เล่ม 2 เล่มที่ 2 ตอนที่ 48 ท่านอ๋อง ทรงเชื่อหม่อมฉันหรือไม่?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“ไท่เฟย เกรงว่ามาพูดเอาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว ซูจิ่นซีรับปากต่อเบื้องพระพักตร์เสด็จพ่อ นางยินยอมให้ควบคุมจวนโยวอ๋องและหนานย่วนทั้งหมด หากนางไม่ยอมรักษาหรือรักษาไม่ดีพอ จวนโยวอ๋องและหนานย่วนก็จะถูกตัดสินลงโทษทั้งคู่! ” ไท่จื่อกล่าว

        เรื่องเหล่านี้ เฉินไท่เฟยล้วนทราบดีอยู่แล้วก่อนจะเข้าวัง ในเวลานี้นางจึงโกรธจนหน้าเขียวไปหมด

        “ฝ่าบาท ตอนนี้ซูจิ่นซีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนโยวอ๋องและหนานย่วนอีกต่อไป เยี่ยโยวเหยาได้หย่ากับนังซูจิ่นซีโง่นั่นแล้ว นางคิดจะทำสิ่งใด ทำผิดเรื่องใดก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเยี่ยโยวเหยาและหม่อมฉันอีกต่อไป” พูดแล้วเฉินไท่เฟยก็คว้าแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยา “โยวเหยา เจ้ารีบบอกฝ่าบาทไปสิ! ”

        เยี่ยโยวเหยาประสานมือไพล่ไว้ด้านหลัง เขายืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเย็นชา ไม่มองผู้ใด ราวกับรูปปั้นที่เย็นชา และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ฟังเสียงของเฉินไท่เฟยเลย

        เฉินไท่เฟยเริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว “โยวเหยา เจ้าพูดสิ! ”

        ทันใดนั้นประตูห้องด้านในของฮองเฮาก็เปิดออกเสียงดัง “แอ๊ด” พร้อมกับซูจิ่นซีที่เดินออกมา

        สิ่งแรกที่นางเห็นคือแผ่นหลังที่แข็งแกร่งสูงใหญ่และเย็นเยือกของเยี่ยโยวเหยา ภายในใจของนางไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร

        “ซูจิ่นซี เจ้ามันตัวโชคร้าย เหตุใดเจ้าถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้? พึ่งจะเข้ามาในตระกูลได้ไม่กี่วัน เจ้าถึงกลับกล้าเอาข้ากับเยี่ยโยวเหยาเป็นประกันเชียวหรือ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าความสามารถของตนมีมากน้อยเพียงใด? ”

        เมื่อสายสืบในวังของเฉินไท่เฟยมารายงานให้ฟังว่าซูจิ่นซีอยู่ที่ตำหนักจ้งหวา นางก็รีบเข้าวังหลวงในทันที ความโกรธของนางราวกับไฟที่ไม่อาจดับได้ ตอนนี้ความโกรธยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เฉินไท่เฟยไม่สนใจภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาไว้เบื้องหน้าทุกคนอีกต่อไป

        “เสด็จแม่ ฟังหม่อมฉันพูดก่อนเพคะ เรื่องไม่ได้เป็นไปตามที่ท่านคิด แท้จริงแล้วอาการของฮองเฮาหม่อมฉันก็… ”

        ซูจิ่นซีอยากจะบอกว่านางได้ตรวจโรคของฮองเฮาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ ทว่าเฉินไท่เฟยไม่ให้โอกาสซูจิ่นซีได้พูดเลย

        “ซูจิ่นซี เจ้าขอประทานอภัยโทษฝ่าบาทกับไท่จื่อเดี๋ยวนี้ บอกไปว่าอาการป่วยก่อนหน้านี้ของเจ้ากำเริบ ดังนั้นจึงได้เอ่ยวาจาไร้สาระออกไป ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทและไท่จื่อจะเข้าพระทัยในสถานการณ์ของเจ้าและไม่ลงโทษเจ้า จากนั้นเจ้าก็กลับไปกับข้าและโยวเหยา และตั้งแต่นี้เป็นต้นไปก็คิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

        กระไรนะ?

        ให้ซูจิ่นซีขอประทานอภัยโทษฮ่องเต้กับเยี่ยเซิน และยังให้ยอมรับว่าโรคโง่ๆ ของตนเองกำเริบถึงได้ยอมรับปากเรื่องที่จะรักษาฮองเฮา?

        นี่เป็นไปได้อย่างไร?

        ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซูจิ่นซีไม่ได้โง่เลยแม้แต่น้อย นางตกลงกับฮ่องเต้และไท่จื่อในภาวะที่จริงจัง แม้ว่านางจะโง่ นางก็ไม่โง่ถึงขนาดที่จะต้องขอประทานอภัยกับไท่จื่อ นั่นมันเป็นเรื่องที่ทำให้คนอับอายขายหน้าไปถึงบ้านของตนเองเลยทีเดียว

        “เสด็จแม่ หม่อมฉันได้ตัดสินใจเรื่องนี้ไว้แล้ว ท่านอย่ากังวลไปเลย อาการป่วยของฮองเฮา หม่อมฉันได้คำนวณไว้ในใจแล้วเพคะ”

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหมอเทวดาที่ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ? แม้แต่พ่อของเจ้า หัวหน้าหมอหลวงซูยังไม่มีวิธีรักษาโรค ในใจของเจ้าจะสามารถคำนวณไว้แล้วได้อย่างไร? วันนี้หากไม่กลับไปกับข้าและโยวเหยา ต่อจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของข้าอีกต่อไป ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าและโยวเหยาอีก เจ้าจะกลับหรือไม่กลับไปกับข้า? ”

        แม้ว่าซูจิ่นซีจะมีความสามารถรักษาขาที่ ใกล้ตายของเฉินไท่เฟยให้หายเป็นปกติได้เหมือนเดิม ทว่าเฉินไท่เฟยยังคงไม่ยอมเชื่อว่าซูจิ่นซีจะสามารถรักษาฮองเฮาได้ การนำนางและเยี่ยโยวเหยามาเป็นตัวประกันในเรื่องเช่นนี้ไม่ตลกเลยสักนิด ฮ่องเต้จ้องมองไปที่ศีรษะของพวกเขาแม่ลูกเป็นเวลานาน

        ท่าทางของเฉินไท่เฟยมั่นคงและความหมายของนางชัดเจนมาก หากซูจิ่นซีไม่กลับไปกับนาง นางก็จะให้เยี่ยโยวเหยาหย่ากับซูจิ่นซี

        ทว่าเรื่องนี้ เยี่ยโยวเหยาไม่แสดงท่าทีอันใดออกมาแม้แต่น้อย!

        ซูจิ่นซีไม่ได้ตอบกลับเฉินไท่เฟย ทว่านางมองไปทางเยี่ยโยวเหยา รอคำตอบของเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เขายืนหันหลังให้ซูจิ่นซีและมองออกไปด้านนอกตำหนักจ้งหวา ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ และไม่รู้เลยว่าเขาเห็นซูจิ่นซีมองมาหรือไม่

        เว่ยเหม่ยเจียที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉินไท่เฟย นางแทบจะไม่พูดอันใดเลยตั้งแต่เข้าประตูมา แต่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า

        “พี่สะใภ้ ท่านสร้างเรื่องให้เสด็จพี่อีกแล้ว แม้เสด็จพี่จะตามใจท่าน แต่ท่านก็ไม่ควรก่อความวุ่นวาย! ท่านเชื่อฟังคำของเสด็จป้าแล้วกลับไปกับพวกเราเถิด! เพียงยอมจำนนเองไม่ใช่หรือ? หรือว่าความภูมิใจและความเย่อหยิ่งในใจของท่านสำคัญจนเทียบไม่ได้กับชีวิตของเสด็จป้าและเสด็จพี่ใช่หรือไม่? ”

        กลยุทธ์ขั้นสูงสุดของดอกบัวขาว [1] คือการฆ่า แม้ว่าเมื่ออ้าปากพูดจะไม่นำประโยชน์อันใดเหมือนเป็นศัตรูกับเจ้า ทว่าการเคลื่อนไหวของนางสามารถใช้โจมตีจุดอ่อนของเจ้าได้ ซึ่งน่ากลัวกว่าการฆ่าเจ้าโดยตรงเสียอีก

        ทว่าซูจิ่นซีเกิดมาเพื่อเลี้ยงบัวขาวชนิดนี้โดยเฉพาะ

        “น้องหญิง โชคดีที่เจ้าทราบว่าเสด็จพี่ของเจ้าโปรดปรานข้า เพียงเพราะว่าเขาตามใจข้า ข้าก็ยิ่งควรรู้ว่าความภูมิใจของเขาจะไม่สูญหายไป เกียรติของเขาจะต้องไม่ถูกละเมิด และเขาจะต้องไม่อับอาย ผู้ที่มาจากจวนโยวอ๋อง คำพูดล้วนมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น อย่างไรก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนดูหมิ่นจวนโยวอ๋อง แล้วข้าจะทำให้เสด็จพี่ของเจ้าอับอายได้อย่างไร? ”

