับมา ถามนางว่าต้อนรับได้หรือไม่แล้วค่อยว่ากันเถิด!’ พวกเขากลับมาแล้วนางยังจะต้องไปอีกทำไมล่ะ? ทั่วป๋าฉินซินโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ ทำได้เพียงต้องอดใจรอซั่งกวนเจวี๋ยกลับมาเท่านั้น

พอคนกลับมา ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ส่งพวกสาวใช้และแม่นมไปเชิญตัวหลายครั้งหลายคราว ก็ล้วนถูกซั่งกวนเจวี๋ยบอกปัดทั้งหมด โอกาสที่พอจะสามารถพบหน้าซั่งกวนเจวี๋ยได้ก็มีเพียงตอนอาหารเย็นเท่านั้น ดังนั้นทั่วป๋าฉินซินจึงพยายามโอบกอดเวลาทุกนาที ไม่ยอมสูญเสียโอกาสใดใดในการแสดงความปรารถนาดีต่อซั่งกวนเจวี๋ย น่าเสียดายที่อย่าพูดเลยว่าซั่งกวนเจวี๋ยหลิ่วหูหลิ่วตาให้นาง แต่กระทั่งหางตาก็ยังไม่แลมองนางแม้แต่น้อย เวลานั้นก็ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ดูเรื่องสนุกจนพอแล้ว

เมื่อมาน้อมทักทายนานวันเข้า ก็ถูกซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเรียบนิ่งหนึ่งประโยคว่า ‘ยากที่ฉินซินจะเข้ามาเป็นเพื่อนคุยกับท่านแม่ได้พอดี มี่เอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นมาเรือนหลังรบกวนพวกนางแล้ว พักเรื่องน้อมทักทายไว้ก่อนเถิด!’

ดังนั้น มี่เอ๋อร์จึงสามารถหลีกเลี่ยงการพบปะกับคนที่น่ารำคาญพวกนั้นได้อย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าหากทั่วป๋าซู่เยวี่ย เรียกนางเข้าไปหาก็เป็นอีกเรื่อง

“สะใภ้ใหญ่ ท่านกังวลว่าพวกนาง…” เซียงเสวี่ยสะดุ้งสุดตัว มีคำหนึ่งผุดเข้ามาในหัวทันที วางยาพิษ! ในยุทธภพนั้นมีพวกยาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นอยู่มากมาย หากพวกนางคิดจะมาไม้นี้ อย่างไรก็ต้องระมัดระวังให้ดี แต่ว่า…นางแค่นเสียงออกมา ท่านป้าไม่ได้ส่งต่อวิชาพิษให้คุณหนู แต่กลับให้ตัวเองเป็นผู้สืบทอดแทน ก็เพื่อที่จะป้องกันการถูกคนลอบทำร้าย

“นี่เป็นเพียงแค่เรื่องหนึ่ง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “เจ้าน่าจะรู้แล้วว่า แม้ร่างกายของข้าจะไม่ถึงกับร้อยพิษไม่อาจกล้ำกราย แต่ยาพิษธรรมดาทั่วไปนั้นย่อมไม่อาจทำอะไรข้าได้ เพียงแต่ตอนนี้ข้าอาจจะมีแล้ว!”

“มีอะไรเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยยังคงตามไม่ทัน

“จะอะไรได้อีก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลุดยิ้มออกมา “แน่นอนว่าท้องแล้วน่ะสิ!”

“จริงหรือเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยร้องขึ้นมาอย่างดีใจ นี่เป็นเรื่องดี นางรีบกล่าวถาม “มีตั้งแต่เมื่อไร กี่วันแล้วเจ้าคะ? ไยจึงไม่บอกคุณชายใหญ่? หากเขารู้ว่าท่านกำลังตั้งท้องย่อมต้องดีใจเป็นแน่! ไม่สิ ข้าจะรีบเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพ่อบ้านจิ่น ท่านไม่อาจจะเหนื่อยเกินไปได้!”

