ตอนที่181 เปิดฉากการประชุม

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่181 เปิดฉากการประชุม

ตาแก่ซงเบิกตากว้างจ้องมองฉีเล่ยไม่วางตา และเมื่อเห็นว่าเป็นป้ายจริง เขาก็ร้องทักท้วงขึ้นด้วยความแปลกใจทันที

“นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน แกไปเอาป้ายนี้มาจากไหน?”

เห็นได้ชัดว่า สิทธิ์การเข้าร่วมงานประชุมดังกล่าว ทางมหาวิทยาลันแพทย์แผนจีนได้รับแค่ 2สิทธิ์เท่านั้น คนแรกก็คือเขา และอีกคนก็ไม่ใช่ฉีเล่ยแน่นอน

แต่ตอนนี้บนคอของฉีเล่ยกลับห้อยป้ายผู้เข้าร่วมอยู่ และสิ่งแรกที่ตาแก่ซงคิดได้ก็คือ อีกฝ่ายต้องได้มันมาด้วยวิธีสกปรกอย่างแน่นอน

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ขอร้องเถอะนะครับ เลิกขวางทาง แล้วก็หลีกทางให้ผมได้แล้ว แล้วอีกอย่าง อาจารย์ซงเองก็ไม่ใช่สุนัขนะครับ ที่จะต้องเดินตามก้นผมอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ หรือมันยังไงครับ? เป็นช่วงฤดูติดสัตว์รึเปล่า?”

“แก…”

ตาแก่ซงฟังแล้วก็โมโหสุดขีด จึงได้ข่มขู่ฉีเล่ยกลับไปว่า

“แกระวังตัวไว้เถอะ กลางคืนกลางคืนเดินคนเดียว ระวังจะถูกผีร้ายจับไปกิน!”

“โห? ขนาดนั้นเลยเหรอครับ? แต่สำหรับผมแล้ว เจอผีก็ยังดีกว่าเจอคุณนะ เคยรู้ตัวไหมครับอาจารย์ซง คุณน่ะน่ารำคาญยิ่งกว่าผีร้ายซะอีก?”

“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน”

ตาแก่ซงพ่นลมหายใจใส่เฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังเดินออกนอกประตูห้องประชุมไปทันที

เขาเดินตรงไปยังโต๊ะหน้าห้องสำหรับให้ผู้ที่มากรอกแบบฟอร์มและยืนยันตัวตน และเมื่อไปถึงจึงยิ้มและเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นคนหนึ่งว่า

“ขอโทษนะครับ ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนหน่อย”

อีกฝ่ายเป็นพนักงานหญิงสวมแว่น เมื่อเห็นว่าตาแก่ซงเองเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมงานประชุม เธอก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า

“สวัสดีค่ะ มีปัญหาอะไรรึเปล่าค่ะ?”

ตาแก่ซงยิ้ม และตอบกลับไปว่า

“นั่นสินะ พอดีผมบังเอิญไปเห็นคนที่ไม่ควรได้สิทธิ์เข้าร่วมงานประชุมเข้ามาภายในงานน่ะครับ รบกวนช่วยไปตรวจสอบให้หน่อยได้ไหม?”

อันที่จริงแล้ว การประชุมในครั้งก่อนๆ ก็เคยมีหลายต่อหลายครั้งที่บรรดาผู้บริหารใหญ่หรือบุคคลที่มีอำนาจในการประชุม ชอบแอบพาญาติพี่น้องตัวเองเข้ามาโดยพลการ เพื่อให้พวกเขาพบปะกับคนอื่นๆและสานสัมพันธ์ในอนาคต ซึ่งพนักงานเหล่านี้เองก็มักจะเมินเฉยต่อเรื่องเหล่านี้

แต่ทว่าตอนนี้กลับเริ่มมีบางคนได้รับผลกระทบกับปัญหาเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรพนักงานเหล่านี้ก็ต้องมีหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด

พนักงานสาวคนนั้นรีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“จริงเหรอคะ? พอทราบไหมคะว่า อีกฝ่ายชื่อว่าอะไร?”

“ชื่อ ฉีเล่ย ครับ อักษรตัวที่แปลว่าหินทั้งหมดเลย”

“รบกวนรอสักครู่นะคะ ดิฉันขอตรวจสอบรายชื่อก่อน”

หลังจากตรวจสอบไปสักครู่หนึ่ง พนักงานสาวก็กล่าวตอบกลับมาว่า

“คุณผู้ชายคะ คุณฉีเล่ยมีรายชื่ออยู่ในผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมได้นะคะ”

“อะไรนะ? มันจะเป็นไปได้ยังไง? ตัวแทนคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งไม่น่าจะมีชื่อเขานะครับ”

พนักงานสาวเริ่มชักสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยพอใจเช่นกัน

“เขาอยู่ในรายชื่อของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงค่ะ”

“เป็นไปไม่ได้…?”

“เป็นไปแล้วค่ะ”

หลังจากตอบคำถามของตาแก่ซงหมดแล้ว เธอก็เมินเฉยใส่อีกฝ่าย แล้วหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อทันที

ภายในใจของตาแก่ซงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจอย่างมาก นี่จะเป็นไปได้ยังไง? ไอ้เด็กไร้การสั่งสอนนั่นจะมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงได้ยังไงกัน?

