ตอนที่ 99 ตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 99 ตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหก

รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนเก้าวันที่ยี่สิบหก ต้าหยูชิวเหวยวันที่หนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงฝนตกประปราย

วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกไปข้างนอก แผนการบรรเทาทุกข์ยังต้องรอให้ชิวเหวยผ่านพ้นไปก่อนจึงจะทราบผลลัพธ์ได้ เมืองหลวงดูแปลกไป ยามกลางวันหมดหนทางจะไปเจอกับต่งชูหลาน เขาจึงเลือกนั่งสมาธิและฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางไปตามประสา

ยังนั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ ชุนซิ่วก็มารายงาน คุณชายรองตระกูลต่งมาพบเขาอีกแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด ก็ลุกขึ้นและต้อนรับต่งซิวเต๋อเข้ามา

ชุนซิ่วชงชาสองกาแล้วก็ถอยเท้าไปยืนอยู่ทางด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนมองต่งซิวเต๋อแล้วเอ่ยถามว่า “วันนี้เป็นวันชิวเหวยมิใช่หรือ ? ”

“มิได้ไป ถึงไปก็สอบมิผ่าน”

ชายผู้นี้ถือว่าฉลาด “ท่านมิกลัวบิดาท่านเฆี่ยนท่านเอารึ ? ”

เมื่อวานได้คุยกับชูหลาน เขาจึงรู้สถานการณ์ของจวนต่งมาโดยประมาณแล้ว

“โดนเฆี่ยนจนชินแล้ว…เจ้าว่าบิดามารดาเป็นคนโง่หรือไม่ ข้าถูกพวกเขาทุบตีตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังมิรู้แจ้งกันว่าการตีข้ามิได้ทำให้ปัญหาคลี่คลายได้ ไม่นึกจะใคร่ครวญถึงหนทางอื่นบ้างเลยหรือ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ และเอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นท่านว่ายังมีหนทางอื่นใดอีกหรือ ? ”

 “อย่างเช่น…ให้เงินข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเรียนได้มากขึ้นก็เป็นได้”

คนผู้นี้ไร้ความสามารถยิ่ง โลภตั้งแต่หัวจนจรดปลายเท้า

บางทีอาจเพราะเป็นช่วงเช้าและด้านนอกท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้ม คุณชายรองต่งไม่ได้ชวนฟู่เสี่ยวกวนออกไปเดินเล่น ทั้งสองคนนั่งดื่มชาและพูดคุยกัน แต่กลับเพิ่มและเติมเต็มความรู้สึกมาได้ไม่น้อย

ฟู่เสี่ยวกวนคอยทำให้กลมกลืนกันไป เผชิญหน้ากับคุณชายรองต่งผู้นี้เขาก็ต้องใช้ภาษากลางที่ใช้คุยด้วยกัน จนทำให้คุณชายรองต่งนึกชังที่เพิ่งจะมาได้พบพานกันเอาในตอนนี้

หลังจากการแนะนำด้วยความตั้งใจของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็กล่าวถึงกลุ่มอำนาจในเมืองหลวง

“ตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหกในเมืองหลวง อันดับหนึ่งในตอนนี้ย่อมเป็นตระกูลเยี่ยน แต่เยี่ยนหวินชวนก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างความรุ่งโรจน์ของไท่เหอ บุตรชายของเขา เยี่ยนเป่ยซี ก็ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีของรัชสมัย ถึงแม้จะเทียบมิได้กับเยี่ยนหวินชวน แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็ยังดูยอดเยี่ยมยิ่ง ส่วนเยี่ยนซือเต้ารุ่นที่สามของตระกูลเยี่ยน คนผู้นี้เริ่มต้นจากตำแหน่งนายอำเภอ ก็ได้ไต่ระดับขึ้นมาจนได้รับตำแหน่งเสนาบดี ถึงแม้จะหลีกหนีไม่พ้นจากความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของตระกูลเยี่ยน แต่คนผู้นี้ก็ย่อมมีจุดที่ยอดเยี่ยมของตนเองที่กล่าวกันไว้ว่าจากรุ่นสู่รุ่น กล่าวได้ว่าเยี่ยนซือเต้าผู้นี้ก็น่านับถือ ส่วนรุ่นที่สี่ของตระกูลเยี่ยน ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดก็คือเยี่ยนซีเหวิน แต่ข้าก็มิได้มองเยี่ยนซีเหวินในแง่ดีนัก”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เหตุใดกัน ? ”

“กล่าวกันไว้ว่าคนรวยจะมีไม่เกินสามช่วงอายุ เขาเป็นรุ่นที่สี่แล้ว! นอกจากนี้เขายังต่อกรกับเจ้ามิได้ จะเอาอันใดขึ้นไปรับช่วงต่อ ? ”

