“ท่านลุง ท่านลุง”

หมี่โซ่วได้ยินว่าซ่งฝูเซิงกลับมาแล้ว เขาทิ้งดินเหนียวที่อยู่ปั้นในมือทิ้ง วิ่งตัวลอย

กลับมาเข้าบ้าน เมื่อเปิดประตูได้ก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเด็กน้อยแดงก่ำ และเรียกหาซื่อจ้วง “เอาน้ำมาให้ข้าล้างมือด้วย”

เสียงล้างมือ ซ่า…ซ่า…หลายครั้ง ซื่อจ้วงยังอยากล้างมือเขาให้สะอาด แต่เขากลับผลักซื่อจ้วงให้ออกไป แล้ววิ่งตรงดิ่งไปที่ห้อง เมื่อเจอซ่งฝูเซิงเขากระโดดเข้าไปกอดขาซ่งฝูเซิงทันที ซ่งฝูเซิงได้ยินเสียงเรียกจึงรีบไปรอที่ประตูเพื่อต้อนรับเด็กน้อย ตอนนี้เท้าของเขาถูกกอดไว้แน่น

“เกิดอะไรขึ้นหรือ ใครรังแกเจ้า พี่จินเป่ารังแกเจ้าหรือ”

หมี่โซ่วกอดขาเขาไม่ปล่อย ส่ายหัวไปมา

ส่ายหัวนั่นถูกต้องแล้ว ใครก็ทำอย่างนั้นกับเจ้าไม่ได้

“ทำไมเจ้าไม่เงยหน้าขึ้นมา มานี่ มาให้ลุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซ่งฝูเซิงดึงเขาออกมองดูดีๆ”

ซ่งฝูเซิงได้ยินเสียงเขาสูดน้ำมูก เขาไม่อยู่แค่สองวัน เด็กน้อยคิดถึงเขาจนร้องไห้เลยหรือ

ซ่งฝูเซิงดึงหมี่โซ่วเข้ามากอด

เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงก็รู้สึกใจรีบตกใจ รีบเข้ามาถาม หมี่โซ่วเป็นอะไรหรือ

ซ่งฝูเซิงรีบเอามือปิดใบหน้าหมี่โซ่วเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นว่าน้ำตาเขาไหล เมื่อเป็นลูกผู้ชายจะร้องไห้ให้คนอื่นเห็นไม่ได้ ขายหน้าคนอื่น เขากอดหมี่โซ่วแล้วเดินออกไปข้างนอก พลางปลอบหมี่โซ่วเบาๆ “ลุงไม่เป็นอะไรเลย ไม่ต้องถาม อย่าถามเลย”

เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงมองตากัน

เฉียนหมี่โซ่วเป็นเด็กจิตใจดีละเอียดอ่อน

เฉียนเพ่ยอิงชี้ไปที่ซ่งฝูหลิง แล้วพูดว่า “ดูๆ เจ้าดูหมี่โซ่ว ดีกว่าเจ้าหลายเท่านัก”

เฉียนเพ่ยอิงเพิ่งพูดจบ พวกนางแค่มองอยู่ห่างๆ ก็เห็นหมี่โซ่วเอาหน้าแนบกับใบหน้าของซ่งฝูเซิงพร้อมถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ท่านรู้สึกหนาวหรือไม่ ท่านหิวหรือเปล่า ทำไมถึงเพิ่งกลับ มา?”

ซ่งฝูหลิงสีน่าเบื่อหน่าย มองไปที่ท่านแม่แล้วพยักหน้า นางบอกว่า “ใช่แล้ว ข้ายอมรับ ว่าข้าบกพร่องกว่าหมี่โซ่ว แต่ว่าข้าเป็นคนปากไม่หวานเหมือนหมี่โซ่ว…

…ข้อสำคัญคือ ถึงแม้อยากจะปากหวานก็ทำไม่เป็น ช่วงเช้าวันนี้ นางเพิ่งเข้าไปในพื้นที่

พิเศษเพื่อพบกับท่านพ่อมาเมื่อครู่นี่เอง…

…และอีกอย่าง ท่านแม่ แม้คนอื่นไม่เข้าใจ แต่ท่านน่าจะเข้าใจข้าไม่ใช่หรือ ยังกลัวว่าท่านพ่อจะกินอิ่มหรือไม่ ยังดีที่ท่านพ่อกลับมาตรงเวลา ถ้ากลับมาช้ากว่านี้วันหรือสองวัน ท่านน่าจะต้องเป็นห่วงพวกเราสองคนแม่ลูกมากกว่าว่าจะมีชามใส่ข้าวกินหรือไม่ ถ้ามาช้าจริงๆ พวกเราสองคนคงต้องใช้มือกินข้าวแล้วจริงๆ แล้วล่ะ”

