บทที่ 91 กับดัก
“สิ่งที่ฉันรู้ ฉันก็บอกไปหมดแล้ว ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน……” ฮั่วหลินอ้อนวอน
หลัวซิวเก็บกระบี่เงามืดเข้าฝัก แล้วเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “ฉันบอกไปแล้วว่าจะไม่ฆ่าแก ฉันก็จะไม่ทำ”
จบประโยคฮั่วหลินจึงถอนใจ ทว่าในตอนนั้นหลัวซิวกลับยกฝ่ามือฟาดลงที่จุดตันเถียนของเขา เพื่อขจัดผลการฝึกตนของเขาทิ้ง
ฮั่วหลินเบิกตาโพลง ดวงตาของดำมืดก่อนที่จะหมดสติไป
ปลิดชีวิตไปสอง กำจัดไปอีกหนึ่ง ในแววตาของหลัวซิวไม่ปรากฏวี่แววความสงสาร ในเมื่อคนพวกนี้แข็งข้อกับเขาก็ต้องได้รับผลของการกระทำตัวเอง
“คนนอกสำนักควบคุมเซินกาวเจี้ยนอยู่?”
หลัวซิวเลิกคิ้ว จากรายงานที่เขาได้ยินจากปากของฮั่วหลิน ความสัมพันธ์ระหว่างเซินกาวเจี้ยนกับจางหลู่เหลียงนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ตามหลักแล้วนี่ไม่น่าจะเป็นฝีมือของจางหลู่เหลียงไหว้วานมา
ไม่เพียงเท่านั้น หลัวซิวยังได้ข่าวมาอีกด้วยว่าพ่อแม่และพี่สาวของตนถูกควบคุมเอาไว้แล้ว ตอนนี้ถูกขังอยู่ในสำนักยุทธ์ ส่วนเจ้าสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนตอนนี้ถูกปลดจากตำแหน่ง เซินกาวเจี้ยนจึงเป็นผู้ขึ้นมารับตำแหน่งเจ้าสำนักชั่วคราว
นี่คือแผนจัดการหลัวซิวอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแค่พ่อแม่และพี่สาวของเขาเท่านั้น แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนยังถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง
“เซินกาวเจี้ยนถูกคนนอกสำนักบงการ อย่างน้อยๆ คนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งจากสวรรค์ชั้นเจ็ดมาโดยกำเนิด หากใช้เพียงพลังของฉันบุกเข้าไปช่วยที่สำนักยุทธ์ คงไม่ต่างอะไรกับแกะวิ่งเข้าไปในปากเสือ”
หลัวซิวพยายามบังคับให้ตัวเองสงบลง เพื่อไม่ให้ก่อเรื่องบุ่มบ่ามที่ส่งผลร้ายจนเกินเยียวยา
เขามั่นใจว่าตอนนี้ทั่วเมืองชิงหยุนคงจะมีหูตากระจายอยู่ทั่วแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ศัตรูยังไม่รู้ว่าเขาใช้ค่ายวาร์ปบุกมาถึงเมืองชิงหยุน แต่การที่ฮั่วหลินและพรรคพวกหายตัวกันไปตั้งสามคน พวกศัตรูก็คงพอเดาได้แล้วว่าตอนนี้เขาได้บุกมาถึงเมืองชิงหยุนแล้ว
หลัวซิวแน่ใจว่าต่อให้ตนฆ่าฮั่วหลินตายแล้วทำลายศพจนไม่เหลือซาก เขาก็คงจะเหลือเวลาไม่มากอยู่ดี
ตั้งแต่ตอนที่เขาได้หมวกสานมาจากกล่องสมบัติตอนที่ฝึกฝนอยู่ที่เขาปาฉี หลัวซิวก็ไม่ได้กลับไปยังสำนักยุทธ์ชิงหยุนอีก แต่กลับไปยังแก๊งนักล่าอสูรที่อยู่ในเมือง
บารมีของแก๊งนักล่าอสูร แก๊งนักค่ายกล แก๊งนักหลอมอาวุธและแก๊งนักกลั่นยารวมทั้งสี่แก๊ง ไม่ว่าจะในเขตการปกครองหยุนหลงหรือว่าในประเทศเทียนหวู ต่างมีฐานะที่สูงส่งทั้งสองที่
แม้จะดูคล้ายว่าฐานะของสำนักเซียวเหยาเหนือกว่าแก๊ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงเพราะระหว่างทั้งสองกลุ่มยังไม่ได้มีผลประโยชน์หรือความขัดแย้งใดๆ ต่อกันเท่านั้น
