บทที่ 47.3 เด็กสาวผมขาวผู้ลึกลับ (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ในที่สุดหมิงฮัวก็หยุดพูดคนเดียวเนื่องจากจู่ๆ แสงชั่วร้ายได้ผุดวาบขึ้นมาในดวงตาของเธอ แน่นอนว่านั่นทำให้เธอตกใจมาก หมิงฮัวรีบควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อสะกดกลิ่นอายชั่วร้ายเอาไว้ ไม่นานมันก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง

“ข้าต้องใช้วิธีไหนเพื่อให้เจ้านั่นยอมรับนะ?” หมิงฮัวครุ่นคิดกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ในอีกด้านหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็กำลังครุ่นคิดกับตัวเองขณะที่เขาเดินลงบันได ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยบอกเขาก่อนหน้านี้ว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจ โดยเฉพาะผู้ที่มีสถานะปีศาจกลายร่างมักจะถูกตามล่าโดยวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรใหญ่ๆ ทั่วทั้งทวีป! หากความลับของเขาถูกพบเข้า แม้ว่าจะโชคดีสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ แต่เขาก็คงจะไม่มีที่ให้ไปอยู่ดี อีกทั้งไม่สามารถกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ ชั่วชีวิตที่เหลือก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ

ไม่ แน่นอนว่าไม่ได้เด็ดขาด! แม้ว่าเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก แต่ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาก็ยังคงเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ให้อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์…เพื่อให้พลเมืองของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนภูมิใจที่ได้เป็นพลเมืองของที่นี่!

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก พยายามยืนยันความคิดของตนเองว่านี่คืออันตรายขั้นร้ายแรงและเขาไม่อาจจะใจอ่อนได้ แม้ว่าจะเป็นน้องสาวของหมิงหยู…เขาก็ปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เขาจะต้องรีบฉวยโอกาสก่อนที่เธอจะรู้แน่ชัดว่าเขามีทักษะธาตุปีศาจจริงๆ และนำเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น…เขาต้องทำเพื่อกำจัดภัยคุกคามนี้…ให้หมดสิ้นไป

รังสีสังหารเข้มข้นปรากฏขึ้นอีกครั้งในดวงตาของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าเขาจะไม่อยากสังหารผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงงามอย่างหมิงฮัว แต่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์และชะตากรรมของอาณาจักรของเขาด้วย! เขาให้คำมั่นสัญญากับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว…คืนนี้…ถ้าหมิงฮัวกล้ากลับบ้าน เขาคงต้องจัดการเธอแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบ

“โจวเหว่ยชิง” ในขณะนั้น น้ำเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำก็ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

ขณะที่โจวเหว่ยชิงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ตัว จากนั้นก็พบว่าตัวเองเดินมาถึงชั้นแรกของอาคารเรียนแล้ว ส่วนซ่างหลางก็ยืนอยู่บริเวณทางขึ้นบันไดตรงหน้าเขา

“มาคุยกันเถอะ” สายตาของซ่างหลางอยู่ในระดับต่ำกว่าเขาและดูค่อนข้างมืดมน

“พูดมา” โจวเหว่ยชิงกำลังอารมณ์ไม่ดีเนื่องจากปัญหาของหมิงฮัวและไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆ อีก

ซ่างหลางกล่าวว่า “เจ้าช่างคล้ายกับข้าตอนที่เข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งแรกเสียจริง…แต่ตอนนั้นข้าอ่อนแอกว่าเจ้าในตอนนี้นัก…ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเจ้าในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ แต่เจ้ารู้หรือไม่…ถ้าเลือกได้ ใครจะอยากเป็นสุนัข…เป็นทาสรับใช้? ใครไม่อยากยืดแผ่นหลังอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนมนุษย์คนหนึ่งบ้าง?”

