บทที่ 161 ตั๊กแตนหรือนกหวงเชวี่ย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จินเฟยเหยารับประทานอาหารที่โต๊ะ พลางสังเกตสภาพโต๊ะของจินเฟยหยาง

คำนวณดูแล้วไม่ได้พบหน้ากันเกือบหกสิบปี จินเฟยหยางไม่ใช่เด็กน้อยที่ขลาดเขลาคนนั้นแล้ว แต่เป็นชายร่างกำยำนั่งอยู่ที่โต๊ะ หากมิใช่บนใบหน้าเพียงเพิ่มริ้วรอยแห่งวันเวลา สีผิวคล้ำนิดหน่อย และองคาพยพทั้งห้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก จินเฟยเหยาคงจำเขาไม่ได้

พวกเขาสามคนรับประทานอาหารบนโต๊ะอย่างเงียบๆ เงียบกริบ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว

ส่วนโต๊ะของหอซวีชิงด้านหลังกลับพูดมาก ทว่าล้วนพูดคุยเรื่องสำนักตงอวี้หวง ทำให้จินเฟยเหยารับฟังจนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง คนของหอซวีชิง เหตุใดจึงพูดเรื่องสำนักตงอวี้หวง ฟังเนื้อหาแล้วไม่เหมือนเป็นศัตรู ในนั้นยังมีเรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกำลังพูดถึงสำนักของตนเองมากกว่า

สำนักตงอวี้หวง…ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เหมือนเคยเห็นซื่อเต้าจิงเอ่ยถึงว่าจัดงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง นึกไม่ไม่ออก จินเฟยเหยาหวนนึกถึง น่าเสียดายที่เวลาผ่านไปนานมาก นางจึงนึกไม่ออกว่าในเนื้อหาเขียนไว้ว่าอย่างไร

“ศิษย์พี่เฟิง” ในยามนี้เอง ตรงประตูมีคนเข้ามาสองคน เป็นไป๋เจี่ยนจู๋และผู้บำเพ็ญเซียนที่ยังหนุ่มมากคนหนึ่ง หลังจากทั้งสองคนเข้ามาก็ตรงไปยังที่ที่เฟิงอวิ๋นจู๋นั่งอยู่

จินเฟยเหยาสยิวกาย ในที่สุดก็ปรากฏตัว ทำให้คนหน้าม่อยคอตกจริงๆ นางอดขยับตัวไม่ได้ กระทั่งใบหน้าด้านข้างก็ไม่อยากเผยออกมา

“ศิษย์น้องไป๋ ศิษย์น้องซิ่นเทียน ในที่สุดพวกเจ้าก็มา จัดการเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง” เฟิงอวิ๋นจู๋ขยับที่ให้และ เรียกพวกไป๋เจี่ยนจู๋สองคนนั่งลง

ศิษย์น้องซิ่นเทียนที่ยังหนุ่มคนนั้นรับคำและนั่งลง ทว่าไป๋เจี่ยนจู๋กลับไม่ได้นั่ง มองไปด้านข้างอย่างเคร่งขรึม เฟิงอวิ๋นจู๋แปลกใจอยู่บ้างจึงมองตามสายตาของเขาไป เห็นหน้าโต๊ะศิลาด้านข้างมีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษนั่งหันหลังให้พวกเขาคนหนึ่ง

“ศิษย์น้องไป๋ เป็นอะไรไป เจ้ารู้จักคนผู้นี้?” เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

ไป๋เจี่ยนจู๋ยิ่งมองเงาหลังของคนผู้นี้ คิ้วก็ยิ่งขมวดมากขึ้น มองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนคนผู้หนึ่ง

ส่วนจินเฟยเหยาที่ปลอมตัวกลับรับประทานอาหารอย่างสงบนิ่ง ทว่ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าด้านหลังกำลังถูกไป๋เจี่ยนจู๋จ้องมองแน่วนิ่ง ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม

ดูท่าต้องข่มคนก่อน จินเฟยเหยาวางตะเกียบในมือ หยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปาก จากนั้นคลี่พัดดังฟุ่บ เอียงข้างลำตัวให้ไป๋เจี่ยนจู๋แล้วเอ่ย “สหายเซียนเจ้านี้ ไม่ทราบเหตุใดจึงจ้องมองข้าแบบมีปราณสังหารแผ่กระจายออกมา ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับเจ้า ขนาดหน้ายังไม่เคยพบ”

ไป๋เจี่ยนจู๋มองพินิจนางขึ้นลง ถึงคนผู้นี้จะหน้าตางดงาม แต่มีลูกกระเดือก ทรวงอกแบนราบ น่าจะเป็นบุรุษ คนที่เป็นบุรุษน่าจะไม่ใช่นาง ต่อให้นางเปลี่ยนโฉมหน้าได้ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนของบางอย่างให้กลายเป็นไม่มี เพียงแต่ เหตุใดเงาหลังจึงคลับคล้ายเช่นนี้ หรือว่าบุรุษผอมๆ ล้วนมีลักษณะแบบนี้?