นอกสำนักเซียวเหยา หลัวซิวเคยได้ยินมาว่า สาขาของสุดยอดแก๊งทั้งสี่แผ่ขยายไปทั่วทั้งแผ่นดินและประเทศเทียนหวู และเมืองที่มีขนาดทั่วๆ ไปที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของประเทศเทียนหวู ต่างมีฐานอำนาจของสุดยอดแก๊งทั้งสี่อยู่ทั้งสิ้น
ในเขตการปกครองหยุนหลง แม้แต่เจ้าสำนักเซียวเหยาเองเวลาที่ต้องพบหน้ากับหัวหน้าสุดยอดสี่แก๊งยังต้องปฏิบัติตัวอย่างนอบน้อม
ภายในแก๊งนักล่าอสูรเป็นเขตปลอดการทะเลาะเข่นฆ่า ดังนั้นเมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ ขอแค่เขาไม่ก้าวออกจากที่นี่ไป ในห้องโถงใหญ่ของแก๊งแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับเขา
……
สำนักชิงหยุน
หนึ่งในสถานที่ดำเนินงานนอกสำนักเซียวเหยา เซินกาวเจี้ยนมีร่างกายแข็งแกร่ง ฝ่ามือหนากว้าง ใบหน้าด้านซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นรูปตะขาบอันน่าสยดสยอง
ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าสำนักมองไปที่ร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่างและฮั่วหลินที่ถูกถอดการฝึกตนในสภาพไร้สติด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
“ท่านเจ้าสำนัก เราพบคนทั้งสามคนนี้หมดสติอยู่บนถนนในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลัวซิวคงจะกลับมาถึงเมืองชิงหยุนแล้ว”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งเป็นคนกล่าวขึ้น และคนผู้นี้คือจางช่าวไห่ ผู้ที่รับผิดชอบตำแหน่งเจ้าตระกูลจางอยู่
“เขาคงจะใช้ค่ายวาร์ปของแก๊งนักล่าอสูรมาที่นี่” เซินกาวเจี้ยนมองจางช่าวไห่พลางพยักหน้า “เจ้าพาองครักษ์เกราะเขียวจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปเฝ้าใกล้ๆ พวกแก๊งนักล่าอสูรเอาไว้ หากเห็นหลัวซิวโผล่หัวออกมาก็ฆ่ามันอย่าให้เหลือซาก!”
“ครับ” จางช่าวไห่รับคำก่อนจะออกไปจัดการ
เซินกาวเจี้ยนยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “องครักษ์ มาเอาศพทั้งสามนี้ออกไปฝัง”
องครักษ์เกราะเขียวสองสามนายวิ่งเข้ามาด้านในสำนัก จึงพบว่ามีหนึ่งร่างไม่ใช่ศพ แต่เพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น
ทว่าองครักษ์เกราะเขียวเหล่านี้ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรมากนัก จึงทำตามคำสั่งของเซินกาวเจี้ยนอย่างระมัดระวัง
ริมฝีปากของเซินกาวเจี้ยนปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขาชอบความรู้สึกที่มีคนเคารพเกรงกลัวเขาแบบนี้ ครั้งนี้เขาได้ถือคำสั่งระดับสูงมาที่เมืองชิงหยุนด้วย แม้ว่าผู้ที่ฝึกตนมาสูงกว่าเขาอย่างเจ้าสำนักชิงหยุนยังต้องยอมสละอำนาจเจ้าสำนักยุทธ์แต่โดยดี
……
แก๊งนักล่าอสูร
หลัวซิวที่สวมหมวกสานอยู่ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์
ผู้ต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ยังคงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแก๊งนักล่าอสูรในสาขาเมืองชิงหยุน เธอมีนามว่าเจียงชานชาน
“น้องสาว ผมมาพบผู้อาวุโสจวงหนานเทียนครับ” หลัวซิวกล่าวเสียงทุ้ม
