ตอนที่ 142 แนะนำ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

นี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายของหลานทิงจริงๆ

 

 

ดังนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าโจวชูจิ่นจะข่มขู่หรือล่อลวงอย่างไร นางเพียงกัดฟันแน่นเล็กน้อย หากจะให้นางพูดเบาะแสของซินหลานออกมาก็ได้ แต่สองพี่น้องตระกูลโจวจะต้องปล่อยนางไป

 

 

โจวชูจิ่นปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด และยังส่งสัญญาณให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานนำตัวหลานทิงไปตัดเอ็นร้อยหวายเสีย

 

 

หลานทิงกรีดร้องโหยหวน

 

 

โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ในลานกับพี่สาวตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาไม่หยุดขณะที่กอดแขนของพี่สาวเอาไว้

 

 

ไม่นาน ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็เดินออกมาจากห้องโถง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “นางบอกว่า ซินหลานน่าจะอยู่ที่เมืองจิงโจวเจ้าค่ะ”

 

 

ใบหน้าของนางฉายความอ่อนล้าชัดเจน เห็นได้ชัดว่างานที่ได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งสำหรับนางเช่นกัน

 

 

“น่าจะอย่างนั้นหรือ” โจวชูจิ่นขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้บอกที่อยู่ที่แน่ชัดอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ!” ภรรยาของหม่าฟู่ซานกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ที่อยู่ที่แน่ชัดนั้น นางเองก็ไม่ทราบ นางบอกว่า หลายปีก่อนสามีของซินหลานมารับฝ้ายอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ต่อมาค้นพบว่าราคาฝ้ายที่เมืองจิงโจวราคาถูกกว่าทางนี้มาก จึงละทิ้งภรรยาแล้วพาซินหลานไปที่เมืองจิงโจว…

 

 

…ตอนที่ซินหลานกลับมานั้น ฮูหยินเคยสอบถามถึงความเป็นไปล่าสุดของนาง นางก็บอกว่านางอาศัยอยู่ที่เมืองจิงโจว ที่กลับจินหลิงมาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการจะขายบ้านหลังเก่าที่ทิ้งเอาไว้ที่จินหลิงก่อนหน้านี้ และต่อไปก็จะตั้งรกรากอยู่ที่เมืองจิงโจว…

 

 

…ต่อมาเมื่อนางพบว่าซินหลานมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเฉิงไป่ คิดว่านางต้องโกหกฮูหยินเป็นแน่ จึงแอบไปบ้านที่ซินหลานเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ พบว่าบ้านหลังนั้นได้มอบหมายให้นายหน้าซื้อขายจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ขายออกไป นางสงสัยว่าซินหลานจะขโมยโฉนดที่ดินของสามีมา ยังให้คนแสร้งทำเป็นคนซื้อไปขอดูโฉนดที่ดินของบ้านหลังนั้นกับทางการ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ปรากฏว่าซินหลานผู้นั้นกลับมาเพื่อขายบ้านจริงๆ เจ้าค่ะ…

 

 

…ต่อมาเฉิงไป่ไม่สบาย นางไม่เห็นซินหลาน จึงไปที่บ้านของซินหลานอีกครั้ง เพื่อนบ้านใกล้เคียงบอกนางว่า เมื่อหลายวันก่อนสามีของซินหลานเร่งเดินทางมาจากเมืองจิงโจว หลังจากขายบ้านทิ้งแล้วก็พาซินหลานกลับเมืองจิงโจวไปแล้ว…

 

 

…ภายหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยได้เจอกับซินหลานอีกเลยเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวกับภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “ท่าทางของนางเช่นนี้ เกรงว่ายังคงมีความหวังอยู่ คิดว่าในเมื่อข้ารู้เรื่องของซินหลานแล้ว ย่อมต้องการลากตัวซินหลานออกมาเป็นแน่ คิดว่าข้าคงยังไม่คิดจะเอาชีวิตของนาง เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าเข้าไปบอกนางว่าข้าไม่เชื่อคำพูดของนาง และต้องการให้เจ้าตัดเอ็นร้อยหวายของนางเสีย…”

 

 

หากตัดเอ็นร้อยหวายแล้ว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าจะต้องนอนเป็นอัมพาตติดเตียงไปตลอดชีวิต

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานถามขึ้นด้วยอาการอกสั่นขวัญหนีว่า “จะ…ให้ตัดเอ็นร้อยหวายของนางจริงๆ หรือเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจินกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็แค่ให้ผู้หนึ่งแสดงเป็นคนดีและอีกผู้หนึ่งแสดงเป็นคนโหดร้ายเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที ขานรับอย่างนอบน้อมด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ

 

 

โจวชูจิ่นกล่าว “เจ้าต้องทำให้นางเชื่อว่า สาเหตุที่ข้ายังไม่กรอกยาทำให้เป็นใบ้ให้นางก็เพราะว่ายาชนิดนั้นไม่ได้หาได้ง่ายๆ จึงยังไม่ได้ส่งมาให้ในตอนนี้ก็เท่านั้น ถ้าหากนางยังไม่ยอมพูดอีกจริงๆ เมื่อถูกจับกรอกยาทำให้เป็นใบ้แล้ว ต่อให้นางอยากพูดก็พูดไม่ได้แล้ว ถึงแม้เมืองจินหลิงจะมีท่านหมอที่ต่อเอ็นร้อยหวายได้ แต่หากไม่ได้รักษาอย่างทันท่วงที ต่อให้เชิญท่านหมอมาได้ก็ไม่มีประโยชน์…ต้องทำให้นางเชื่อว่า ข้าไม่เชื่อคำพูดของนาง นางใช้หลักฐานอะไรมาสงสัยว่าเฉิงไป่ทำให้ฮูหยินต้องตาย ซินหลานผู้นั้นก็เพียงช่วยสาวใช้ยกน้ำเข้าไปให้กาหนึ่งก็เท่านั้น ส่วนเฉิงไป่ก็เพียงมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับซินหลาน บางทีซินหลานอาจไม่ได้ทำอะไรเลย บางทีเฉิงไป่อาจจะได้พบกับซินหลานโดยบังเอิญ ทั้งสองคนถึงได้เข้ามาพัวพันกัน…เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมนางว่า หากนางยังอยากมีชีวิตต่อ ก็ต้องพูดสิ่งที่รู้ออกมาให้หมด หรือต่อให้นางไม่พูด ข้าก็รู้แล้วว่าซินหลานอาศัยอยู่ที่เมืองจิงโจว อย่างมากก็อาศัยตระกูลเฉิงให้ส่งคนไปตรวจสอบ นอกเสียจากนางจะให้ข้อมูลเท็จแล้ว รายชื่อของคนนอกที่ย้ายเข้าไปอยู่เมื่อสิบปีก่อนนั้น ให้ตรวจสอบจนพบได้ไม่ยากเลยสักนิด”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานขานรับ “เจ้าค่ะ” ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็เข้าไปในห้องโถง

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงเป็นกังวลใจเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “แล้วถ้านางไม่เชื่อล่ะเจ้าคะ พวกเราจะตัดเอ็นร้อยหวายของนางจริงๆ หรือเจ้าคะ”

 

 

“ถ้าหากเรื่องเดินไปถึงจุดนั้นจริงๆ” โจวชูจิ่นกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ก็คงจำเป็นต้องให้เป็นเช่นนั้นแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นถอนหายใจ เดินไปพักผ่อนที่เรือนหลักพร้อมกับพี่สาว

 

 

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็เข้ามา

 

 

“คุณหนูใหญ่” สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก กล่าวว่า “หลานทิงบอกว่า หลังจากที่ฮูหยินเสียชีวิตแล้ว นายท่านต้องการปล่อยตัวพวกนางทั้งหมดไป เพื่อซื้อความเชื่อใจของนายท่าน นางจึงนึกถึงกำไลหยกมันแพะคู่หนึ่งที่นางเคยเห็นอยู่ในร้านเครื่องประดับ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับของที่ฮูหยินเคยให้ความช่วยเหลือนายท่านจวงเป็นการส่วนตัวไป แต่นางไม่มีเงินซื้อ สุดท้ายก็เลยคิดไปถึงเฉิงไป่ แต่เฉิงไป่ไม่สนใจนาง นางไม่มีวิธีอื่น จึงทำใจกล้าเขียนข้อความว่า เจ้ากับซินหลานร่วมมือกันฆ่าฮูหยิน แผ่นหนึ่งส่งไปให้เฉิงไป่ และแล้วเฉิงไป่ก็ยอมทำตามอย่างเชื่อฟังโดยบอกนางว่าได้วางเงินสองร้อยเหลี่ยงเอาไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดเฉิงหวง หลังจากที่นางค้นพบแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะถูกเฉิงไป่ตามมาแก้แค้น ไม่กล้าเอาเงินไป ต่อมาเฉิงไป่ก็เสียชีวิตลง…ในส่วนของซินหลาน นางไม่รู้จริงๆ ว่าซินหลานพักอาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่ รู้เพียงว่าพอนางเห็นเฉิงไป่ป่วยหนัก ก็คิดได้ว่าต่อให้นางได้เข้าไปอยู่ในตระกูลเฉิงก็คงมีชีวิตที่ดีไม่ได้ ดังนั้นตอนที่สามีของนางตามมาหา นางจึงตามสามีของนางกลับไปที่เมืองจิงโจวเจ้าค่ะ”

