ภาคที่ 2 ตอนที่ 40 คนไร้ประโยชน์กลับมายังบ้านเกิด

มรรคาสู่สวรรค์

เวลากลางดึก บริเวณหน้าผาพลันมีเสียงวานรร้องขึ้นมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เงียบลงไป คล้ายถูกอะไรทำให้ตกใจ

 

กู้ชิงและชายหนุ่มแซ่หยวนเดินออกมาจากถ้ำ มองไปยังร่างที่เดินขึ้นมาจากทางขึ้นเขา รู้สึกตกใจเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะกู้ชิง

 

คนผู้นั้นสวมชุดสีน้ำเงิน เมื่ออยู่ในเวลาค่ำคืนดูคล้ายน้ำหมึก แต่กลับมิได้ให้ความรู้สึกสกปรก ในทางกลับกัน กลับดูสะอาดสะอ้านอย่างมาก

 

กั้วหนานซานมายังยอดเขาเสินม่อในเวลากลางดึกทำไม? หรือเป็นเพราะกลางวันได้รับบาดเจ็บ ยังผูกใจเจ็บ จึงมาหาเรื่อง?

 

กู้ชิงเคยเป็นเด็กรับใช้ของกั้วหนานซานมาหลายปี เวลานี้ได้พบนายเก่าที่ยอดเขาเสินม่อ สีหน้าจึงดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ สองมือยกขึ้นมาคารวะ มิได้กล่าวกระไร

 

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มิได้สนใจ และมิได้ลุกขึ้น

 

หากว่ากันจากความอาวุโสแล้ว เขาถือเป็นอาจารย์อาของกั้วหนานซาน การทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก

 

แต่กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของเจ้าสำนัก สถานะมีความพิเศษ ในอดีตมิว่าจะไปยังยอดเขาไหน ก็มักจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าแห่งยอดเขา ไหนเลยจะถูกเมินเฉยเช่นนี้

 

แต่เขาก็มิได้มีปฏิกิริยาอะไร หากแต่นั่งลงไปบนก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ริมผา

 

ชายหนุ่มแซ่หยวนมองกู้ชิงอย่างเป็นกังวล พลางใช้สายตาสอบถามว่าควรจะชงชารับแขกหรือไม่?

 

กู้ชิงยืนอยู่ที่เดิม มิได้ขยับเขยื้อน

 

เมื่อครู่ตอนที่เห็นกั้วหนานซาน เค้าเตรียมจะเดินไปยังริมผาเพื่อชงชา

 

ในอดีตตอนที่อยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง เค้าเคยทำเรื่องแบบนี้เป็นปกติ

 

เขาทราบว่ากั้วหนานซานชื่นชอบดื่มชามะลิราคาถูกที่สุด ก่อนนอนก็ชอบใช้ป้านชาเหล็กซีไห่ชงชาแดง

 

แต่เขาก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

ตอนนี้เขามิใช่เด็กรับใช้ของยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกแล้ว หากแต่เป็นลูกศิษย์ของยอดเขาเสินม่อ ฟังแต่เพียงคำสั่งของอาจารย์เท่านั้น

 

หากจิ๋งจิ่วให้เขาชงชาเขาก็จะชง จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร เขาก็ไม่ชง ง่ายๆ แค่นี้

 

กั้วหนานซานมิได้มองกู้ชิง หากแต่ยื่นมือไปหยิบป้านชาที่อยู่บนโต๊ะมาเทน้ำเย็นดื่มแก้วหนึ่ง พลางกล่าวว่า “ปอดได้รับบาดเจ็บ กระหายน้ำง่าย”

 

อาการบาดเจ็บของเขามาจากจิ๋งจิ่ว แต่น้ำเสียงของเขากลับสงบนิ่ง มิได้มีเจตนาอะไรอย่างอื่น เพียงแค่อธิบาย

 

“เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับเจ้า ข้าทำผิดพลาดเอง”

 

กั้วหนานซานมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “หลายวันก่อนบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร ข้าจึงหยิ่งผยองไปหน่อย วันนี้พยายามควบคุมกระบี่เหนือขีดความสามารถของตัวเอง จึงได้รับบทเรียนเช่นนี้”

 

จิ๋งจิ่วเหลือบมองเขา

 

กั้วหนานซานกล่าวต่อว่า “เมื่อสามปีก่อนข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ว่าเจ้าอาจจะเข้าใจยอดเขาเหลี่ยงว่างผิด ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนเจ้าจะเข้าใจผิดไปมาก”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าจะมาแก้ไขความเข้าใจผิด?”

 

กั้วหนานซานส่ายศีรษะ พลางกล่าวว่า “สิ่งที่ตาเห็นยังมิแน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง นับประสาอะไรกับคำพูด ตอนนั้นเจ้าบอกว่าวิถีของเราไม่เหมือนกัน เช่นนั้นก็มิต้องฝืนอธิบายอีก”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “เช่นนั้นเจ้ามายอดเขาเสินม่อทำไม?”