        เพียงหนึ่งประโยค ซูจิ่นซีก็อุดปากของเว่ยเหม่ยเจียได้สำเร็จ

        เวลานี้นางไม่อยากฟังผู้ใดพูดทั้งนั้น นางเพียงอยากรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาคิดอย่างไร จะใช่อย่างที่เฉินไท่เฟยคิดหรือไม่

        ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีไม่ได้คาดคิดเลยว่าตนเองจะใจกล้าถามเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้

        “ท่านอ๋อง ท่านจะยอมเชื่อหม่อมฉันหรือไม่เพคะ? ”

        ท่านต้องเชื่อข้า ต่อให้ต้องแลกชีวิตของข้าเพื่อปกป้องจวนโยวอ๋อง ข้าก็ต้องทำให้ได้ ข้าจะปกป้องเสด็จแม่ของท่านและจะไม่ทำให้ท่านเสียหน้า

        เยี่ยโยวเหยา ท่านจะยอมเชื่อข้าหรือไม่?

        ในเวลานี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา รอคอยให้เยี่ยโยวเหยาตอบกลับซูจิ่นซี และตั้งตารอคำตอบของพวกเขาเช่นกัน เพราะพวกเขาต้องการแน่ใจว่าเยี่ยโยวเหยารักและโปรดปรานซูจิ่นซีจริงตามข่าวลือนั้นหรือไม่

        ทว่าทุกนาทีทุกวินาทีผ่านไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลยสักนิด

        ดูราวกับว่าเขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอันใดสักคำ หากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าสีเข้มของเขาที่ปลิวไปตามสายลม ก็คงคิดว่าเขาเป็นเพียงรูปปั้นเย็นชาที่ขยับไม่ได้

        เยี่ยโยวเหยาเป็นอันใดไป?

        ปกติเขาไม่เป็นเช่นนี้นะ

        ความทะนงตน เยือกเย็น และไร้ความปรานี ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่โกรธ ทว่าอย่างน้อยผู้อื่นก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นชาและแรงกดดันที่ไม่เหมือนผู้ใดในตัวของเขา ไม่ใช่การนิ่งเงียบเช่นนี้!

        แววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของซูจิ่นซีค่อยๆ หม่นแสงลง หัวใจที่กระตือรือร้นของนางพลันเยือกเย็นลงทีละนิดเช่นกัน ดวงตาทั้งสองข้างของนางเจือไปด้วยความผิดหวัง ทันใดนั้น นางก็หัวเราะอย่างเย็นชา

        เช่นนั้น ข้าจะคิดว่าใช่ก็แล้วกัน!

        ระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา แม้แต่การเคารพฟ้าดินก็ยังไม่มี ตลอดเวลาที่ผ่านมานางเพียงฝืนทำต่อหน้าทุกคน แสร้งว่าระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยานั้นรักใคร่กลมเกลียวกัน นางเป็นที่โปรดปรานของเขา ทว่าความจริงนั้นไม่มีอันใดเลย

        ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็อาจไม่ได้ดีเทียบเท่ากับหนึ่งในลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของเขาเสียด้วยซ้ำ

        ระหว่างพวกเขาพึ่งจะรู้จักกันได้เท่าไรเชียว? นางมีสิทธิ์อันใดขอให้เยี่ยโยวเหยาเชื่อนาง?

        “พระชายา! ”

        เสียงของอวิ๋นจิ่นดังมาจากด้านหลัง

        ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับไปด้วยสายตาที่ผิดหวัง ทว่าเมื่อนางเห็นรอยยิ้มดั่งฤดูใบไม้ผลิเดือนสามของอวิ๋นจิ่นอีกครั้ง นางก็รู้สึกราวกับเขากำลังพูดว่า ‘พระชายา แม้ว่าทุกคนจะไม่เชื่อท่าน ทว่าข้าเชื่อท่าน! ’

        ในขณะนี้ บางอย่างในหัวใจของซูจิ่นซีเริ่มมั่นคงขึ้นแล้ว

        แม้จะไม่ได้รับความเชื่อใจจากเยี่ยโยวเหยา แม้ว่าทุกคนจะคัดค้าน ทว่านางก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาโรคของฮองเฮา

        ซูจิ่นซีไม่ได้หวังสิ่งอื่นใด นางเพียงต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเองให้ทุกคนได้เห็น และเพื่อเอาชนะตนเองให้ได้

        ทว่าในเวลานั้น ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเสียงที่มาช้าของเยี่ยโยวเหยาจะดังขึ้น

        “ซูจิ่นซี ยังไม่ไปอีก? ”

        ไป?

        ไปที่ใด?

        ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับทันทีด้วยท่าทางที่สับสน

……