เฉียนเพ่ยอิงเพิ่งคิดออก ระหว่างที่ซ่งฝูเซิงอุ้มหมี่โซ่ว นางแอบไปที่ห้องครัว ในห้องมีแค่นางกับลูกสาว รีบเปิดห่อผ้าของซ่งฝูเซิง หยิบจานใส่ข้าว ตะเกียบ กาน้ำร้อน และถุงน้ำร้อนออกมา นางยังไม่ได้ลงมือล้างจาน ที่หน้าประตูบ้านมีคนเดินเข้ามาเสียแล้ว

ท่านลุงซ่งได้ยินว่าซ่งฝูเซิงกลับมาแล้ว เขารีบขึ้นมาจากห้องใต้ดินมา “ซ่งฝูเซิง?”

มีคนที่มาพร้อมกับท่านลุงซ่งหลายคน ทุกคนคิดถึงซ่งฝูเซิงและคิดว่าเขาเป็นเหมือนคนในครอบครัว มักจะมาหาบ้าง มาถามข่าวคราวบ้าง

โดยเฉพาะเกาถูฮู่ ตะโกนมาแต่ไกล “น้องสาม ระหว่างทางข้าเห็นวัวนมเจ้าแล้ว ข้าใช้มือ

ลูบตัวมันไปรอบนึง” ในแววตาเห็นถึงความอิจฉา

ท่านย่าหม่าพูดเสียงดังกลบเสียงคนอื่น คนนี้ก็เพิ่งปีนขึ้นมาจากห้องใต้ดิน นางเดินเเกม

วิ่งพร้อมตะโกน “ลูกสาม กินข้าวมาหรือยัง หิวแย่เลย แม่จะเตรียมอาหารร้อนๆ ไว้ให้เจ้าด้วยนะ”

ท่านย่าหม่าตะโกนเสร็จ นางก็รีบไปทำกับข้าวให้ลูกชาย และยังรีบไปดูในห้อง

ถ้าไม่พูดถึงนางกับครอบครัวท่านยายเถียนเกี่ยวดองกัน ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือจน นางก็คงไม่เลือกเถียนสี่ฟา ถึงแม้บ้านของนางจะยากจนไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ แต่นางก็ยังอยากจะช่วยเหลือลูกเขยคนโต

เพราะท่านยายเถียน ใครเห็นก็อยากเกี่ยวดองด้วย

ท่านยายเถียนยกมือโบกไปมารีบปฏิเสธ “เจ้ารีบไปที่บ้านดูฝูเซิงเถอะ ข้าจะทำกับข้าวให้”

ตอนนี้ท่านย่าหม่ากับท่านยายหวังมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี

ไม่แปลกที่ครอบครัวท่านยายในอดีตทำการค้าขาย ถ้านางต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับใครก็จะปากว่ามือถึง ไม่เสียเวลาพูดเยอะ แถมยังปากหวานอีก

“ข้ากับพี่สะใภ้เถียนจะช่วยกันทำอาหาร หลานชายฝูเซิงเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เจ้าต้องคิดถึงมากแน่ๆ รีบไปดูเขาเถอะ กลับมาค่อยมาเล่าให้พวกข้าฟังว่าสองวันมานี้หลานชายได้รับความลำบากหรือไม่ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่หายห่วง”

ท่านย่าหม่ากับพี่สะใภ้ของนางมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

พี่สะใภ้ของนางชี้ไปที่วัวนมไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกับคนอื่น เป็นป้าใหญ่แท้ๆ ยังมีเวลาพูดเรื่องไร้สาระ ไม่รีบเข้าครัวไปทำกับข้าว

เรื่องเป็นอย่างนี้ ซ่งฝูเซิงกลับมาถึงบ้าน ยังบอกกล่าวเรื่องที่พบเจอกับภรรยาและหมี่โซ่วไม่ได้กี่คำก็มีคนเข้ามาเต็มบ้าน

ในสายตาของซ่งฝูหลิง มันจะมากเกินไปแล้ว

แค่ทุกคนยืนอยู่ในบ้าน ท่านลุงซ่งบอกว่า ซ่งฝูเซิง เจ้าไปโดยไม่บอกใคร จะไปไหนก็น่าจะบอกกล่าวกันก่อน

