บทที่ 158: แสงแห่งความหวัง
กัปตันเจฟฟ์เชื่ออย่างสุดใจว่าวันนี้น่าจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา
เขามีอายุได้เกินห้าสิบปีแล้ว เห็นได้จากผมหงอกที่ศีรษะ เขามีรูปร่างเตี้ยโทรมอย่างเห็นได้ชัด สวมเสื้อผ้าตามแบบฉบับของกะลาสีเรือ ทำให้บางคนอาจจะเข้าใจผิดได้ว่าเขาเป็นเพียงนักเลงข้างถนนที่ต่ำต้อย แต่ในความเป็นจริงเขาเป็นถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3
เรือที่เจฟฟ์บัญชาการอยู่เองก็ไม่ใช่เรือธรรมดา ๆ เช่นกัน มันเป็นหนึ่งในกองเรือทองคำอันทรงเกียรติของอาณาจักรโซเฟียที่เคยพิชิตท้องทะเลของทวีปเซียตะวันตกมา ก่อนที่เหล่าผู้อพยพจากจักรวรรดิออสทีนโบราณคนอื่น ๆ จะสามารถตั้งหลักได้บนดินแดนใหม่นี้เสียอีก
กองเรือทองคำสามารถแบ่งออกได้เป็นสามระดับ โดยเจฟฟ์นั้นเป็นกัปตันของเรือ เอสเอส เซนต์พอล เรือธงรองระดับ 1 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกองเรือทองคำ ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้กำลังทำให้เขาสิ้นหวัง
เผ่าเกล็ดจากห้วงทะเลลึกนั้นถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของกองเรือทองคำ
แม้ว่ากองเรือทองคำจะมีทั้งประสบการณ์และความสามารถในการจัดการกับเหล่าสัตว์ประหลาดปลาอันน่ารังเกียจพวกนี้ แต่การต่อสู้ภายในกองเรือเมื่อไม่นานมานี้ได้ทำให้พวกเขาสูญเสียหนึ่งในรองกัปตันของเอสเอส เซนต์พอลไป และส่งผลให้เรือสูญเสียสายการบัญชาการบางส่วนไป
ในกองเรือทองคำ มันเป็นเรื่องปกติที่กัปตันจะพุ่งออกไปยังแนวหน้า และได้รับบาดเจ็บกลับมา แม้ว่ามันอาจจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจของลูกเรือหากมีอะไรเกิดขึ้นกับกัปตัน แต่ก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงใด ๆ ในสายการบัญชาการ ตราบใดที่กัปตันไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ทว่ารองกัปตันทั้งสองมีบทบาทที่สำคัญกว่ามาก
รองกัปตันกองเรือทองคำล้วนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ครอบครองพลังสายเลือดไฮเอลฟ์ทั้งหมด พวกเขาอาจไม่ได้ทรงพลัง แต่พวกเขาก็ถือกุญแจสำคัญของอุปกรณ์เวทบนเรือ
รากฐานของกองเรือทองคำคือเทคโนโลยีที่สูญหายไปในอดีตของไฮเอลฟ์ อุปกรณ์เวทที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีเก่าแก่เหล่านี้สามารถเปิดใช้งานได้โดยผู้ที่มีสายเลือดของตระกูลโซเฟียเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ารองกัปตันนั้นถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดสำหรับกองทัพเรือ หากไม่มีพวกเขา กองเรือทองคำก็ไม่อาจสามารถแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้
รองกัปตันมักจะซ่อนตัวอยู่ในห้องควบคุมอย่างปลอดภัย แต่ในระหว่างความขัดแย้งภายในเมื่อไม่นานมานี้ รองกัปตันคนหนึ่งได้หลบหนีไปยังฝ่ายกบฏ ทำให้รองกัปตันอีกคนได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้เกราะพลังเวทรอบ ๆ ห้องควบคุมอ่อนแอลง แม้พวกเขาจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่ก็ไม่มีคาดคิดว่าอุบัติเหตุดังกล่าวจะนำมาซึ่งความหายนะในตอนนี้
“บ้าเอ๊ย!”