 

 

และก็อาจจะกล่าวได้ว่า ที่บอกว่ามารดามีความปรารถนาสุดท้ายให้นางอยู่รับใช้ดูแลน้องสาวนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องโกหกด้วย!

 

 

โจวเสาจิ่นตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

 

 

โจวชูจิ่นเอามือทาบอกราวคนหายใจไม่ออก กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เหลือทางให้นางรอดชีวิตไปก่อน รอให้ข้าตามหาซินหลานผู้นั้นเจอแล้ว ค่อยแจ้งท่านพ่อกลับมาสอบสวน ว่าจริงๆ แล้วเหตุการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงกระจ่าง!”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานค้อมศีรษะลงเป็นการตอบรับ

 

 

โจวชูจิ่นกำชับกับนางว่า “เจ้าต้องจับตาดูนางเอาไว้ให้ดี หากนางใช้เงินติดสินบนพวกเจ้า ให้พวกเจ้ารับมาก็พอ หากนางให้พวกเจ้าแอบไปตามท่านหมอต่อเอ็นร้อยหวายมาให้นาง พวกเจ้าก็ไปตามคนมาให้นาง อย่าให้นางรู้สึกว่าไม่มีความหวัง แล้วฆ่าตัวตายหนีปัญหาได้ ข้าตั้งตารอให้นางกับซินหลานกัดกันเองอยู่!”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานรีบให้คำมั่นสัญญา

 

 

พี่สาวต้องการใช้ความหวังมาหน่วงเหนี่ยวชีวิตของหลานทิง!

 

 

ครั้งนี้โจวเสาจิ่นได้เรียนรู้อย่างแท้จริงแล้วว่าโจวชูจิ่นเก่งกาจเพียงใด

 

 

นางรู้สึกอิจฉายิ่งนัก แต่ที่มากไปกว่านั้นกลับเป็นความชื่นชม

 

 

ด้วยเหตุนี้ตอนที่โจวชูจิ่นถามนางระหว่างที่กำลังเดินทางกลับว่า เจ้าได้เรียนรู้อะไรบ้าง นั้น นางหัวเราะร่าพร้อมกับส่ายศีรษะ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าจะหลบอยู่ข้างหลังของท่านกับท่านพ่อแล้วใช้ชีวิตน้อยๆ ของข้าไปอย่างเชื่อฟังก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง

 

 

โจวเสาจิ่นทำเพียงกอดแขนของนางเอาไว้แล้วหัวเราะ

 

 

โจวชูจิ่นถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นึกถึงคำที่ท่านยายเคยกล่าวเอาไว้ว่า ต้นหญ้าทุกต้นล้วนมีน้ำค้างเป็นของตัวเองหนึ่งหยด

 

 

สำหรับน้องสาวแล้ว บางทีเส้นทางที่ตนต้องเดินเส้นนี้อาจจะไม่เหมาะกับนาง ในทางกลับกัน เส้นทางของน้องสาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวนางเองนั้น ขอเพียงนางเดินอยู่บนเส้นทางของตัวเองให้ดี ก็จะหาความสงบสุขจนเจอได้…ไม่แน่ว่า นางอาจจะมีความสุขมากกว่าก็เป็นได้!

 

 

โจวชูจิ่นรู้สึกผ่อนคลายลง ค่อยๆ ลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆ

 

 

โจวเสาจิ่นถามพี่สาวว่า “เรื่องของหลานทิงจะตรวจสอบอย่างไรหรือเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นยิ้มพลางถามนางกลับว่า “แล้วเจ้าคิดว่าควรจะตรวจสอบอย่างไรดี”

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่าหม่าฟู่ซานเหมาะสมที่สุด เพียงแต่เกรงว่าหม่าฟู่ซานจะไม่มีเวลาว่างพอ”

 

 