ประโยคนี้ได้กล่าวออกมา…ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ แต่ก็มิได้พูดอะไรออกไป

“ผู้คนต่างถกเถียงกันถึงตระกูลที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของเมืองหลวงอย่างมากมาย ก็มีคนที่คิดว่าเป็นตระกูลชือ และก็มีคนที่คิดว่าเป็นตระกูลเฟ้ยเช่นเดียวกัน หากตามที่ข้ามองก็ควรจะเป็นตระกูลชือ เพราะกิจการของตระกูลชือใหญ่โตอย่างยิ่ง ข้าจะบอกกับเจ้า นอกจากชาวฮวง ชาด แป้งน้ำและผ้าไหมที่สดสวยของตระกูลชือก็ได้ถูกส่งออกไปยังแคว้นฝาน แคว้นอี๋และราชวงศ์อู๋ หากจะกล่าวว่าตระกูลชือร่ำรวยจนเป็นศัตรูต่อแคว้น นี่ก็มิใช่เรื่องที่เกินจริง อย่างไรก็ตามหัวหน้าตระกูลชือคนปัจจุบันชือเฉาหยวนก็ดำรงเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ผู้ที่เข้ากันได้กับทุกฝ่าย”

“ส่วนตระกูลเฟ้ย ราชครูอาวุโสเฟ้ยยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่าได้ดูแคลนผู้อาวุโสผู้นี้ไป เขานั้นเป็นผู้บุกเบิกที่แท้จริงของสามราชวงศ์ เป็นเสนาบดีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ว่ากันว่าด้วยอำนาจและชื่อเสียงในรัชสมัยนั้น แม้แต่อัครมหาเสนาบดี เยี่ยนเป่ยซี ก็ถูกเขากดทับเอาไว้เช่นกัน เมื่อได้มาครุ่นคิดก็ทราบได้เลยว่าผู้อาวุโสผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงไหน ราชครูอาวุโสเฟ้ยมีบุตรชายทั้งหมด 4 คน บุตรคนโต เฟ้ยอัน อายุ 50 ปี เคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทางใต้ แต่ปัจจุบันได้เกษียณออกมาแล้ว และทำนาอยู่ที่เขตหนานหลิงนอกเมืองหลวง”

“อะไรนะ ทำนาหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ แม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์ทำนา? คนผู้นี้น่าสนใจจริง ๆ

“ใช่แล้ว เขาทำนาด้วยตนเองถึง 10 หมู่ ถึงขั้นเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตชนบทนั้นค่อนข้างสบาย”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ต่งซิวเต๋อดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำ แล้วกล่าวขึ้นมา “เฟ้ยปัง บุตรชายคนที่สองของราชครูอาวุโสเฟ้ย ปีนี้อายุ 45 ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม เฟ้ยติ้ง บุตรคนที่สามของราชครูอาวุโสเฟ้ย ปีนี้อายุ 42 ดำรงเป็นต้าฝู ผู้ตรวจการของฝ่ายตรวจการ อย่าได้มองว่าเป็นขุนนางชั้นสาม แต่เขามีสิทธิ์ในการตรวจสอบขุนนางนับร้อยคน ! ”

ต่อจากนั้นต่งซิวเต๋อก็ได้กล่าวถึงตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหกที่ยังเหลืออยู่อย่างตระกูลเซวี๋ย ตระกูลสีและตระกูลฉิน

เหล่าตระกูลผู้มีอำนาจนี้ต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ตัวอย่างเช่นตระกูลเซวี๋ยที่มีกิจการเรือขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า มีอู่เรือ และท่าเทียบเรือ และอื่น ๆ เป็นของตนเอง

ตระกูลสีมีทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดของราชวงศ์หยู ม้าศึกของราชวงศ์หยูแทบจะเป็นของตระกูลสีทั้งสิ้น และกองทัพทั้งสี่ทิศของต้าหยู ตระกูลสีก็มีทหารม้าที่ยอดเยี่ยมอยู่มากมาย ผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือสีฉางเกอที่เกิดจากอนุ คนผู้นี้อายุได้ 35 ปี ได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารชายแดนตะวันตก ครุ่นคิดไปแล้วปัญหาของการควบคุมกองทหารตะวันออกก็เป็นเพียงทางด้านของเวลา

สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดคิดเลยก็คือตระกูลฉิน และฉินปิ่งจงก็อยู่ในตระกูลฉินเช่นกัน

ฉินปิ่งจงมิใช่หัวหน้าตระกูล หัวหน้าตระกูลฉินก็คือน้องชายของฉินปิ่งจง ฉินหยูเหิง ฉินหยูเหิงเป็นบุตรชายของฉินฮุ่ยจือและปัจจุบันก็ได้เข้าร่วมกิจการของราชสำนักในท้องพระโรง ตามที่ต่งซิวเต๋อกล่าวมา คนผู้นี้มีความสำคัญน้อยมาก แต่ก็แอบมีแนวโน้มว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี แต่ต่งซิวเต๋อมิคิดว่าฉินฮุ่ยจือจะสามารถชนะเยี่ยนซือเต้าได้ เพราะอำนาจของตระกูลเยี่ยนนั้นใหญ่ยิ่ง