“สหายเซียนเจ้านี้หน้าตาคล้ายสหายคนหนึ่งของข้าอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงมองดูหลายครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โปรดอย่าใส่ใจเลย” ถึงแม้ในใจไป๋เจี่ยนจู๋จะเกิดความสงสัย ทว่าเขายังคงอธิบายอย่างสงบนิ่ง

จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หรือว่าเจ้ามีสหายที่คลับคล้ายข้า ข้ามีพี่ชายน้องชายอยู่หลายคน บางทีสหายของเจ้าไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพี่น้องของข้า”

“ข้าจำคนผิด สหายของข้าเป็นสตรี” ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง

จินเฟยเหยามีสีหน้าแข็งทื่อ เอ่ยอย่างมีโทสะ “เจ้าไร้มารยาทอย่างยิ่ง ข้าเป็นบุรุษแท้ๆ คิดไม่ถึงจะบอกว่าข้าหน้าตาเหมือนสตรี นี่เจ้าคิดจะหยามเกียรติของข้าหรือ!”

เห็นจินเฟยเหยามีโทสะ เฟิงอวิ๋นจู๋รีบออกมาไกล่เกลี่ย “สหายเซียนเจ้านี้อย่าโมโหเลย ศิษย์น้องของข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าถือโทษเลย ข้อสำคัญคือสหายเซียนหน้าตาสง่างามเกินไป หาได้ยาก ดังนั้นศิษย์น้องของข้าจึงมองดูหลายครั้ง”

“ฮึ!” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างแรง หันกายไปอย่างมีโทสะ ไม่สนใจพวกเขาอีก

“ศิษย์น้องไป๋ อย่าก่อเรื่อง รีบนั่งลง” เฟิงอวิ๋นจู๋ใช้มือลากไป๋เจี่ยนจู๋ให้นั่งลงบนเบาะ

จินเฟยเหยาโล่งอก ถือว่าถูกนางหลอกลวงผ่านไปได้ ยาเปลี่ยนเสียงที่ซื้อมาโดยเฉพาะไม่เลวจริงๆ ไม่เช่นนั้นพอพูดจาก็ถูกคนจำได้

ใครช่วยบอกข้าที เจ้าพวกนี้แล่นจากโลกระดับดินมาถึงโลกระดับวิญญาณได้อย่างไร หรือว่าเดิมทีพวกเขาเป็นคนของโลกระดับวิญญาณ ไปโลกระดับดินก็เพื่อทำให้เบื้องล่างเกิดสงครามวุ่นวาย?

จินเฟยเหยาหงุดหงิดแทบตาย ชาติที่แล้วติดหนี้เจ้าหมอนี่ไว้เท่าไร ชาตินี้จึงเหมือนวิญญาณแค้นที่ไม่สลายหายไป

กินข้าวมื้อนี้ สอบถามไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย ส่วนพวกจินเฟยหยางสามคนก็รับประทานอาหารเสร็จอย่างเงียบๆ แล้วขึ้นไปชั้นบนโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ

หลังจากพวกเขาขึ้นไป จินเฟยเหยาก็ได้ยินพวกไป๋เจี่ยนจู๋ด้านหลังเอ่ยคำพูดที่มีความหมายไม่ชัดเจน

“เหตุใดจึงบังเอิญขนาดนี้…”

“…ได้มาโดยไม่ต้องเปลืองแรง ต้องจับตาดูพวกเขาไว้”

จับตาดูพวกเขา ต้องจับตาดูใคร? แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เป้าหมายของข้ามีเพียงจินเฟยหยาง ทางที่ดีคนเหล่านี้รีบไปเสีย อย่าได้กระทบถึงข้า

จินเฟยหยางกลับห้องแล้ว นางนั่งอยู่ที่นี่ไปก็ไร้ความหมายจึงรุดไปที่ชั้นห้า หลังจากเข้าห้องนางก็นั่งอยู่หลังประตูฟังความเคลื่อนไหวภายนอกตลอดเวลา ถ้าจินเฟยหยางออกไป นางจะได้ตามไปทันที