“อย่างไรก็ตาม ในฐานะจ้าวมณี หากเราไม่สามารถหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะได้ พวกเราก็จะถือว่าไร้ประโยชน์ไปตลอดกาล ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จิตใจของพวกเขาไม่มั่นคงพอจะเลือกอิสรภาพ  จะมีสักกี่คนที่ไม่ยอมจำนนต่อตระกูลชั้นสูงหรือวังกักเก็บทักษะเพื่อพิสูจน์ตนเอง? แน่นอนว่าหากเลือกเป็นสุนัข พวกเขาก็ต้องยอมสละอิสรภาพ…และเป้าหมายยิ่งใหญ่ในอนาคตของตนเพื่อเจ้านายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้าจะไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาเลือกและก็ไม่เคยคิดจะเลือกแบบนั้น แต่ข้าก็ไม่มีวันห้ามการตัดสินใจของพวกเขา…เพราะข้าไม่มีทางช่วยพวกเขาได้…”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างเฉยเมย “เจ้ามาบอกข้าเพื่ออะไร?”

ซ่างหลางกล่าวว่า “ข้าไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เจ้ามี! โจวเหว่ยชิง เมื่อเจ้าแสดงความสามารถในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ บางทีเจ้าอาจไม่ได้สังเกตเห็น แต่นักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ มองมาที่เจ้าด้วยสายตาร้อนแรง ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของเหล่านักเรียนรุ่นพี่ที่ไม่ได้เป็นทาสรับใช้ให้กับตระกูลขุนนางหรือวังกักเก็บทักษะ มีพวกเรา

ทั้งหมด 44 คน…หากเจ้าเต็มใจที่จะช่วยเหลือเราเหมือนเพื่อนร่วมห้องของเจ้า…เราทุกคนขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้า”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและมองไปที่ซ่างหลางด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “สาบานว่าจะจงรักภักดี? รุ่นพี่ซ่างหลาง เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ? อะไรจะทำให้ข้าไว้วางใจว่าพวกเจ้าทุกคนจะจงรักภักดีต่อข้าจริงๆ? การที่เจ้าเลือกข้า…เป็นเพราะข้าไม่อาจควบคุมพวกเจ้าได้…เมื่อปราศจากตราประทับธาตุมืด…ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะสามารถทรยศข้าได้ทุกเมื่อที่ต้องการหรอกหรือ? รู้ไหมว่าข้าต้องจ่ายเงินจำนวนเท่าไหร่เพื่อดูแลจ้าวมณีมากกว่า 40 คน? อย่างน้อยก็ 500,000 เหรียญทองถูกไหม?…แม้แต่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์บ้านเกิดของข้าก็ยังไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายขนาดนี้ได้เลย…อีกทั้งเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้สามารถนำไปแลกได้เพียงแค่ ‘คำสัญญา’ ปากเปล่าที่แสดงถึงความจงรักภักดี? เจ้าคิดว่าข้าเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เหรอ?”

ซ่างหลางชะงักเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความโกรธ “โจวเหว่ยชิง เจ้าดูถูกเกียรติของข้า”

โจวเหว่ยชิงแค่นเสียงอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เกียรติงั้นหรือ? แล้วมันคุ้มค่าหรือไม่ล่ะ? ถ้าข้าเต็มใจทำอะไรสักอย่าง…ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ไม่ว่าตัวเองจะมีค่าใช้จ่ายมากเพียงใด ข้าก็จะพยายามทุ่มเททำให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม หากเป็นสิ่งที่ข้าไม่เต็มใจจะทำ…ก็ไม่มีใครบังคับข้าได้ สำหรับข้า การสนับสนุนและดูแลเพื่อนร่วมห้องโดยที่พวกเขาไม่ต้องเสียเงินเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำเพราะไม่อยากเห็นคนที่จะอยู่ด้วยกันไป 4 ปีถูกบังคับให้ยอมจำนนต่อตระกูลชั้นสูงหรือวังกักเก็บทักษะ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้ทำการกุศลและไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบคนอื่น ประโยคง่ายๆ ของเจ้า แค่คำสัญญาปากเปล่า อะไรคือสิ่งที่ข้าจะได้รับตอบแทน? หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า นั่นก็เป็นไปได้เช่นกัน…แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนยอมให้ข้าประทับตรา  กล้าหรือไม่ล่ะ? อย่างไรในกรณีนี้…ก็ไม่แตกต่างจากการยอมจำนนต่อตระกูลขุนนางเท่าไหร่”