“ไอ้เด็กเวรนั่นจะอยู่ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงได้ยังไงกัน!”

เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มการประชุม สถานที่จัดงานจึงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นเป็นระยะ

ทุกคนต่างก็เข้าไปรวมตัวพบปะกันเป็นกลุ่มๆ ต่างฝ่ายต่างก็สนทนาพูดคุยกันไปพลางหัวเราะกันไป ดูจากจำนวนคนที่เข้าร่วมแล้ว แทบจะมองไม่ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของวงการแพทย์แผนจีนเลยแม้แต่น้อย

“ฉีเล่ย ทางนี้!”

ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงหนึ่งร้องตะโกนเรียกฉีเล่ย

ฉีเล่ยหันขวับมองไปตามเสียง ก็พบอาจารย์ของเขาเป่ยฉวนเทียนที่กำลังยืนกวักมือเรียกอยู่แต่ไกล

รอบตัวเป่ยฉวนเทียนมีทั้งอาวุโสเหวิน หลัวไป๋ซิ่ว และปิงโหย่วหลิน ทุกคนต่างก็พากันยืนส่งยิ้มให้กับเขา นอกจากนี้ยังมีชายชราอีกประมาณสองถึงสามคนที่ดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเอาซะเลย

เป่ยฉวนเทียนรีบพาฉีเล่ยมาแนะนำตัว เขายกมือขึ้นชี้ไปทางชายชราคนหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ท่านนี้คือกัวเฟิงฮวา มาจากเฉิงตู เป็นปรมาจารย์ด้านการฝังเข็มและรมยาสมุนไพร”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาวุโสกัว”

“ส่วนท่านนี้ก็คือซูเทียนจิน มาจากซีเต่า เป็นปรมาจารย์ด้านทฤษฏีแพทย์แผนจีน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาวุโสซู”

“และท่านนี้ก็คือ หูฉิงเฉิน ผู้บริหารมหาวิทยาลัยการแพทย์จีนหัวเซี่ย”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผู้บริหารหู”

“คนสุดท้ายนั่นชื่อว่าหม่ากงเหลียน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและยาจีน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาวุโสหม่า”

…..

หลังจากที่เป่ยฉวนเทียนแนะนำให้ฉีเล่ยได้รู้จักกับทุกคนจนครบแล้ว พวกเขาเองต่างก็พากันเอ่ยทักทายฉีเล่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของฉีเล่ยมาแล้วเป็นอย่างดีเช่นกัน

กัวเฟิงฮวายิ้มให้ฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เป็นทั้งเขยตระกูลเฉิน แล้วยังได้ชื่อว่าเป็นทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์อีก แค่หยิบฉายาหนึ่งในสองอย่างออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน เท่านี้ก็เฉิดฉายมากพอที่จะกลบรัศมีพวกเราได้หมดแล้ว ฮ่าฮ่าๆ…”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะกล่าวตอบไปอย่างสุภาพว่า

“อาวุโสกัวกล่าวเกินไปแล้วครับ”

ต่อหน้าบรรดาปรมาจารย์ผู้มีฝีมืออย่างแท้จริง ฉีเล่ยเต็มใจที่จะเคารพนับถือจากใจจริง

ชายชราอีกคนที่มีใบหน้าแดงก่ำกล่าวขึ้นยิ้มๆ

“เป็นเรื่องดีนะที่หนุ่มสาวอย่างเธอจะรู้จักถ่อมตัว แต่การถ่อมตัวมากเกินไปมันจะกลายเป็นว่า ดูหยิ่งยโสเกินไปแทนนะ พวกเราได้ยินชื่อเสียงของเธอมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นเธอมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเทียบชั้นกับพวกเราได้ อืมม…แต่จะว่าไปแล้ว นี่เธอสนใจจะมาเป็นลูกศิษย์ฉันไหมล่ะ? ถึงฉันอาจจะสอนเธอได้ไม่มากนัก แต่ฉันก็ยังมีวิชาเด็ดๆไว้ถ่ายทอดให้อยู่นะ”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“อาวุโสชูเกรงใจแล้วครับ อีกอย่างผมก็มีอาจารย์อยู่แล้ว หากทำเช่นนั้นเกรงว่าจะเป็นการผิดครูไป”

“ฮ่าฮ่า ฉีเล่ยเธอนี่ช่างเป็นเด็กที่มีสัมมาคาราวะจริงๆนะ แต่จำเอาไว้ให้ดีล่ะ อยู่ตรงนี้ถ่อมตัวได้ แต่พอขึ้นไปบนงานประชุม เธอต้องใส่หนักจัดเต็มเหนี่ยวเลยนะ”