เจฟฟ์แทงมือทั้งสองของเขาเข้าที่หน้าอกของนายพลมนุษย์เกล็ดระดับแก่นแท้ 3 ที่ตัวใหญ่กว่าเขา พร้อมส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ฉีกร่างศัตรูออกเป็นสองส่วน
หยดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ย้อมร่างของชายแก่ให้กลายเป็นสีแดงฉาน เขามองดูท่าทางอันประหลาดใจของนายพลมนุษย์เกล็ดที่กำลังจะตาย พลางส่ายหัว
ข้าอาจจะอ่อนแอในน้ำ แต่แกก็อ่อนแอบนบกเหมือนกันล่ะวะ
เจฟฟ์ถอนหายใจอย่างระมัดระวังขณะที่เขากุมบาดแผลรูขนาดใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ตรงหน้าท้องของตน มันสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่เขา ก่อนจะหันไปถามสหายร่วมรบที่อยู่รอบ ๆ
“รองกัปตันลอรีเป็นยังไงบ้าง?”
“กัปตันเจฟฟ์ รองกัปตันลอรี… ใกล้จะไม่ไหวแล้วขอรับ”
เมื่อแพทย์ประจำเรือที่ปกคลุมไปด้วยเลือดกล่าวคำเหล่านั้นออกมา ใบหน้าของลูกเรือก็จมลงสู่ความสิ้นหวัง ทันใดนั้นความเงียบก็ได้ปะทุขึ้นท่ามกลางสนามรบอันอึกทึกครึกโครมนี้
การเสียชีวิตของรองกัปตันลอรีจะส่งผลให้เรือของพวกเขาหมดสภาพ อุปกรณ์เวททั้งหมดที่ปกป้องพวกเขามาจนถึงตอนนี้จะหยุดทำงานลง ทำให้ตาข่ายไฟฟ้าด้านนอกที่ล้อมรอบเรือเองก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นศัตรูของพวกเขาจะไม่ได้มีเพียงแค่พวกระดับสูงของเผ่าเกล็ด แต่รวมถึงสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่นี้ด้วย
“ตาข่ายไฟฟ้าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”
“ประมาณ 10 นาที”
“10 นาทีงั้นเหรอ?”
เจฟฟ์พึมพำกับตัวเองขณะมองดูเหล่าลูกเรือวัยเยาว์ ที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขับไล่มนุษย์เกล็ดที่บุกรุกเข้ามาออกไป ในฐานะที่เป็นคนใช้ชีวิตเดินทะเลมาครึ่งชีวิต ชายแก่นั้นพร้อมที่จะตายแล้ว แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายชีวิตของเหล่าชายหนุ่มที่ลงเรือมาด้วยกัน…
ความหนักอึ้งมืดมนทำให้จิตใจของเจฟฟ์ตกต่ำลง เขารีบเดินไปหาชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ตรงหน้าเขา ก้มลงและมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
“ลอรี เจ้าช่วยทนเอาไว้อีก 10 นาทีได้รึเปล่า? พวกเราจะลากพวกมันอีกสักสองสามตัวลงไปนรกพร้อม ๆ กับเรา จากนั้นเจ้าก็ช่วยเปิดใช้งาน จิตวิญญาณแห่งทองคำ ส่งไอ้สัตว์ประหลาดยักษ์นั่นลงนรกไปด้วยกันเลย”
รองกัปตันวัยหนุ่มลอรี ผู้ที่หน้าอกส่วนใหญ่ของเขาถูกฉีกขาด และสติก็เริ่มที่จะเลือนลางเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสั่งของเจฟฟ์ แม้เขาจะยืนอยู่หน้าประตูมรณะแล้ว แต่แสงสว่างเล็กน้อยก็กลับมาที่แววตาของเขา รอยยิ้มอันภาคภูมิปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของชายหนุ่ม
“… ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะครับ กัปตัน”
ลอรีสัญญาอย่างอ่อนแรง
เมื่อได้เห็นว่าเหล่าเด็กหนุ่ม พยายามทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เจฟฟ์ก็อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ เขามองไปรอบ ๆ ตัว ที่แห่งนี้มีเพียงใบหน้าอันสงบเท่านั้น
ลูกเรือของเขาทุกคนได้ฝังความกลัวลงไปในส่วนลึกของหัวใจแล้ว ทุกคนต่างก็พร้อมที่จะสู้จนตัวตาย
“ขอโทษด้วยนะเด็ก ๆ”
“กัปตัน มันเป็นความผิดของพวกที่ทรยศ และพวกสัตว์ประหลาดปลาอันน่ารังเกียจเหล่านั้น มันไม่ใช่ความผิดของกัปตันเลยสักนิด!”
“นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเรา ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนให้ได้เป็นครั้งสุดท้าย!”
เหล่าลูกเรือต่างส่งเสียงหัวเราะ ขณะที่พวกเขาเดินตามเจฟฟ์ขึ้นไปสู่แนวหน้า กัปตันเฒ่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ ฝังความโศกเศร้าไว้ในส่วนลึกของหัวใจ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้คือพยายามกำจัดศัตรูให้ได้มากที่สุด เพื่อลดภาระให้แก่พันธมิตรของเขา
ทุกคนต่างชักดาบและยกขวานขึ้น ตัดสินใจต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไร จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากข้างหน้าของพวกเขา
“ดูนั่นสิครับ กัปตัน! นั่นมัน…”
ลูกเรือคนหนึ่งชี้ไปข้างหน้าพลางอุทานออกมาเสียงดัง ซึ่งเจฟฟ์ก็ได้เงยหน้าขึ้นไป เพื่อมองไปตามทิศทางของลูกเรือคนนั้น ก่อนที่จะต้องตกตะลึงในภาพที่ตนได้เห็น
ยักษ์สีแดงเข้มขนาดใหญ่มหึมาปรากฏตัวขึ้น ใจกลางกองทัพของพวกมนุษย์เกล็ด สร้างความหายนะให้แก่พวกมัน
…
“ว้ากกกกกกก!”
ด้านหลังกองทัพมากมายมหาศาลของเหล่ามนุษย์เกล็ด โรเอลพร้อมกับโครงกระดูกสีแดงเข้มขนาดมหึมาข้างหลังเขา ปล่อยเสียงคำรามอันดุร้าย เด็กชายได้ร่ายคาถาเวทเสริมพลังเวทสีแดงเข้มเข้าไปในหมัดของโครงกระดูกยักษ์ ทั้งสองยกหมัดขึ้นประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทุบกวาดศัตรูทั้งฝูงลง กำจัดเผ่าเกล็ดมากมายที่รายล้อมพวกเขา
เปรี้ยง!
พลังมหาศาลของโครงกระดูกยักษ์ไม่อาจที่จะยับยั้งได้ แม้แต่มนุษย์เกล็ดระดับแก่นแท้ 4 ก็ยังกลายเป็นเศษเนื้อในพริบตาก่อนที่จะโดนแรงกระแทกเสียอีก! หมัดขนาดมหึมายังคงโปรยปรายลงมาพร้อมด้วยเสียงร่างกายที่ถูกบดขยี้และเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วดาดฟ้าเรือ ดึงดูดความสนใจของทุก ๆ คน
“นั่นมันอะไรกัน? นี่มันเหลือเชื่อมาก!”
“โครงกระดูกยักษ์กำลังต่อสู้กับไอ้พวกสัตว์ประหลาดปลางั้นเหรอ? ไม่ เดี่ยวก่อนนะ มีคนอยู่ในนั้น!”
“เขาเป็นพันธมิตรของเรารึเปล่า?”
“ใช่ก็บ้าแล้ว พวกเราจะไปมีพันธมิตรในที่แบบนี้ได้ยังไงกันเล่า!”
เจฟฟ์มองไปทางโครงกระดูกยักษ์อย่างตื่นเต้น สายตาของชายแก่เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ไม่อาจปกปิด แม้แต่เขาก็ไม่กล้าอ้างว่าตนเองสามารถต้านทานพลังอันบริสุทธิ์ของโครงกระดูกสีแดงเข้มขนาดมหึมานั้นได้! เจฟฟ์เพ่งสายตาไปที่ศูนย์กลางของโครงกระดูก ทำให้เขาสังเกตเห็นว่ามีเด็กหนุ่มผมสีดำอยู่ข้างในนั้น
“เด็กงั้นเหรอ? มีเด็กมาอยู่บนเรือของข้าได้อย่างไรกัน? เดี๋ยวก่อนสิ เสื้อผ้าพวกนั้น… เขาเป็นขุนนางงั้นเหรอ? เขาดูเหมือนเด็กตระกูลร่ำรวยที่แอบหนีออกมาจากบ้านเลยนี่”
เมื่อมองดูเงาเล็ก ๆ กำลังต่อสู้อย่างกล้าหาญกับเหล่าศัตรู เจฟฟ์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาในใจ มันเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่งที่เด็กชายคนนั้นมีความสามารถในการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนี้ หากเป็นไปได้ ชายแก่ก็อยากจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัย ทว่าเขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่อาจแก้ไขได้อีกต่อไป
การจมของเรือ เอสเอส เซนต์พอล เป็นชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นหลังจากนั้นก็ทำให้เจฟฟ์และเหล่าลูกเรือคนอื่น ๆ ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ด้วยการจู่โจมอันทรงพลังเพียงครั้งเดียว เด็กชายก็กำจัดศัตรูทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเขาจนหมดสิ้น!