เรื่องเฝ้าจับตาดูนี่ลำบากจริงๆ จินเฟยเหยาตรากตรำเฝ้าอยู่สามวันก็ไม่เห็นพวกเขาสามคนมีความเคลื่อนไหวใด นอกจากลงมารับประทานอาหาร ก็เป็นเต่าหดหัวอยู่ในห้อง

จินเฟยเหยาจะฝึกบำเพ็ญก็ไม่กล้า จะนอนหลับก็กลัวจะพลาด เฝ้าอยู่หน้าประตูตลอดเวลาจนนางมีเพลิงโทสะเต็มท้อง

จินเฟยเหยาครุ่นคิด ตัดสินใจไปเปิดเผยฐานะกับจินเฟยหยาง จากนั้นจึงถามเขาตรงๆ ว่าเพราะเหตุใดจึงมาที่นี่ แต่พอคิดถึงว่าตอนนั้นดูเหมือนจะเคยทุบตีเขาอย่างรุนแรง เจ้าหมอนี่จะแค้นหรือไม่ ถ้าต่อสู้กัน พวกเขามีสามคน ทว่าตนเองมีเพียงคนเดียว ดูเหมือนจะเสียเปรียบ

ขณะที่จินเฟยเหยาลังเลตัดสินใจไม่ได้ พวกจินเฟยหยางพลันเดินออกมาจากห้อง คนทั้งสามสวมเสื้อคลุมสีดำเดินออกไปอย่างเร่งร้อน

สุดท้ายก็ยอมออกมา ข้านึกว่าพวกเจ้าตายอยู่ในนั้นแล้ว

จินเฟยเหยาไม่ได้ตามไปทันที ทว่ายืนอยู่ตรงหน้าต่างมองพวกเขาเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง ดูลักษณะแล้วคิดจะออกจากเมือง นางเล็งทิศทาง ขณะคิดจะลงจากตึกไล่ตามไป ก็เห็นเงาร่างหลายสายพลันวูบไหวผ่านเบื้องหน้า มีคนกระโดดตึก!

“เอ๋!” จินเฟยเหยาโผล่ศีรษะออกไปดู เห็นด้านล่างตึกมีพวกไป๋เจี่ยนจู๋สี่คนยืนอยู่ หลังพวกเขากระโดดลงไป ก็วิ่งตามหลังพวกจินเฟยหยางสามคนไปยังประตูเมือง

ที่แท้คนที่พวกเขาบอกว่าต้องจับตาดูคือจินเฟยหยาง มีเป้าหมายเหมือนข้า ยุ่งยากจริงๆ จินเฟยเหยาด่าทออย่างไม่พอใจ ตบยันต์ซ่อนกายลงบนร่าง กระโดดลงไปจากหน้าต่างเลียนแบบพวกเขา ติดตามด้านหลังไปห่างๆ

พวกจินเฟยหยางสามคนเดินออกนอกเมืองปาทงเข้าไปในผืนป่าทางทิศใต้ ถึงจินเฟยเหยาจะมียันต์ซ่อนกาย ทว่ายังติดตามด้านหลังพวกเขาไปอย่างระแวดระวัง

ทว่ายิ่งเดินไปนางยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ดูเหมือนคนที่สะกดรอยตามยิ่งมากขึ้นทุกที อีกทั้งดูแล้วเหมือนไม่ได้สะกดรอยพวกไป๋เจี่ยนจู๋ ทว่าทุกคนล้วนจับจ้องพวกจินเฟยหยางสามคน

คนที่ตามรอยเหล่านี้ล้วนมีวิธีซ่อนตัวของตนเอง ถึงแม้บางคนจะติดตามอยู่ด้านหลัง ทว่านางใช้การรับรู้กวาดไปกลับไม่รู้สึกถึงพวกเขาเลย บางคนไม่รู้ว่าใช้ของวิเศษอะไร ตลอดร่างแผ่กลิ่นอายของสัตว์ปิศาจขั้นต่ำออกมา ปลอมเป็นสัตว์ปิศาจเดินท่องไปทั่วป่า

จินเฟยเหยารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ คนเหล่านี้เพียงแค่ติดตามไปเงียบๆ พอถึงสถานที่เหมาะแก่การลงมือก็ยังไม่ลงมือ ดูท่าสถานที่ซึ่งพวกจินเฟยหยางจะไปคือเป้าหมายของคนเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงแอบตามอยู่ด้านหลังเงียบๆ พยายามไม่ให้คนที่สะกดรอยตามคนอื่นๆ พบเห็นตนเอง

บนพื้นเบื้องหน้าปรากฏบ่อพักน้ำเสีย จินเฟยเหยาถอยไปด้านขวาเล็กน้อย ทันใดนั้น นางก็รู้สึกได้ว่าสัมผัสโดนอะไรบางอย่างในความว่างเปล่า จากนั้นไอสังหารก็พุ่งเข้าปะทะหน้า