“กลับมาก่อน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเซียงเสวี่ยที่ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกอย่างขบขัน กล่าวยิ้มๆ “แต่ข้ายังไม่กล้ายืนยัน เพียงแต่วันก่อนในตอนที่นั่งสมาธิรู้สึกว่าร่างกายแปลกๆ ไป อีกทั้งยังเป็นที่ส่วนมดลูก ดังนั้นจึงสงสัยว่าอาจจะเป็นเช่นนี้! เจ้าน่าจะรู้ดี ผู้ที่นั่งฝึกกำลังภายในล้วนมีความสามารถในการโคจรลมปราณ หากจะให้ตั้งท้องนั้นย่อมยากกว่าผู้หญิงทั่วไป หลังจากน้ำวิสุทธิ์เข้าสู่ร่างกาย หากไม่ระวังให้ดี ก็จะถ่ายลมปราณออกไป หากไม่ใช่ว่าท่านป้าคุ้นเคยศาสตร์เรื่องยาเป็นอย่างดี ทั้งข้าเองยังมีกำลังภายในที่ไม่ธรรมดา เกรงว่าก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้เป็นแน่ และเพราะข้าไม่มีความเคลื่อนไหวมาโดยตลอดจึงได้คิดหลักการนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นระยะนี้จึงตั้งใจระมัดระวังจนเกิดเป็นผลลัพธ์นี้ขึ้นมา”

ใบหน้าของเซียงเสวี่ยแดงระเรื่อเล็กน้อย นางเองเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง พูดคุยเรื่องเช่นนี้ออกจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“ที่จริงข้าก็ไม่กล้ายืนยันว่าท้องจริงๆ หรือไม่ เพียงแต่ข้ามีความรู้สึกไวกว่าคนทั่วไป ทั้งรู้จักร่างกายของตนเองเป็นอย่างดีก็เท่านั้น ใช่หรือไม่คงต้องรอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งจึงจะยืนยันออกมาได้ ทั้งนี้แค่อยากระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันใด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแค่คุ้นชินกับการระมัดระวังเท่านั้น อีกอย่าง แม้แต่ตัวนางก็เพียงแค่รู้สึกว่าผิดปกติ เดิมชีพจรก็ยังไม่ชัดเจน แม้ว่าจะเป็นนาง ก็ยังจับชีพจรตั้งครรภ์ไม่ได้ อาจจะทำให้คนอื่นดีใจเก้อก็ได้

“เป็นอย่างนี้นี่เอง!” เซียงเสวี่ยผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงกล่าวอย่างหนักแน่น “ความรู้สึกของท่านย่อมไม่มีทางพลาด ต้องตั้งครรภ์แล้วแน่ๆ เจ้าค่ะ เรื่องอาหารข้าจะจับตาดูเป็นพิเศษ ไม่อาจปล่อยให้มีอะไรมากระทบกับครรภ์ได้ ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ! ข้าคิดว่าอีกสักเจ็ดแปดวันก็น่าจะสามารถยืนยันได้แล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องนานถึงเพียงนั้น แค่ห้าวันข้าก็สามารถยืนยันได้แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้ม “ดังนั้นคงมีเรื่องมากมายที่ต้องลำบากเจ้าแล้ว!”

“เหตุใดท่านจึงพูดอย่างกับว่าข้าเป็นคนนอกขนาดนั้นล่ะเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยแย้มยิ้ม

“ตามหลักการแล้ว เจ้าควรนับเป็นน้องสาวของข้า แต่กลับต้องให้เจ้ามาทำเรื่องของสาวใช้ ข้าก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมากแล้ว แต่หากให้ข้าปล่อยเจ้าไป ข้าก็ไม่วางใจเช่นกัน หนทางยุทธจักรของหญิงสาวนั้นไม่อาจเดินไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชื่นชอบเซียงเสวี่ยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งกระจ่างใจดีว่าเซียงเสวี่ยมีความสามารถอะไรบ้าง ดังนั้นเซียงเสวี่ยจึงได้ติดตามข้างกายนางโดยไม่คิดบ่นอันใด เพียงเป็นแค่สาวใช้ มี่เอ๋อร์ก็ละอายใจมากแล้ว แต่หากให้นางไป นางก็ไม่มีครอบครัวแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก?