ทว่านี่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะพลิกกระแสของสงครามได้ ไม่กี่วินาทีหลังจากที่เด็กชายปล่อยหมัดนั้นออกไป มนุษย์เกล็ดอีกสิบคนก็คืบคลานเข้ามาจากด้านหลังเขาแล้ว ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กชายจะไม่ได้สังเกตเสียด้วย ซึ่งทำให้เหล่าลูกเรือต่างก็รู้สึกประหม่าไปตาม ๆ กัน
พวกเขาทุกคนตะโกนออกไปอย่างสิ้นหวัง เพื่อเตือนเด็กชาย
ช่วงเวลาวิกฤตนี้เอง เด็กสาวในชุดเดรสสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขา เธอถือปืนอันวิจิตรงดงามอยู่ในมือ พร้อมยิงลำแสงพลังเวทสีน้ำเงินออกมา ระหว่างที่มันถูกยิงออกไป เสียงแตกอันแหลมคมที่ชวนให้นึกถึงการแตกของอัญมณีก็ดังขึ้น แสงสีฟ้าสะท้อนกระจายออกไปด้านหน้ากลายเป็นพายุหิมะเยือกแข็ง
เหล่ามนุษย์เกล็ดที่ยืนอยู่ภายในรัศมีของการระเบิดถูกแช่แข็งกลายเป็นรูปปั้นในทันที ทำให้ลูกเรือทุกคนต้องตกตะลึงอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน นั่นมันหรือว่า…”
“ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ มันคือคาถาเวทอัญมณี เด็กสาวคนนั้นเป็นสมาชิกของราชวงศ์!”
“สมาชิกของราชวงศ์? หมายความว่าเธอก็สามารถควบคุมกองเรือทองคำได้นะสิ?!”
การสนทนาของเหล่าลุกเรือทำให้เจฟฟ์หลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็ว ประกายแห่งความหวังจุดประกายขึ้นภายในอกของเขา ความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดลุกโชนขึ้นมา ทำให้เขาต้องลงมือบัญชาการนำทัพอีกครั้ง ชายแก่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าพร้อมยกดาบขึ้นเหนือหัวสั่งระดมพล
“เด็ก ๆ ถึงเวลาที่จะได้แสดงคุณค่าของพวกเราแล้ว! มาเตะส่งไอ้พวกปลาที่น่ารังเกียจนี่ลงนรก แล้วไปช่วยเด็กสองคนนั้นกันเถอะ!”
“ลุยได้!”
แสงแห่งความหวังที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันได้จุดประกายขวัญกำลังใจให้กับฝูงชน ด้วยดาบและขวานในมือของพวกเขา เหล่าลูกเรือวิ่งหลบการโจมตีจากลูกธนูน้ำแรงดันสูงและฉมวกของพวกเผ่าเกล็ด มุ่งเข้าไปช่วยเหลือโรเอล และชาร์ล็อต
ขณะเดียวกัน เมื่อได้เห็นว่าเหล่าลูกเรือเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว โรเอลก็บุกเข้าไปหาศัตรูอย่างดุดันยิ่งขึ้น พยายามรวมกลุ่มกับพันธมิตรของเขา เพราะเด็กชายรู้ดีว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถต้านเอาไว้ได้นานด้วยตัวเองแน่
“ชาร์ล็อต ใช้สีเขียว!”
“ได้เลย!”