ซ่งฝูเซิงบอกว่า ตื่นนอนคิดได้ก็ออกเดินทางเลย ถ้าไม่รีบออกตั้งแต่เช้า ไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่ ก็เลยไม่ได้ตะโกนบอกกับทุกคน

เกาถูฮู่ถามราคาวัวนมว่าเท่าไหร่ ทำไมไม่ซื้อวัวที่ไถนาได้มา

นิสัยของซ่งฝูเซิงเป็นคนตรงไปตรงมา จึงบอกทุกคนว่าวัวตัวนี้ บวกกับค่าอาหารจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ค่าขนส่งจนถึงหมู่บ้าน และรวมกับค่ารถ ใช้เงินไปทั้งหมดสิบห้าตำลึง

และยังพูดติดตลกกับทุกคนที่อยู่ในห้อง ทำไมถึงไม่บอกทุกคน เพราะคิดว่าวัวตัวนี้เป็นวัวของครอบครัวเขา ไม่ได้ใช้เงินกองกลาง เลยไม่ต้องแจ้งใครก่อน เงินมาจากกระเป๋าของตัวเอง อยากซื้อก็ซื้อ และยังหัวเราะเหอะๆ มองไปที่ท่านย่าหม่า

“ใช่หรือไม่ท่านแม่ ท่านแม่ของข้า ข้าใช้เงินตัวเอง ตอนนี้ก็มีครอบครัวแล้ว แยกออกมาอยู่เป็นครอบครัวแล้ว นางไม่สามารถจะขัดขวางเรื่องนี้ พอตื่นขึ้นมา คิดได้ก็ออกเดินทางเลย”

ลุงซ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าต้องเอาเงินจากกองกลาง จากที่ข้าดู ไม่มีใครจะกล้าวิจารณ์ อย่าบอกว่าแค่เงินสิบกว่าตำลึง ถึงแม้จะใช้เงินกองกลางมากกว่าหนึ่งตําลึงก็สมควรแล้ว เจ้าหาเงินให้กองกลางไม่น้อย”

ซ่งฝูเซิงรีบโบกมือไปมา “ไม่ต้องคิดมากท่านลุงซ่ง พวกเราเป็นผู้นำเหมือนกัน ต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”

เกาถูฮู่ “เจ้าซื้อวัวนมมีเงินเหลือเพียงพอหรือไม่ ถ้าเงินขาดมือ ที่บ้านข้ายังมีอีกหลายตำลึง ยังไม่จำเป็นต้องใช้”

ซ่งฝูเซิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่มีปัญหาอะไร สองวันมานี้ ที่บ้านข้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องใช้?”

ท่านย่าหม่ายืนอยู่ข้างๆ มองลูกชายคนที่สามด้วยสีหน้าแววตาไม่เลว แต่ไม่สามารถที่จะพูดแทรกขึ้นมาได้ ตอนนี้ได้โอกาสพูดแทรกขึ้นมา “ที่บ้านไม่มีเรื่องใหญ่ได้อย่างไร ทุกคนเป็นห่วงเจ้า ออกเดินทางคนเดียว คนที่ดูแลระหว่างทางก็ไม่มี ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ ข้าจะต้องส่งซื่อจ้วงไปเป็นเพื่อนเจ้า” พูดถึงตอนนี้ นางจ้องตาไปที่เฉียนเพ่ยอิงครั้งหนึ่งและจ้องไปที่ซ่งฝูหลิงอีกครั้งหนึ่ง

จ้องตาเสร็จแล้วนางพูดขึ้นว่า “ลูกสามพูดกับแม่เร็วเข้า สองวันนี้เจ้าเป็นอย่างไร มีเกวียนให้ขึ้นระหว่างทางหรือไม่”

ซ่งฝูเซิงคิดในใจ อืม…ไม่เลว ขอแค่แม่ของเขาไม่ยื่นมือเข้ามาแทรก ไม่ยุ่งกับเงินที่เขาหามาได้ แล้วเขาจะเอาไปใช้อะไร เรื่องอื่นๆ จริงๆแล้วเขาจะตามใจท่านย่าหม่า ยิ่งจะกตัญญูต่อแม่

ตอนนี้ ท่านย่าหม่าต้องการรู้ว่าระหว่างทางเขาได้กินอะไร ไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ดูแล้ววันนี้ท่านแม่คงไม่ร้องห่มร้องไห้ถึงเรื่องวัวนมแล้ว ความคิดท่านแม่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ

ซ่งฝูเซิงพูดโกหกอย่างใจเย็น เขาบอกว่า เมื่อออกเดินทางจากหมู่บ้านไปถึงเมืองถงเหยา ก็เข้าไปหารถและไปเจอรถที่มีของกินอย่างเพียงพอ ครอบครัวนั้นเป็นคนดี อยู่บนรถยังมีเตาถ่าน ในรถของเขาได้กินดีอยู่ดี มีน้ำอุ่นน้ำร้อนดื่ม

สีหน้าของเฉียนเพ่ยอิงไม่เป็นธรรมชาติ มองด้วยสายตาครั้งหนึ่ง รีบใช้ผ้าฝ้ายปิดถ้วยชาม ตะเกียบที่สกปรก

ซ่งฝูหลิงก็ฟังต่อไม่ไหว

เทวดาที่ไหนจะให้รถ ครอบครัวเทวดาแบบนั้นจะมาจากที่ไหนกัน

นั้นเป็นเพราะนางต่างหาก

เป็นความสามารถของนางที่ส่งของเข้าไปในพื้นที่พิเศษ ถึงเวลาทำอาหาร ก็ทำอาหารที่กำลังร้อนๆ ส่งเข้าไปในพื้นที่พิเศษ

เนื่องจากบางครั้ง พ่อของนางเป็นคนทำหน้าที่เอาของออกไป ไม่ว่าพ่อของนางจะอยู่ที่ไหน พอถึงเวลาจึงให้เขาเข้ามาเอาข้าวจากพื้นที่พิเศษได้

มีบางครั้งที่พ่อนางไม่สะดวก อยู่ข้างนอก กำลังนั่งรถ เอาอาหารออกมาช้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะในพื้นที่พิเศษนางสามารถส่งของเข้าไปได้ จะฝากจะวางอะไรเข้าไปในพื้นที่พิเศษ มันก็จะมีลักษณะอย่างนั้น ทุกครั้งที่ทำอาหาร นางจะเอาอาหารที่เพิ่งทำเสร็จจากหม้อวางเข้าไป เจ้าดูนางกับแม่ของนาง เอาของมาจากพื้นที่พิเศษไม่ได้ แต่ส่งเข้าไปได้เท่านั้น ตอนนี้กาน้ำ ถุงน้ำร้อนส่งเข้าไปในพื้นที่พิเศษเกือบทั้งหมด

กาน้ำร้อน ถุงน้ำร้อนในที่นี่ พวกเขาไม่มีใช้ก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าจานข้าว ถ้วย ตะเกียบ ถูกส่งเข้าไปวันละสองครั้งเพื่อให้พ่อของนางได้กินอาหารที่กำลังร้อนๆ ถ้าท่านพ่อไม่กลับมา ท่านย่าทำกับข้าว พรุ่งนี้นางกับแม่ของนางจะต้องใช้มือกินข้าวแทนอุปกรณ์สำหรับใส่อาหาร ในบ้านไม่เหลืออะไรแล้ว

แต่ว่า ทางฝั่งซ่งฝูเซิงก็ลำบากไม่น้อย

ซ่งฝูเซิงบอกว่า เขาเอาของออกมากินหรือเอาของออกมาดื่มได้ แต่ไม่สามารถส่งกลับไปในพื้นที่พิเศษได้ ดังนั้นจึงต้องแบกกาน้ำ ถุงน้ำร้อนกลับมาด้วย

ซ่งฝูหลิง สองวันมานี้เป็นพนักส่งอาหาร ดังนั้นเมื่อนางเจอซ่งฝูเซิงจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะทุกวันก็เจอกันในพื้นที่พิเศษอยู่แล้ว และยังได้พูดคุยกันกับนางว่าจะถึงบ้านเวลากี่โมง

ทั้งยังถูกเข้าใจผิด เพราะสองวันนี้ต้องหาวิธีนำอาหารมาเผื่อซ่งฝูเซิงออก ปริมาณอาหารของซ่งฝูหลิงในหนึ่งมื้อจึงเยอะขึ้นมาก หนึ่งมื้อนั่นนางจึงต้องขอหมั่นโถวกับท่านย่าหม่าเพิ่ม

ท่านย่าหมายิ่งมองหลานสาว ยิ่งโมโห

ท่านย่ามารู้สึกว่า “ไอ๊ยา นี่พ่อของเจ้าไปซื้อวัวนมให้เจ้า เจ้ายังไม่เป็นห่วง ยังกินอิ่มนอนหลับ ทั้งยังกินได้เยอะกว่าเดิมอีก พ่อไม่อยู่บ้านกระเพาะของเจ้าขยายขึ้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ เด็กคนนี้น่าตีเสียจริง”