 

กั้วหนานซานกล่าว “ข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่า ภายหน้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรโดยไม่ไว้หน้าเหมือนอย่างวันนี้อีก”

 

จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร

 

กั้วหนานซานกล่าวต่อว่า “นี่คือการขอร้อง มิใช่แสดงความอ่อนแอ ศิษย์น้องกู้หานรู้ถึงรูปแบบการต่อสู้ของเจ้าแล้ว ไม่มีทางที่จะแพ้เจ้าอีก”

 

คำพูดประโยคนี้ของเขามิได้เอ่ยถึงตัวเอง —- ในเมื่อกระทั่งกู้หานจิ๋งจิ่วยังไม่อาจเอาชนะได้ ก็ยิ่งมิต้องพูดถึงเขาเลย

 

จิ๋งจิ่วกล่าวกับเขาว่า “หากมาเพียงเพื่อจะพูดอะไรเหล่านี้ วันหลังอย่าได้มาที่นี่อีก”

 

นี่มีความหมายว่าส่งแขก

 

หรือพูดอีกอย่างคือไล่แขก

 

กู้ชิงก้าวเข้ามายกมือขวาเพื่อบอกว่าเชิญ

 

กั้วหนานซานจ้องมองเขา มิได้กล่าวกระไร

 

……

 

……

 

มาคารวะอาจารย์บนยอดเขาเสินม่อในเวลากลางดึก อีกทั้งกระบี่หักไปแล้ว ดังนั้นกั้วหนานซานจึงเลือกที่จะเดินเท้า

 

หลังออกมาจากยอดเขา มาถึงบริเวณหน้าผา ครั้นเห็นกระท่อมไม้ที่ถูกเหล่าวานรยึดครองไปแล้ว เขาจึงอดส่ายศีรษะขึ้นมาไม่ได้

 

เมื่อหันหน้ากลับไปมอง ภายใต้ดวงดาราคาที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ยอดเขาโดดเดี่ยวดูคล้ายกระบี่

 

ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ยอดเขานี้โดดเดี่ยวที่สุด  ธรรมชาติงดงามที่สุด

 

คืนนี้เขามาที่นี่ ย่อมต้องมีความคิดอะไรบางอย่าง

 

กระบี่เซียนถูกหัก ร่างกายได้รับบาดเจ็บไม่น้อย มาเยือนในยามวิกาล มิได้มีการต่อว่า มีเพียงคำแนะนำ

 

เขาคิดว่าตนเองได้แสดงเจตนาที่ดีและมารยาทออกมามากพอแล้ว

 

คิดไม่ถึงว่าจิ๋งจิ่วจะเย็นชาถึงเพียงนี้

 

จากนั้นเขาคิดถึงกู้ชิง ผู้ซึ่งเคยเป็นเด็กติดตามรับใช้ตนเองมาหลายปี คิ้วกระบี่ของเขาพลันเลิกขึ้นมาเล็กน้อย

 

—- หรือยอดเขาโดดเดี่ยวแห่งนี้จะมีพลังเวทมนตร์อะไร ทุกคนที่มาที่นี่ถึงได้เปลี่ยนไปเป็นเหมือนอย่างปรมาจารย์อากันหมด?

 

……

 

……

 

“หากเจ้าสู้กับกู้หานอีกครั้ง จะมีโอกาสชนะไหม?”

 

เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากถ้ำ กล่าวถามจิ๋งจิ่ว

 

นางได้ยินคำพูดประโยคนั้นของกั้วหนานซาน

 

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของข้านั้นเป็นหนึ่งในชิงซาน”

 

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ต่อใช้เขาจะปรับตัวเข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของเจ้าได้?”

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าต้องจำเอาไว้เรื่องหนึ่ง”

 

เจ้าล่าเยวี่ยฟังอย่างตั้งใจ

 

กู้ชิงและชายหนุ่มแซ่หยวนสีหน้าคร่ำเคร่ง

 

จิ๋งจิ่วกล่าว “สรรพสิ่งล้วนแต่เป็นกระบี่ ไหนเลยจะมีเพียงรูปแบบเดียวได้?”

 

……

 

……

 

จากยอดเขาเทียนกวงมายังศาลาหนานซง หกร้อยลี้

 

จากศาลาหนานซงมายังหมู่บ้านในภูเขา สามร้อยลี้

 

หากขี่กระบี่ ก็จะใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามกว่า ต่อให้ปราณกระบี่ไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องหยุดพักเป็นระยะ นั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูปราณกระบี่ อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น

 

หากเดินเท้า ก็ต้องใช้เวลาแปดเก้าวัน

 

แต่ถ้าหากเป็นผู้ที่ถูกทำลายสภาวะ ถูกทำลายโอสถกระบี่ เช่นนั้นก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็ม

 

เมื่อกลับมายังหมู่บ้าน ได้เห็นป่าไผ่และบ่อน้ำที่มิได้เห็นมาเป็นเวลาสามปีนั้น หลิ่วสือซุ่ยคล้ายได้รับเรี่ยวแรงอะไรบางอย่างกลับมาอีกครั้ง ฝีเท้าที่อ่อนแรงพลันมั่นคงขึ้นมา