เมื่อได้ฟังต่งซิวเต๋อกล่าวถึงความไม่ลงรอยกันของฉินปิ่งจงและฉินหยูเหิงจากความแตกต่างของแนวทางในการพัฒนาตระกูล จากสองพี่น้องที่ภายนอกนั้นดูสนิทสนมกันมานานแรมปี โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่หนึ่ง จนทำให้ฉินปิ่งจงเดินทางไปยังหลินเจียง และน้อยครั้งที่จะกลับมายังเมืองหลวง

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่หนึ่ง ต้าหยูและแคว้นอี๋มีการปะทะกันที่ชายแดน หลานชายคนโตของฉินปิ่งจง ฉินถงในยามนั้นได้ดำรงตำแหน่งนายกองของกองพลทหารม้าทางชายแดนตะวันออก ฉินถงนำทัพออกศึก และได้เผชิญหน้ากับกองทัพเกราะแดงของแคว้นอี๋ ทั้งสองฝ่ายทำศึกกันที่ที่ราบสีหม่า กองทัพของเราพ่ายแพ้ ฉินถงตายในสนามรบ นี่คือประวัติศาสตร์ของผู้สละชีพแห่งที่ราบสีหม่า

หลังจากที่ฉินปิ่งจงทราบข่าวการตายในสนามรบของฉินถงก็ปิดประตูจวนถึงไป 3 วัน หลังจากที่เดินทางไปยังหลินเจียง และมิได้ไปมาหาสู่กับฉินหยูเหิงอีก ตระกูลฉินที่เมืองหลวงจึงถูกแบ่งออกเป็นสองสายเลือดอย่างแท้จริง แน่นอนว่าสายเลือดของฉินปิ่งจงไร้อำนาจ ดังนั้นตระกูลฉินในเมืองหลวง โดยทั่วไปจะหมายถึงสายเลือดของฉินหยูเหิง

“อาจารย์ฉิน เจ้าว่าเยี่ยงไรบ้าง ? เขาเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของรัชสมัย อีกทั้งยังเคยได้เป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก แต่คนผู้นี้เมื่อถูกย้อมไปด้วยคำของขงจื๊อก็เลี่ยงไม่ได้ที่ค่อนข้างจะคร่ำครึ เขาคิดมาโดยตลอดว่าต้องการตำราของนักปราชญ์ไปกล่อมเกลาผู้อื่น ผลลัพธ์ที่ได้กลับถูกผู้อื่นสั่งสอน จำเป็นต้องกลุ้มใจถึงเพียงนั้นเลยรึ ?”

ต่งซิวเต๋อส่ายหน้า เขาคิดว่าอาจารย์ฉินมิคุ้มค่า เขาแบมือทั้งสองออก และกล่าวอีกว่า “เจ้ากำลังจะบอกให้หมาป่าทานหญ้าห้ามทานเนื้อ นี่ นี่มัน มิไร้สาระเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หรือว่ายังมีอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องนี้กัน ? ”

“ข้าจะไปรู้เรื่องเท็จจริง ณ ยามนั้นได้เยี่ยงไร แต่อย่างไรยามที่ไปดื่มเหล้าก็ได้ยินเรื่องเล่ามาหนึ่งเรื่อง ยามนั้นหัวหน้ากองทหารตะวันตกก็คือเฟ้ยปัง ฉินถงได้รับคำสั่งให้ออกศึกอย่างเร่งรีบกล่าวว่านี่คือคำสั่งโยกย้ายจากเฟ้ยปัง แต่เฟ้ยปังมิได้รายงานฉินถงว่าเขานั้นกำลังเผชิญกับกองทัพเกราะแดงที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นอี๋ ! ฉินถงมีกองทหารม้าเบาเพียง 1,000 นาย แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทหารเกราะแดงถึง 10,000 นาย แต่เมื่อมาครุ่นคิดในตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นกระดานหมากหนึ่ง หน่วยสอดแนมของฉินถงมิพบข้าศึก แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามล้อมรอบ รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ เฟ้ยปังถูกย้ายไปเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ผู้ที่มาแทนตำแหน่งจอมทัพกองทหารตะวันตกก็คือบุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนฮ้าวชู”

 “หึ ขุนนางผู้หนึ่งก็ได้เป็นถึงจอมทัพของกองทหารทางตะวันตก ! ”

ต่งซิวเต๋อลุกขึ้นยืน “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ไปหอซื่อฟางกันดีกว่าไหม ? ”