“ข้ายังคงชอบที่อยู่ข้างกายท่านมากกว่า!” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างจริงใจ รั้งตัวอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำเป็นหลัก ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องคิดมาก นางไม่ใช่คนที่โง่เขลา แต่เพียงแค่ใช้ความคิดไปกับเรื่องที่ชอบก็เท่านั้น เรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาให้ครุ่นคิดมากมาย

“สะใภ้ใหญ่ พ่อบ้านจิ่นส่งจดหมายมาฉบับหนึ่งเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวส่งเสียงเข้ามาจากปากประตู เยี่ยนมี่เอ๋อร์และเซียงเสวี่ยจึงตัดจบบทสนทนาทันที ลู่หลัวยากที่จะเข้ามาพร้อมกับจื่อหลัว ดูท่าแล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อยู่ พวกสาวใช้เรือนไร้เดี่ยวก็พอได้ผ่อนคลายขึ้นมาด้วย

“ตายจริง…นี่ไม่ใช่พี่ลู่หลัวหรอกหรือ? ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาตั้งกี่วันแล้ว!” เซียงเสวี่ยร้องเสียงดังอย่างเกินไปอยู่บ้าง ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์และจื่อหลัวต่างก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ลู่หลัวถลาเข้ามาบีบปากนางอย่างโมโห ก่อนทั้งสองคนจะหยอกล้อกันยกใหญ่

“เอาล่ะ หยุดเล่นได้แล้ว เป็นจดหมายอะไรจื่อหลัว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลกใจอยู่บ้าง เป็นใครที่ส่งจดหมายมาให้ตนเองกัน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำต้องยอมรับว่าตัวเองนั้นติดต่อกับผู้คนน้อยไปอยู่บ้างจริงๆ ยิ่งแทบไม่อาจนับใครเป็นสหายได้ด้วยซ้ำ

“มาจากเซิ่งจิงเจ้าค่ะ คาดว่าคุณหนูทั้งสองคงจะคิดถึงท่าน ดังนั้นจึงเขียนจดหมายมาไถ่ถามข่าวคราว” จื่อหลัวมอบจดหมายให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลางยิ้ม จากนั้นก็ค่อยรักษาท่าที “สะใภ้ใหญ่ ลุงจิ่นให้ข้ามาบอกกล่าวกับท่าน คุณชายอวี่ไข่เพิ่งจะต้อนรับสหายไม่กี่คนเข้ามาในจวน คนเหล่านั้นล้วนเป็นลูกอนุภรรยาตระกูลธรรมดา ส่วนมากเป็นคนไม่เอาการเอางาน แสวงหาแต่ความสุขสำราญไปวันๆ เจ้าค่ะ หากท่านไม่มีเรื่องอันใด อย่าออกไปทางเรือนตะวันออกน่าจะดีที่สุด หากจำเป็นจริงๆ ก็พาคนรับใช้ไปมากหน่อยเจ้าค่ะ จะได้หลีกเลี่ยงจากคนเสเพลพวกนั้น”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นี่อวี่ไข่คิดจะทำอะไร? อยากจะดูถูกตัวเอง? ให้คนคิดว่าเขาไม่มีอนาคต เอาแต่เป็นลูกผู้ลาก มากดีที่หาความสนุกใส่ตัวเป็นวันๆ หรือเพราะว่าคนของตระกูลซั่งกวนที่พอจะกำราบเขาได้ล้วนไม่อยู่ ดังนั้นจึงเปิดเผยด้านที่น่ารังเกียจที่สุดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวอันใด

“ดูเหมือนว่าคุณชายอวี่ไข่จะขลุกอยู่กับพวกเขาตั้งแต่งานชมดอกบัวแล้วเจ้าค่ะ หลังจากงานชมดอกบัวสิ้นสุดลงพวกเขาก็ยังนัดกันไปที่แหล่งกามารมณ์ นายท่านก็รู้เช่นกัน เพียงแค่กล่าวตักเตือนผ่านอนุภรรยาหนิงไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น ให้นางใส่ใจเรื่องคุณชายอวี่ไข่ให้มากหน่อย ไม่ได้ห้ามปราม ทั้งลงโทษอะไรเจ้าค่ะ!” ลู่หลัวนั้นรู้มาไม่น้อยเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่านางไปลอบฟังข่าวมาจากที่ใดกัน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชำเลืองมองนาง จื่อหลัวยิ่งพินิจนางอย่างตกตะลึง ส่วนเซียงเสวี่ยนั้นกล่าวถามออกมาอย่างไม่เกรงใจ “พี่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเรื่องนี้ นอกจากพวกเรา คนอื่นๆ ต่างก็รู้ทั่วกันหมดแล้ว?”