แม้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของพวกเขา แต่การประสานงานของโรเอลและชาร์ล็อตนั้นค่อนข้างเข้าขากันสุด ๆ ข้อความสั้น ๆ ถูกส่งผ่านกันโดยไม่มีข้อขัดข้องใด ๆ
เสียง กรึก เล็กน้อยดังออกมาจากคลังกระสุนอัญมณีของชาร์ล็อต จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาทำให้เผ่าเกล็ดหลายสิบตัวรอบ ๆ ติดอยู่ในสภาวะมึนงง ซึ่งโรเอลก็ได้ใช้จังหวะนั้นกำจัดพวกมันทั้งหมดในรวดเดียว
ทั้งสองคนสามารถกำจัดศัตรูร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว น่าประหลาดใจที่จำนวนศัตรูกลับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเสียอย่างนั้น มนุษย์เกล็ดคืบคลานปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าเรืออย่างต่อเนื่องจากทั้งสองด้านของเรือ
โรเอลรีบประเมินสถานการณ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว เด็กชายสังเกตเห็นว่ามีมนุษย์เกล็ดบางตัวที่มีรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว คอยนำพรรคพวกบุกไปข้างหน้า เพื่อมาขวางทางพวกเขา ซึ่งชายแก่ผมสีเทาที่ดูเหมือนจะเป็นกัปตันเรือก็ได้ก้าวออกไปปะทะกับมนุษย์เกล็ดพวกนั้น
“ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราได้ตายกันหมดแน่ ๆ ”
โรเอลขมวดคิ้ว เขาสังเกตได้ว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลงสำหรับพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ กลยุทธ์ในปัจจุบันของเผ่าเกล็ด ตั้งใจที่จะชนะพวกเขาด้วยจำนวนโดยใช้กลยุทธ์คลื่นมนุษย์ มันเป็นกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่ส่งผลให้เกิดผู้สูญเสียล้มตายจำนวนมากสำหรับเผ่าเกล็ด แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันได้ผล เว้นเสียแต่ว่าโรเอลจะสามารถใช้การโจมตีอันทรงพลังพอที่จะเปิดเส้นทางได้ในครั้งเดียว เพื่อรวมกลุ่มกับเหล่าลูกเรือที่เหลือ ตอนนี้มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะหมดแรงหนีออกจากที่นี่
แม้คาถาเวทอัญมณีของชาร์ล็อตจะค่อนข้างยั่งยืน แต่การอัญเชิญของโรเอลนั้น ทำให้พลังเวทของเขาหมดลงเร็วมาก ที่เลวร้ายไปกว่านั้น โรเอลได้สูญเสียการติดต่อระหว่างเขากับกรันด้า นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในมิตินี้ ดังนั้นโครงกระดูกสีแดงเข้มขนาดมหึมาที่เขาเรียกออกมานั้นจึงเป็นเพียงแค่ของเลียนแบบที่ไร้วิญญาณ ถึงมันจะทรงพลังมาก แต่มันก็ใช้พลังเวทของโรเอลและความพยายามมากกว่าปกติในการควบคุม
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่หมดไปอย่างรวดเร็วของตน โรเอลก็กัดฟันและตัดสินใจได้ในที่สุด
ในเมื่อพวกเขาทุกคนมีใจพร้อมต่อสู้ขนาดนี้ มันคงจะหยาบคายหากฉันไม่ได้ให้ของขวัญอะไรใช่ไหมล่ะ?
“ชาร์ล็อต ก้มลง!”
“หา?”
โรเอลตะโกนเสียงดัง แล้วจึงหันกลับไปดึงชาร์ล็อตที่กำลังยิงศัตรูอยู่ เข้ามาในอ้อมแขนของเขา ก่อนที่ชาร์ล็อตจะประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โรเอลก็พาเธอลงไปจากดาดฟ้าพร้อม ๆ กัน ทำให้ทั้งสองคนล้มลงไปข้างหน้าตามดาดฟ้าเรือ
ตูม!
หลังจากนั้นโครงกระดูกสีแดงขนาดมหึมาของโรเอลก็ได้ระเบิดออกเป็นเศษกระดูกขนาดยักษ์อันน่าสะพรึงกลัว กระจายออกไปทั่วบริเวณ ฉีกทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเป็นชิ้น ๆ สังหารเผ่าเกล็ดจำนวนมหาศาลอย่างไร้ปราณี
คาถาเวทขนาดใหญ่นี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที หนวดของสัตว์ทะเลขนาดมหึมาหยุดลงชั่วขณะ และที่เหล่าลูกเรือต่างก็หันศีรษะมาที่โรเอลด้วยความงุนงง
อีกด้านหนึ่ง บนเรือธงขนาดมหึมาที่แนวหน้าของกองเรือทองคำ หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดง ผู้ยืนอยู่บนเสากระโดงเรือหลักหันศีรษะไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเธอ
“นั่นมัน…”