“อืม!” โจวชูจิ่นเห็นด้วย “ไม่สมควรจะเป็นเขาจริงๆ เพราะหลังจากเทศกาลหันอีก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว ต้องเริ่มตระเตรียมของขวัญปีใหม่สำหรับเทศกาลตรุษจีนแล้ว ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนเจียงหนาน ของที่พวกเขาชื่นชอบก็จะเป็นเมล็ดบัวของหังโจวและไข่เป็ดเค็มของเกาโหยว ซึ่งของพวกนี้ล้วนต้องให้หม่าฟู่ซานช่วยเป็นธุระจัดเตรียมให้ เขาจึงไม่อาจไปตรวจสอบให้ได้”

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงคนผู้หนึ่ง

 

 

ซึ่งก็คือหม่าชื่อผู้เป็นหลานชายของหม่าฟู่ซาน

 

 

ชาติก่อน หม่าชื่อคือคนที่หม่าฟู่ซานให้การรับรองให้เข้ามาในช่วงเวลาที่พี่สาวต้องเลือกบ่าวรับใช้จากตระกูลโจวเพื่อติดตามไปด้วยตอนแต่งงาน เขาไม่เพียงเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากได้เท่านั้น ยังเป็นคนมีความสามารถและซื่อสัตย์ ติดตามโจวชูจิ่นไปที่ตระกูลเลี่ยวได้ไม่นานก็โดดเด่นออกมา กลายเป็นคนที่โจวชูจิ่นพึ่งพาได้มากที่สุด ต่อมาเมื่อนางแต่งงาน ข้างกายไม่มีคนที่เหมาะสมพอจะมาช่วยจัดการดูแลสินสอดติดตัว หลังจากที่พี่สาวสอบถามนางแล้ว ก็นำเอาสินสอดติดตัวของนางไปให้หม่าชื่อเป็นผู้จัดการดูแลให้ ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เงินส่วนตัวของนางก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าหนึ่งเท่าตัว จวบจนก่อนหน้าที่นางจะย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ล้วนเป็นหม่าชื่อที่ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้พวกนางสองพี่น้อง

 

 

นางประสานมือทั้งสองข้างของนางเข้าหากันแน่น พลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าบังเอิญได้ยินมาว่าหม่าฟู่ซานมีหลานชายอยู่ผู้หนึ่ง มีความสามารถยิ่งนัก เหมือนจะชื่อหม่าชื่อหรืออะไรสักอย่าง ท่านไม่ลองถามหม่าฟู่ซานดูล่ะเจ้าคะ ดูว่าให้หลานชายของเขาผู้นี้ไปทำธุระให้พวกเราได้หรือไม่!”

 

 

โจวชูจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

นางไม่ได้ประหลาดใจที่อยู่ๆ โจวเสาจิ่นก็เอ่ยถึงหลานชายของหม่าฟู่ซานขึ้นมา แต่นางประหลาดใจที่อยู่ๆ โจวเสาจิ่นก็หาวิธีเอาชนะพฤติกรรมที่ชอบบิดมือเวลาตื่นเต้นของตัวเองได้

 

 

“เจ้าคิดวิธีเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใดหรือ” โจวชูจิ่นชี้ไปที่มือของนาง “อย่างไรก็ตาม เจ้าควรจะผ่อนคลายลงอีกสักหน่อย เช่นนี้จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อาจพูดออกมาว่าเป็นเฉิงฉือที่บอกให้นางทำเช่นนี้ จึงเปล่งเสียง “อ้อ” เสียงหนึ่ง แล้วก็จัดท่วงท่าเสียใหม่ จากนั้นก็ไล่ถามพี่สาวต่อว่า “ท่านคิดว่าความคิดนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นไม่เชื่อว่าโจวเสาจิ่นจะบังเอิญไปได้ยินชื่อของหม่าชื่อด้วยตัวเอง มองจากในมุมของนางแล้ว นี่ต้องเป็นภรรยาของหม่าฟู่ซานมาขอร้องโจวเสาจิ่นให้ช่วยจัดหางานสักตำแหน่งให้หลานชายของนางเป็นแน่ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องอื่น นางคงจะตอบรับไปแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องไปสืบหาเบาะแสของซินหลาน นางจึงตอบไปว่า “เจ้าให้เขามาพบข้าก็แล้วกัน! ถ้าหากว่าใช้ได้ ก็จะให้เขาไป”

 

 

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ยิ้มพลางขานรับอย่างดีใจ เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียงก็ให้ซือเซียงนำจดหมายไปส่งให้ภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้หม่าชื่อไปพบโจวชูจิ่น

 

 