คำพูดนี้ของเซียงเสวี่ยมีเหตุผล พวกนางล้วนติดตามเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่เรือนสดับวายุ ย่อมไม่รู้ถึงเรื่องนี้ แต่หากกล่าวว่าทุกคนล้วนรู้ทั่วกัน เช่นนั้นแม่นมฉินที่รั้งตัวอยู่ที่เรือนมีคู่ก็น่าจะต้องรับรู้ แต่แม่นมฉินกลับไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยน่ะสิ!

“มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ เป็นเยี่ยนเซียง…” จู่ๆ ลู่หลัวก็นึกได้ว่าหลุดพูดออกมา รีบปิดปากทันที มองไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอย่างกระวายกระวายใจ ยังมีจื่อหลัวและเซียงเสวี่ยที่ยิ้มอย่างหยอกล้อ แลบลิ้นออกมาทั้งไม่กล่าวอันใด

“เหตุใดเยี่ยนเซียงจึงจงใจเอาเรื่องพวกนี้มาบอกเจ้า?” จื่อหลัวลากเสียงยาว เซียงเสวี่ยที่รู้งานก็ขวางอยู่ด้านหลังลู่หลัว ไม่ยอมให้นางหลีกหนี ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นยังคงรักษาท่าทีมองทั้งสองคนไล่ต้อน

“จงใจบอกที่ไหนกันล่ะ แค่พูดลอยๆ ออกมาเท่านั้น แต่เป็นข้าเองที่จำได้!” ลู่หลัวย่อมไม่อาจพูดตามจริง แต่จื่อหลัวและนางนั้นโตมาด้วยกัน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางกำลังร้อนตัวอยู่

“เจ้าบื้อนี่ หรือถูกเจ้าเด็กนั่นเอาตัวไปแล้ว?” จื่อหลัวหยิกแก้มนางไปที “มิน่าเล่าช่วงนี้แทบไม่เห็นเงา เพราะชอบนัดไปกับเยี่ยนเซียง ดังนั้นจึงลืมพวกเราไปแล้วใช่หรือไม่? รีบตอบข้ามาตามจริง มิเช่นนั้นดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!”

“สะใภ้ใหญ่ช่วยด้วยเจ้าค่ะ!” แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้ว แต่การเค้นเอาความของจื่อหลัวนั้นนางกลับจำได้ตรึงใจ ลู่หลัวไม่กล้าแม้แต่จะหลบ ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากคนที่กำลังมองดูเรื่องสนุกผู้นั้น

“ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าและเยี่ยนเซียงผู้นั้นมันอย่างไรกันแน่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง เยี่ยนเซียงนั้นเป็นบ่าวข้างกายที่ซั่งกวนเจวี๋ยเรียกใช้งานอยู่บ่อยๆ แท้จริงอายุก็ไม่น้อยแล้ว น่าจะประมาณสิบเจ็ดสิบแปด เป็นคนมีไหวพริบเป็นงานเป็นการ จับคู่กับลู่หลัวสาวใช้ที่จะว่าฉลาดก็ฉลาด แต่บางครั้งก็กับคล้ายไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงอย่างไรก็นับเป็นคู่ที่ไม่เลว กระนั้นนางก็อยากจะถามความเป็นไปเป็นมา

“ไม่ได้มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแค่ชอบพูดคุยด้วยกันบ่อยๆ เท่านั้น!” ลู่หลัวหน้าแดง ทั้งสองคนก็ไม่กล้าทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรอันใด เพียงแค่พูดคุยกันมากกว่าคนปกติเท่านั้น

“ลู่หลัว เจ้าชอบเขาใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง หญิงสาวแรกรุ่นก็คล้ายกับดอกไม้ที่กำลังจะแย้มบาน แต่งแต้มไปด้วยหยาดน้ำค้างในตอนเช้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนทำให้จิตใจเบิกบาน

“สะใภ้ใหญ่…” ลู่หลัวกระทืบเท้าอย่างเขินอาย นางจะพูดตรงๆ ออกมาได้อย่างไร?