 

เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน มองเห็นประตูไม้ที่แง้มปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาลังเลอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะตะโกนขึ้นมา “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”

 

ช่วงเวลากลางดึก

 

หลิ่วสือซุ่ยนอนอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมา มิอาจหลับลงได้

 

อีกฟากหนึ่งของกำแพงดินบางๆ เสียงจากอีกห้องหนึ่งดังชัดเจน เสียงด่าทอที่ปนไว้ด้วยความผิดหวังและโกรธเกรี้ยวถูกเสียงถอนหายใจที่ประเดี๋ยวสั้นประเดี๋ยวยาวเข้าแทนที่

 

หากมิเป็นเพราะมารดาแซ่หลิ่วเข้ามาขวางเอาไว้ทัน อีกทั้งมองเห็นร่างกายของเขาดูอ่อนแอ เกรงว่าบิดาแซ่หลิ่วคงจะตีเขาจนไม้กระบองในมือหักเป็นแน่

 

ห้องที่อยู่อีกด้านของกำแพงเงียบไปครู่ จากนั้นมีเสียงร่ำไห้ของมารดาแซ่หลิ่วดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

หลิ่วสือซุ่ยมองดูหลังคา รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ

 

โอสถกระบี่ถูกทำลาย เส้นลมปราณถูกตัดขาด แม้นจะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว เขายังคงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

 

สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจก็คือสุขภาพของบิดามารดายังคงแข็งแรงดีอยู่ ผมดำขลับมิได้มีผมขาวแซมเลยแม้แต่เส้นเดียว บนใบหน้าไม่มีรอยเหี่ยวย่นใดๆ

 

วันที่สอง ชาวบ้านจำนวนมากต่างรู้ข่าวคราว จึงพากันมายังบ้านตระกูลหลิ่ว

 

ผู้เฒ่าของหมู่บ้านที่แก่ชราถามไถ่ข่าวคราวพลางสูบกล้องสูบยา สุดท้ายก็มิอาจกล่าวปลอบใจอะไร เพียงแค่ตบบ่าของหลิ่วสือซุ่ยเท่านั้น

 

วันที่สาม หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกว่าพักผ่อนได้พอสมควรแล้ว จึงเดินออกมาจากบ้าน

 

ตอนนี้เป็นช่วงฤดูไถนา งานค่อนข้างหนัก เขาจึงอยากออกไปช่วย

 

จากบ้านมายังที่นาของตัวเองต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง

 

ระหว่างทางเขาเจอชาวบ้านหลายคน มีทั้งคุณลุงและพี่น้องที่คุ้นเคย แล้วก็มีเด็กเล็กที่เขาไม่รู้จัก

 

เด็กเหล่านั้นน่าจะเกิดออกมาในช่วงเจ็ดปีที่เขาอยู่ที่ชิงซาน

 

ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่รู้จักหรือเด็กที่ไม่รู้จัก เมื่อเห็นเขา ทุกคนต่างเบือนหน้าไปอีกทางทันที

 

ในตอนที่เขาเดินผ่านไปแล้ว สายตาทุกคนจะกลับมามองยังตัวเขาใหม่อีกครั้ง พลางเตรียมตัวนินทาลับหลัง

 

อารมณ์ในสายตาเหล่านั้นซับซ้อนอย่างมาก มีทั้งเยาะแยะ ดูถูก และหวาดกลัว

 

หลิ่วสือซุ่ยรับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ก็มิได้หันกลับไปมอง

 

เมื่อมาถึงที่นาของตัวเอง เขาถึงพบว่าที่นาได้เติมน้ำลงไปเรียบร้อยแล้ว ผิวน้ำเงียบสงบ สะท้อนท้องฟ้าสีคราวและเมฆสีขาว แลดูงดงาม

 

บิดาแซ่หลิ่วกำลังแบ่งกล้าข้าว มารดาแซ่หลิ่วเพิ่งจะไปตักน้ำมาสองไห เตรียมกลับบ้านทำอาหาร เมื่อเห็นเขามา ก็มิได้กล่าวกระไร

 

หลิ่วสือซุ่ยรับกล้าข้าวมาจากมือของผู้เป็นบิดา ก่อนจะเหยียบลงไปในนา

 

เท้าของเขาจมลงไปในโคลน เนื่องจากยืนไม่มั่นคง อีกทั้งร่างกายอ่อนแรง เขาจึงล้มก้นกระแทกลงไป

 

ภายในนาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงมีเสียงตี ด่าท่อ และเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมา

 

ท้องฟ้าและเมฆขาวที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำก็แตกกระจายเป็นภาพเล็กภาพน้อย

 

หลิ่วสือซุ่ยนั่งอยู่ในนา ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเป็นคนที่ไร้ประโยชน์แล้ว

 

…………………………………………………………………