เขารู้จักใครไม่มากนักในเมืองชิงหยุน เจ้าสำนักชิงหยุนถูกแย่งอำนาจไปโดยไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไรบ้าง เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าจวงหนานเทียนนอกจากจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์แล้ว ยังเป็นผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของแก๊งนักล่าอสูรด้วย
เจียงชานชานหยุดชะงักไปก่อนจะรีบยิ้มออกมา “คุณผู้ชายคะ คุณเป็นอะไรกับผู้อาวุโสจวงคะ ฉันจะได้รายงานท่านได้ถูกค่ะ”
“ผมเป็นรุ่นน้องของผู้อาวุโสจวง คุณแค่บอกเขาว่าหลัวซิวมาขอพบ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เจียงชานชานอมยิ้มพลางกล่าว
เดี๋ยวนะ……หลัวซิว? เคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนกันนะ
เจียงชานชานมองผู้ที่ใส่หมวกสานอีกครั้งด้วยความสงสัย แต่เธอก็นึกไม่ออก
“น้องสาวมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หลัวซิวถามขึ้น เขาใส่หมวกสานอยู่ ทำให้เจียงชานชานจำเขาไม่ได้
“เอ่อ……ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ”
เจียงชานชานหลุดจากภวังค์แล้วรีบเรียกคนอีกคนที่มีหน้าที่ต้อนรับเช่นกันมา จากนั้นจึงเข้าไปรายงานกับผู้อาวุโสจวง
“มีองครักษ์เกราะเขียวอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาที่แก๊งนักล่าอสูรทำไม”
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่สำนักชิงหยุนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ใครจะรู้ล่ะว่าเกิดเรื่องอะไร”
“ในแก๊งนักล่าอสูรไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน อย่าว่าแต่องครักษ์เกราะเขียวกลุ่มนี้เลย แม้แต่เจ้าสำนักยุทธ์เองยังไม่กล้ามาบุ่มบ่ามที่นี่”
“เหอะๆ อย่าคิดว่าพวกเราเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของแก๊งนักล่าอสูร ได้ยินมาว่าผู้เป็นหัวหน้าแก๊งเป็นถึงปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง”
หลัวซิวได้ยินนักล่าอสูรสองสามคนกำลังสนทนากัน ใบหน้าภายใต้หมวกสานปรากฏความสงสัยขึ้นมา เขาแน่ใจได้ทันทีเลยว่าเซินกาวเจี้ยนจะต้องรู้แล้วอย่างแน่นอนว่าเขามาถึงเมืองชิงหยุนแล้ว
แต่เรื่องที่แก๊งนักล่าอสูรมีปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งอยู่ด้วยต่างหากที่ทำให้เขาเหนือความคาดหมาย ในเวลาเดียวกันยังทำให้รู้ด้วยว่าอำนาจของแก๊งนักล่าอสูรนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงชานชานก็กลับมา “ผู้อาวุโสจวงให้ดิฉันมาเชิญคุณเข้าไปด้านใน ตามฉันมาทางนี้ค่ะ” หลัวซิวพยักหน้าแล้วเดินตามเจียงชานชานไปถึงหน้าประตูห้องของแก็งนักล่าอสูรห้องหนึ่ง
เขาผลักประตูเข้าไปด้านใน หลัวซิวจึงเห็นว่าด้านในมีคนนั่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือจวงหนานเทียน ส่วนอีกคนหนึ่งทำให้หลัวซิวประหลาดใจมาก นั่นก็คือเจ้าสำนักชิงหยุน
ภารกิจของเจียงชานชานเสร็จสิ้น เธอจึงเดินออกไป แต่ยังคงคิดไปตลอดว่าทำไมเธอถึงคุ้นหน้าหลัวซิวผู้นี้นัก
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอจึงนึกออก……ใช่เขาเหรอ? ไอ้หนุ่มขนดกที่เธอเคยบอกเอาไว้ตอนนั้นว่าจะตามจีบ?