“เช่นนั้นเขาก็คิดเหมือนกันใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อมยิ้ม ไล่ต้อนอีกประโยค

“เขาเพียงแค่พูดกับข้า ไม่ได้คิดจะหาเรื่องยุ่งให้คนอื่นเท่านั้นเจ้าค่ะ!” ลู่หลัวยังคงนับว่าพูดเก่ง

“เจ้านี่นะ! เรื่องพวกนี้หากถูกคนพบเข้า บอกว่าพวกเจ้าลอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ข้าก็คงพูดยากแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มทั้งส่ายหน้า “ดีที่เขาติดตามคุณชายออกจากจวนไป รอเขากลับมาไม่อนุญาตให้พวกเจ้าลอบไปมาหาสู่แล้ว ได้ยินหรือไม่?”

“สะใภ้ใหญ่…” ใบหน้าของจื่อหลัวซีดเซียวลงมาทันที ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ชอบถือหางมาโดยตลอดจะมีท่าทีเช่นนี้

“สะใภ้ใหญ่?” จื่อหลัวตกตะลึงอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีท่าทีไม่เหมือนกับโกรธก็เข้าใจทันที กล่าวยิ้มๆ “ข้าเข้าใจแล้ว! สะใภ้ใหญ่อยากจะพูดกับคุณชาย มอบลู่หลัวให้กับเยี่ยนเซียง เลี่ยงจุดอ่อนที่จะบอกว่าลอบส่งข้อมูลกัน บ่าวพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ?”

“เจ้านี่มันฉลาดจริงๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างหยอกล้อ ก่อนกล่าวจริงจัง “พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดของข้า ข้าก็ปรารถนาให้พวกเจ้ามีที่พักพิงดีๆ เช่นกัน จื่อหลัว เจ้าก็อย่าเอาแต่ยิ้มอยู่ตรงนั้น เจ้าก็เหมือนกัน หากเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ตัวเองพบเจอคนที่ชอบก็ควรบอกข้าล่วงหน้า ข้าจะเป็นคนจัดการให้พวกเจ้าเอง ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอันใด กลับกันอาจจะถูกผู้คนจับจุดอ่อนเอาไปพูดกันได้ เอาเถิด พวกเจ้าลงไปกันเสีย ข้าอ่านจดหมายจบแล้วจะตามลงไปเอง จื่อหลัว หาเวลาและโอกาสตักเตือนคนอื่นๆ ด้วย ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างลู่หลัวที่ไปจนถึงมือคนอื่นแล้ว ข้าจึงเพิ่งจะรู้!”

แม้ว่าลู่หลัวจะถูกหยอกเย้าจนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา แต่เรื่องที่กังวลใจมาโดยตลอดล้วนพูดออกมาหมดแล้ว ในใจจึงผ่อนคลายขึ้นมา หลังจากเคารพเยี่ยนมี่เอ๋อร์พร้อมกับจื่อหลัวและเซียงเสวี่ยก็เดินออกไปทั้งยิ้มอย่างเบิกบาน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ แกะจดหมายปึกใหญ่ออกอ่าน มีของหลิงหลง จิงอิ๋ง และเฉาซื่ออี๋ด้วย หลิงหลงและจิงอิ๋งตั้งใจเขียนเล่าการใช้ชีวิตหลังจากที่พวกนางไปถึงเซิ่งจิง มีทั้งดีใจ มีความสุข ผิดหวัง เสียใจ…ทั้งยังแสดงความรู้สึกคิดถึงต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วย ส่วนเฉาซื่ออี๋นั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก เขียนตัวอักษรสองแถวหนึ่งประโยค ทว่ากลับทำให้คิ้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดเป็นปม เมื่อใช้แรงขยำ กระดาษนั้นก็กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา พอเงยหน้ามองดู ท้องฟ้าที่ดูปลอดโปร่งกลับไม่รู้ว่าได้มืดครึมลงมาตั้งแต่เมื่อใดแล้ว…

—————–