หม่าฟู่ซานรู้ว่าหลานชายผู้นี้ของตนปรารถนาจะเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ที่ตระกูลโจวมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าโจวเจิ้นรับราชการอยู่ข้างนอก ส่วนคุณหนูทั้งสองท่านก็อาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิง บ้านตระกูลโจวทางฝั่งถนนผิงเฉียวนี้จึงไม่มีงานอะไรมาก ถึงได้ว่างเว้นมาโดยตลอด พอได้ยินว่าโจวชูจิ่นต้องการพบหม่าชื่อ เขายังเข้าใจไปว่าหม่าชื่อคงเข้าหาด้วยวิธีอื่น จึงไม่ได้สอบถามอะไรมาก อธิบายสิ่งที่ควรระวังให้เขาฟังสองสามประโยค แล้วก็ให้เขาไปที่ซอยจิ่วหรู

 

 

หม่าชื่อเพิ่งจะมีอายุสิบหกปี แต่มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ ดูเอาจริงเอาจังและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก

 

 

หลังจากที่โจวชูจิ่นได้พูดคุยและสอบถามแล้วก็พึงพอใจยิ่งนัก มอบเงินสองร้อยเหลี่ยงให้เขาเดินทางไปที่เมืองจิงโจวสักครั้งหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่

 

 

พี่สาวให้หม่าชื่อไปเมืองจิงโจว ยังให้เงินไปเพียงสองร้อยเหลี่ยง…ส่วนนางให้ฝานฉีไปจิงเฉิง กลับให้เงินไปถึงห้าร้อยเหลี่ยง…

 

 

นางรีบให้ซือเซียงไปตรวจสอบเงินส่วนตัวของตน

 

 

ทุกๆ ครั้งที่มีเงินเข้าและออกซือเซียงล้วนจดลงบัญชีเอาไว้แล้ว หลายครั้งยังเอาออกมาตรวจนับอยู่บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าถูกต้องอยู่เสมอ

 

 

พอโจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นมา นางก็ตอบได้ในทันทีว่า “ท่านยังมีเงินส่วนตัวเหลืออยู่อีกสิบหกเหลี่ยงกับสามเฉียนเจ้าค่ะ”

 

 

หลังของโจวเสาจิ่นพลันชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

 

นางรับปากฝานฉีเอาไว้ว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้วจะให้รางวัลเขาเป็นเงินสองร้อยเหลี่ยงพร้อมกับที่นาอีกมากกว่าสิบหมู่…

 

 

แล้วตอนที่ฝานฉีกลับมา นางจะเอาเงินที่ไหนมาให้เขากัน?

 

 

นางเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องอย่างร้อนใจ ถามซือเซียงว่า “ตอนที่ข้าหยิบเงินออกมาใช้ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าว่าข้ามีเงินเหลืออยู่อีกเพียงห้าร้อยกว่าเหลี่ยงเท่านั้นเล่า”

 

 

ซือเซียงกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ท่านบอกว่าต้องการนำเงินไปซื้อที่…ข้าคิดว่าการซื้อที่เป็นเรื่องใหญ่…นอกจากนี้ท่านก็ไม่ได้มีที่ให้ต้องใช้เงินอะไร รอให้ถึงช่วงปีใหม่ นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยิน นายท่านใหญ่และคนอื่นๆ ล้วนจะมอบรางวัลลงมาให้อีก…”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “แต่พวกนั้นเป็นก้อนเงิน ก้อนเงินนำไปแลกเป็นเงินได้หรือ”

 

 

ซือเซียงเบิกตาโตอย่างตกใจ กล่าวว่า “แน่นอนว่าก้อนเงินนำไปแลกเป็นเงินได้เจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นเงินที่พวกคุณชายรองอี้เอาไปเล่นการพนันนั้นจะเอามาจากที่ใดกันเจ้าคะ”

 

 

“จริงด้วย!” โจวเสาจิ่นขานตอบ ในใจกลับกำลังคิดว่าจะให้ซือเซียงนำก้อนเงินที่ตนเคยได้รับมาหลายปีก่อนหน้ามานับรวมกันทั้งหมด ดูว่ารวมกันจะถึงสองร้อยเหลี่ยงหรือไม่…ถ้าหากไม่ได้จริงๆ ก็เขียนจดหมายไปขอกับบิดาก็แล้วกัน…แต่ว่า จะใช้ข้ออ้างว่าอะไรดีนะ คงไม่อาจบอกว่าเพราะตนต้องการตบรางวัลให้ฝานฉีหรอกกระมัง

 

 

………………………………………………………………