เสียงดังกิ๊ง ทงเทียนหรูอี้ของนางปรากฏขึ้นในพริบตากลายเป็นกระบี่ยาวสกัดไว้ กระทบเข้ากับบางสิ่ง พลังกดดันของอีกฝ่ายถ่ายทอดมาตามทงเทียนหรูอี้ทันที

เสียงนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่สะกดรอยตามจำนวนไม่น้อยแตกตื่น ทุกคนมองมาตามเสียง จินเฟยเหยามองไม่เห็นคู่ต่อสู้เช่นเดียวกัน ทุกคนหยุดมือไม่เคลื่อนไหว เพียงแต่ยังกำของวิเศษในมือแน่นดังเดิม ไม่มีสักคนที่คลายมือ

ยามนี้มีลมพัดมาจากในป่าพอดี ทำให้ป่าที่ร้อนอบอ้าวเย็นขึ้นเล็กน้อย รอบด้านเงียบกริบ ทุกคนหยุดสังเกตการณ์รอบด้านอยู่ที่เดิม

ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ได้มีเพียงตนเองที่สะกดรอยตาม ทว่าเสียงกระทบเมื่อครู่ ชัดเจนว่าเป็นเสียงของวิเศษกระแทกกัน คิดไม่ถึงว่าใครบางคนจะลงมือที่นี่ ถ้าทำให้สามคนเบื้องหน้าได้ยินจะทำอย่างไร

บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่สะกดรอยตามล้วนมองไปรอบด้านอย่างมีโทสะ ถ้าทำลายเรื่องดีงามของพวกข้า ก็เอาไอ้คนทำเสียงดังมาลงโทษก่อน

“สหายเซียนเจ้านี้ ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน ไยต้องทำเช่นนี้” รู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านไม่ถูกต้อง จินเฟยเหยาครุ่นคิด จึงเอ่ยเสียงเบาราวกับยุง

รอบด้านเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพัก ข้างกายจินเฟยเหยา ก็มีเสียงบุรุษที่สะกดให้เบาลงดังมาอย่างมีโทสะอยู่บ้าง “เจ้ากระแทกข้าก่อน เกือบจะทำให้ข้าเผยร่างออกมา”

“เจ้าไม่ต้องใช้กำลังก็ได้ ถ้าเอะอะจนสามคนนั้นรู้ตัว ทำเสียเรื่อง พวกเรามิต้องถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆฟันระบายโทสะหรือ” จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ

“ผู้ใดให้เจ้าเข้าใกล้อย่างกะทันหันเล่า ตนเองไม่ระวัง จะมาโทษข้าได้อย่างไร” อีกฝ่ายบ่นและค่อยๆ เก็บพลัง

จินเฟยเหยารู้สึกได้ว่าพลังกดดันบนทงเทียนหรูอี้คลายลง ดูท่าอีกฝ่ายคงรั้งมือกลับก่อน นางจึงเก็บทงเทียนหรูอี้กลับมา ยังไม่ทันเก็บกลับโดยสมบูรณ์ก็ระแวดระวังรอบกาย จากนั้นนางก็บ่น “เจ้าซ่อนกาย ข้าก็ซ่อนกาย ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ทางที่ดีเจ้าออกไปห่างๆ หน่อย อย่าเข้ามาใกล้นัก”

“ข้าอยากให้เจ้าไปห่างๆ ข้ามากกว่า แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเดินอยู่ตรงไหน!” อีกฝ่ายก็เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี

จินเฟยเหยาคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีคนที่สามารถซ่อนกายได้คนอื่นๆ ดูการกระทำของคนผู้นี้แล้วไม่นับว่าเลวร้าย มิสู้ทำสัญญาณลับกัน

“เอาอย่างนี้ ไม่แน่ว่ายังมีผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ที่สามารถซ่อนกายได้ พวกเรามาทำสัญญาณลับกันดีกว่า แบบนี้ตอนสัมผัสกันอีกครั้งก็บอกสัญญาณลับออกมา ถ้าเป็นคนอื่นค่อยลงมือ ถ้าเป็นพวกเราสองคนก็ต่างคนต่างไป เจ้าว่าใช้สัญญาณลับอะไรดี?”

อีกฝ่ายฟังคำพูดของนาง ก็เงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเราสองคนรู้จักกันหรือ?”

…………………………………..

[1] นกหวงเชวี่ย คือ นกขนาดเล็กชนิดหนึ่งในตระกูลนกกระจิบ