ชายชราผู้มีใบหน้าแดงก่ำกล่าวแนะนำฉีเล่ยต่อว่า

“อาจารย์ของเธอกับอาวุโสเหวินมาขอร้องพวกเราด้วยตัวเองว่า อยากจะให้เวลาเธอได้อภิปายในนามของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงให้นานที่สุด และพวกเราเองก็ต่างมีมติเห็นพร้องต้องกันทั้งหมด ขอบอกตามตรงนะฉีเล่ย พวกเราหวังในตัวเธอมาก มีของดีอะไรอยู่ในตัวก็แสดงออกมาให้หมดไม่ต้องกั๊กเข้าใจไหม? ไม่ต้องห่วงว่าพวกเราจะเสียหน้า อายุปูนนี้กันแล้ว ตาแก่อย่างพวกเราไม่มีอิจฉาริษยาหรอก ตรงกันข้าม พวกเรามีแต่จะชื่นชมเท่านั้นล่ะ”

“ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดกันยังไง ถ้าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรก็จงพูดมันออกมาให้หมด”

หูฉิงเฉิน ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแพทย์จีนหัวเซี่ย ยังกล่าวเสริมอีกว่า

“ในวัยแบบพวกเรา สิ่งเดียวที่ต้องการก็คือ ได้เห็นเด็กหนุ่มที่มีความกล้าและยืนหยัดต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีการแพทย์แผนจีน และงานประชุมในวันนี้ก็กำลังรอให้เธอขึ้นไปพลิกหน้าประวัติศาสตร์อยู่นะ พวกเราในฐานะคนร่วมอาชีพจะขอเป็นแรงสนับสนุนคนรุ่นใหม่อย่างเธอจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเชียวล่ะ”

“ผมสัญญาเลยครับว่าจะพยายามให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้อาจารย์กับทุกท่านต้องผิดหวัง”

ในที่สุดก็เปิดฉากการประชุมขึ้นโดยมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความปรองดองและสงบสันติ

งานประชุมTCMในครั้งนี้ นำโดยด็อกเตอร์เก่อชุนเทียน เลขาธิการคณะแพทย์แผนจีนแห่งชาติ และคุณถังอวี้ รองเลขาธิการผู้รับหน้าที่ประธานการประชุม และรองประทานการประชุมอย่าง เฉียวจุนเหว่ย

เห็นได้ชัดว่าประเทศจีนแห่งนี้ยังคงให้ความสำคัญต่องานประชุมTCMที่จัดขึ้นประจำปีเป็นอย่างมาก

ไม่เพียงแต่จะเชื้อเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมาจากทั่วทุกมุมโลกเท่านั้น แต่ยังมีกู๋เฉินหลี่ ประธานสมาคมสภาการแพทย์แห่งประเทศจีน และโจวเซียวตง รองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณะสุขแห่งชาติ มาเข้าร่วมรับฟังการประชุมอีกด้วย

กู๋เฉินหลี่เป็นชายวัยกลางคนตัวสูงผอม สวมชุดสูทพร้อมกับเนคไทลวดลายเรียบง่าย ท่าทางเป็นคนเจ้าระเบียบ ใครเห็นเข้าต่างต้องหวาดกลัว

ส่วนโจวเซียวตง สวมชุดคลุมในแบบจีนโบราณสีน้ำเงินกรมท่า ผมสั้น ใบหน้าดูกล้าหาญมั่นใจในตัวเอง คู่คิ้วเข้มดุดันราวกับมังกร ใครได้เห็นต่างก็ต้องยำเกรง

นอกจากกู๋เฉินหลี่และโจวเซียวตงที่นั่งอยู่บนสุดของห้องประชุมแล้ว แถวรองลงมายังมีเป่ยฉวนเทียนและบรรดาอาวุโสคนอื่นๆที่ฉีเล่ยรู้จักนั่งกันอย่างเพรียบพร้อม ในบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนของผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและแขกกิตติมาศักดิ์เท่านั้นจึงสามารถนั่งในบริเวณนี้ได้

หลังจากที่เจ้าภาพงานป่าวประกาศเริ่มต้นงานประชุมเสร็จสิ้น ก็เป็นรองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารสุขกล่าวสุนทรพจน์ประเดิม

คำกล่าวของโจวเซียวตงทั้งสั้นและกระชับ เนื้อหาค่อนข้างโดดเด่นและเป็นที่ประทับใจต่อฉีเล่ยอย่างมาก เขาเป็นผู้นำที่มีความจริงจังต่อหน้าที่เป็นอย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าทำความรู้จักด้วยในอนาคต

ในส่วนคำกล่าวของกู๋เฉินหลี่ค่อนข้างน่าเบื่อ เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหมกมุ่นอยู่กับบทพูดอันสวยหรูที่ตัวเองเตรียมมา โดยไม่สนใจมองผู้ฟังโดยรอบที่อยู่ในห้องประชุมเลยว่า ตอนนี้แต่ละคนปั้นสีหน้าเบื่อหน่ายเพียงใด

หลังจากกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลง หู่ฉิงเฉินก็ลุกขึ้นกล่าวคำอวยพรให้การประชุมในครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี

ลำดับต่อไป จะเป็นบรรดาตัวแทนจะกลุ่มต่างๆได้ลุกขึ้นและกล่าวสุนทพจน์ต่อหน้าที่ประชุม