ซ่างหลางสูดหายใจเข้าลึก…เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนออกมาจากศีรษะโล่งเตียนของเขา ซ่างหลางกำหมัด   แน่น…จับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงเดินลงบันไดลงมาหาเขาและพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร…พวกเรานักเรียนสามัญชนลงเรือลำเดียวกันและเราจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อให้สามารถรับมือกับนักเรียนชนชั้นสูงได้ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชื่อใจเจ้าทั้งหมด ใช้เงินเป็นล้านๆ เหรียญทองเพียงเพื่อคำสัญญาธรรมดาๆ…นี่เป็นไปไม่ได้เลย เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือรุ่น  พี่? เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว”

หมัดที่กำแน่นของซ่างหลางค่อยๆ ผ่อนคลายลง…สายตาโกรธเกรี้ยวของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสายตาสับสน เขาพยายามหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์

“แล้วเจ้ามีเงื่อนไขอย่างไร?” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “หากอายุมากขึ้น ความคิดของคนก็ย่อมเปลี่ยน…คำสัญญาไม่เคยเชื่อถือได้เท่ากับการผูกมัด พวกเจ้ามี 44 คน และสิ่งที่ข้าต้องการก็คือ…ผู้ติดตาม 44 คนที่ถูกประทับตรา รุ่นพี่ซ่างหลาง ข้าไม่ใช่คนดี แต่แน่นอนว่าข้าปฎิบัติต่อคนของข้าเป็นอย่างดี ข้าอยากจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง…ข้าอายุไม่ถึง 17 ปี แต่ก็เป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางแล้ว ก่อนจะจบการศึกษา ข้าย่อมได้เป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงแน่นอน และภายใน 10 ปี ข้าจะได้เป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์…หรือแม้แต่อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ ในอนาคตข้าไม่รู้ว่าจะสามารถเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้หรือไม่ แต่ข้าก็มีความมั่นใจอย่างน้อย 7 ใน 10 ส่วน”

“อาจจะถูกประทับตราธาตุมืดเหมือนกัน แต่การติดตามอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าใน   อนาคต…ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าถึงผลประโยชน์ที่จะได้ใช่หรือไม่?”

“ช้าก่อน…เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจ…ข้ายังคงต้องเป็นนักเรียนไปอีก 2-3 ปี ถ้าในช่วงที่ข้าจบการศึกษา ข้ายังไม่ได้เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงๆ เจ้าก็สามารถถือว่าเรื่องทั้งหมดที่ข้าพูดนั้นเป็นเรื่องไร้สาระก็ได้”

ซ่างหลางลังเล เหตุผลนั้นง่ายมาก…คำว่า…‘ระดับเทพเจ้า’

ในประวัติศาสตร์ของทวีปนี้ อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าทุกคนมีสถานะสูงส่ง แสดงตนอยู่เหนือโลกใบนี้ในฐานะบุคคลในตำนาน บรรดาผู้ติดตามของพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังเช่นกัน แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากในอนาคตโจวเหว่ยชิงได้กลายเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าจริงๆ แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะก็อาจไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นผู้ติดตามของเขา แม้ตอนนี้ระดับของโจวเหว่ยชิงยังคงอยู่ห่างจากเป้าหมายของเขา แต่ด้วยความสามารถของเขา มันก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ในขณะนี้จ้าวมณีเช่นเขา…แม้แต่จ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุธรรมดาก็ยังมีโอกาสที่จะติดตามโจวเหว่ยชิงได้ แม้มันจะเป็นการเดิมพัน แต่ถ้าในอนาคตโจวเหว่ยชิงได้กลายเป็นอาจารย์ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าจริงๆ ผู้ติดตามที่เลือกเดิมพันกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะกลายเป็นผู้มีพลังอำนาจตามสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาเอง

“โจวเหว่ยชิง หากต้องติดตามเจ้าในฐานะผู้ติดตามส่วนตัว…เจ้าจะต้องประทับตราพวกเราด้วยตัวเอง แม้ว่าทักษะธาตุมิติที่จะมีความสามารถในการปิดผนึกอยู่บ้าง แต่ก็มีน้อยและเทียบไม่ได้กับทักษะธาตุมืด แม้ว่าเราจะเลือกติดตามเจ้า แต่เจ้าจะประทับตราได้อย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นตบไหล่ของซ่างหลาง เขาพูดว่า “ถ้าข้าพูดออกไปแล้ว นั่นหมายความว่าข้าทำได้ เจ้าแค่ต้องกลับไปคิดให้ดี…” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากประตูไป ในเวลาเดียวกันซ่างหลางก็ต้องรู้สึกตกตะลึงในใจ

เหตุผลก็ง่ายๆ ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้! บางอย่างที่แข็งแกร่งกำลังบีบรัดไปทั่วร่างกายของเขา ความรู้สึกมืดมิดและเยือกเย็นทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นจนขนลุกไปทั่ว จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนถูกมัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็นมากกว่าสิบเส้น

ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ซ่างหลางรู้โดยธรรมชาติว่ามันคืออะไร…มัน…มันเป็นหนึ่งในทักษะการควบคุมของธาตุมืดอย่างแน่นอน! ไม่ใช่ว่าโจวเหว่ยชิงผู้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติหรอกหรือ? แล้วทำไมเขาถึงมีทักษะธาตุมืดด้วย??! เป็นไปได้ไหมว่า… มณีธาตุของเขามีหลายธาตุ?!

ในช่วงเวลานั้น สมองของซ่างหลางก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง รอยยิ้มเย้ยหยันของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขาเดินจากไปค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในสมองของซ่างหลาง

โจวเหว่ยชิงกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อรวมตัวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยกัน อย่างไรหลังพิธีเปิดก็สิ้นสุดลงพวกเขาก็ไม่เหลืออะไรให้ทำในโรงเรียนในวันนี้แล้ว ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องพิจารณาวิธีจัดการกับหมิงฮัวไปด้วย

พูดตามตรงว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับซ่างหลางเมื่อสักครู่นั้น เขาเพิ่งจะคิดได้ตอนนั้นนั่นแหละ ตามแผนเดิมของโจวเหว่ยชิง เขาจะชักจูงนักเรียนสามัญชนคนอื่นอย่างช้าๆ และมั่นคง นำพวกเขามาอยู่เคียงข้างตัวเองเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกหมิงฮัวยั่วยุในวันนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนว่าเขาไม่สามารถจะทำตัวชักช้าได้อีกต่อไป

ในพิธีเปิด สิ่งที่เขาทำลงไปอาจดูบ้าคลั่ง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เขากรุ่นคิดและวางแผนมาตลอด การลงมือทำร้ายติงเฉินอย่างหนักหน่วงเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของเขา ใช้มันเป็นเครื่องมือให้ทุกคนหวาดกลัว…ไม่ใช่แค่กับนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเรียนชนชั้นสูงที่คิดจะให้เขา และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยอมจำนนต่อพวกมันด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ยังสามารถบอกคนอื่นโดยอ้อมๆ เกี่ยวกับตัวเขาว่าไม่เพียงแต่มีพลังเท่านั้น เขายังเต็มใจที่จะต่อสู้และไม่แสดงความเมตตาต่อผู้ที่เข้ามาขัดขวางเขา สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจลึกซึ้งให้กับนักเรียนคนอื่นๆ เท่านั้น มันยังลดโอกาสที่พวกเขาจะกล้าเฉียดเข้ามาใกล้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย

หลังจากนั้น เขาก็ใช้ท่าทีอวดดีปลุกระดมให้นักเรียนสามัญชนไม่ยอมตกอยู่ภายใต้ตระกูลขุนนาง ในตอนนั้นทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูดเพราะพลังของเขา สิ่งนี้ยังทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถแสดงพลังของเขาในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้…และนี่ก็เป็นส่วนสำคัญในแผนการณ์ของเขา

…………………………