บทที่ 190 เมื่อนางเป็นคนเจ้าอารมณ์

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยนำนางกำนัลและขันทีของตำหนักซวี่หยางกลับไป นางไม่รู้เลยว่าเสี่ยวฉีสะกดรอยตามนางอยู่ในที่ลับ กระทั่งกลับไปถึงตำหนักซวี่หยาง นางค่อยกลับไปตำหนักฉางเหยี่ยนโดยไม่มีกะจิตกะใจแม้กระทั่งจะเข้าไปกล่าวลาเซียวจิ่น นางให้คนเข้าไปบอกความประโยคหนึ่งก็กลับไปทันที

เมื่อเสี่ยวฉีกลับมานั้นเซียวเยี่ยนยังคงอยู่ในห้องทรงพระอักษร แสงไฟในห้องทรงพระอักษรยังคงส่องสว่างอยู่ สีหน้าเย็นชาของเขาปรากฏให้เห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้า

เสี่ยวฉี “ท่านอ๋อง ยามนี้ดึกมากแล้ว ท่านอ๋องกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“นางกลับไปแล้วใช่หรือไม่?” เซียวเยี่ยนถามเนิบๆ

“กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าเห็นกับตาว่านางเข้าประตูใหญ่ของตำหนักฉางเหยี่ยน?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ปลายนิ้วเรียวยาวของเซียวเยี่ยนยังมีกลิ่นของน้ำหมึกติดอยู่จางๆ พู่กันแขวนไว้บนแท่นวางพู่กัน หมึกหยดหนึ่งกำลังหยดลงบนแท่นฝนหมึก หยดหมึกนั้นกระจายออกไปรอบทิศราวกับใช้หยดน้ำในการนับเวลา

เซียวเยี่ยนลุกขึ้นสะบัดอาภรณ์ ขันทีนำน้ำเข้ามาให้เขาล้างมือแล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม เสี่ยวฉีคิดว่าเขากำลังจะออกจากห้องทรงพระอักษร แต่เขากลับหันหน้าเดินไปตรงกล่องอาหารที่หลินชิงเวยวางเอาไว้ เปิดออกดูแล้วเป็นน้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูถ้วยหนึ่งแล้วยังมีของว่างฝีมือประณีตอีกสองอย่าง

เซียวเยี่ยนหยิบสิ่งของออกมา ใช้ช้อนตักน้ำแกงเข้าปากคำหนึ่ง เขากินอย่างเงียบๆ เสี่ยวฉียืนตะลึงอยู่ด้านข้าง เซียวเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง “เปิ่นหวางหิวแล้ว มีปัญหาอะไรหรือไม่”

“…ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวฉีหันไปมองกล่องอาหารที่ไทเฮานำมาแล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นท่านจะเสวยสิ่งของที่ไทเฮาส่งมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเยี่ยนย้อนถาม “เจ้ากินหรือไม่?”

เสี่ยวฉีตอบ “กระหม่อมไม่กินพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็นำไปทิ้งเสียเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเยี่ยนกินอาหารว่างมื้อดึกแล้วจึงออกจากห้องทรงพระอักษร เขากลับไปยังตำหนักซวี่หยางแล้วเข้าไปในห้องบรรทมของเซียวจิ่นเพื่อเยี่ยมเยียน เห็นเขานอนหลับอย่างสงบจึงกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักอวี้หลิงของตน

หลินชิงเวยอยู่ในห้องของตน หลังจากอาบน้ำแล้วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นเสื้อนอนไหมเนื้อบางนอนอยู่บนเตียงพลิกไปพลิกมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ ทันทีที่นางหลับตาลงภาพที่เซียวเยี่ยนเอามือแตะปลายคางแล้วมองนางก็ปรากฏขึ้นในหัวสมองของนาง ทำอย่างไรก็ไม่หายไป

เมื่อย้อนคิดถึงปฏิกิริยาของตนตลอดทั้งค่ำคืนนี้ สั่งสอนสุนัขรับใช้ของไทเฮา เมื่อนางเห็นไทเฮาและเซียวเยี่ยนปิดประตูอยู่ในห้อง เมื่อไทเฮาพูดจากับนางกระทั่งเซียวเยี่ยนพูดจาเข้าข้างไทเฮา โทสะของนางก็เดือดพล่านขึ้นมาอีก ข่มกลั้นอย่างไรก็ข่มกลั้นไม่ได้

มิน่าเล่า เซียวเยี่ยนจึงมองนางด้วยสายตาเช่นนั้น

ยามนั้นเขาจะต้องคิดว่านางเป็นสตรีเสียสติคนหนึ่ง ไม่แยกแยะผิดถูกดำขาวก็แว้งกัดทุกคน

หลินชิงเวยดีชั่วอย่างไรก็มีชีวิตอยู่มาหลายปีเช่นนี้ นางควบคุมตนเองได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรู้สึก นางไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน มาบัดนี้เป็นอะไรไปเล่า?

หลินชิงเวยนอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมา ชิงชังตนเองยิ่งนักที่ไม่อาจโขกหัวกับเสาเพราะปวดใจกับศีรษะของตน ได้แต่ซุกศีรษะเข้าไปใต้หมอนแล้วพูดงึมงำกับตนเอง “ชิงเวย ชิงเวยเอ๋ย เจ้าถึงกับพาลพาโลกินน้ำส้ม[1]เพราะสตรีสูงวัยคนหนึ่ง เจ้ายังทำเรื่องน่าขายหน้าได้มากกว่านี้หรือไม่ ทำได้อีกหรือไม่? ไทเฮาสตรีสูงวัยผู้นั้นอายุมากกว่าเจ้าตั้งกี่ปี ทั้งแก่ทั้งขี้ริ้ว เจ้าไปแย่งชิงกับนาง ไม่กลัวว่าตนเองจะราคาตกรึ! ให้ตายสิ จะนอนหลับได้หรือไม่!”

หลินชิงเวยนอนพลิกไปพลิกมากระทั่งฟ้าสาง จึงหลับไปอย่างสะลึมสะลือ

เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันที่อารมณ์ของหลินชิงเวยไม่แจ่มใสนัก อารมณ์ไม่ดี กินอาหารไม่ค่อยได้ วันทั้งวันคิดแต่เรื่องมุกตลก ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่เกิดความสนใจ ยามนี้นางไม่อยากไปตำหนักซวี่หยางแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากพบหน้าเซียวเยี่ยนแม้แต่น้อย แต่หากนางไปตำหนักซวี่หยางย่อมมีความเป็นไปได้ว่าจะได้พบกับเซียวเยี่ยน แม้ความเป็นไปได้จะน้อยยิ่งนัก แต่นางไม่อยากให้ความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดนี้เกิดขึ้น

เซียวจิ่นได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องทรงพระอักษรในค่ำคืนนั้นแล้ว แต่ไม่ได้ฝืนใจให้หลินชิงเวยไปที่นั่นทุกวัน จึงมีราชโองการออกมาให้นางพักผ่อนอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยน หากเซียวจิ่นมีความจำเป็นต้องพบนางแล้วจึงจะเรียกตัวนางอีกครั้ง

หลินชิงเวยมีเวลาที่จะอยู่อย่างสงบในที่สุด นางจะได้ไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ให้ถ่องแท้ แต่นางพบว่าเรื่องบางเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายราวกับเมล็ดงาอย่างไรอย่างนั้น ตัดไม่ขาดแล้วยังจิตใจว้าวุ่น ความรู้สึกบางอย่างมิใช่ว่าเมื่อมีการควบคุมตนเองแล้วจะควบคุมเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความในใจบางประการมิใช่ว่าหากไม่ไปคิดถึงมันแล้วก็จะไม่คิดได้จริงๆ

ก่อนหน้านี้นางควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตนได้ดียิ่ง ด้วยนางไม่เคยบังเกิดความรู้สึกทุ่มเทจิตใจต่อผู้ใดมาก่อน เรื่องเช่นนี้จึงไม่เคยเกิดขึ้น ทว่ายามนี้ความไม่ได้ดั่งใจ ไม่สบอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ความรู้สึกถือสาเอาความ เป็นเพราะความกลัวที่จะต้องสูญเสียไป นางหวาดกลัวการสูญเสีย เพราะนางเกิดความรักขึ้นจริงๆ เสียแล้ว

คนเราเมื่อมีความรักแล้วย่อมปกป้องหวงแหนสิ่งที่ตนเองมีอยู่ด้วยสัญชาตญาณ ด้วยเหตุผลนี้ก่อนหน้าที่จะได้รับอนุญาตจากนาง นางจึงมิอาจยินยอมให้ผู้อื่นมารุกล้ำพื้นที่ซึ่งเป็นอธิปไตยของนาง คนผู้นั้นจะกลายเป็นเช่นศัตรูของนาง ไม่ว่าพบใครก็พร้อมจะแตกหักกับคนผู้นั้น

เซียวเยี่ยนก็คือพื้นที่ในอธิปไตยของหลินชิงเวย

สตรีทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ สตรีที่รุกล้ำดินแดนในอธิปไตยของนางล้วนเป็นผู้บุกรุก

คงจะประมาณว่าความรักของมนุษย์เรานั้นก็คือเจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา[2]กระมัง

พื้นที่ในอธิปไตยของเขาอยู่ที่ไหนเล่า เป็นนางหรือไม่ เขาและหลินชิงเวยนั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน คือเป็นคนที่มีความสามารถในการควบคุมตนเองอย่างแข็งกล้า หลินชิงเวยเคยเห็นเขาสูญเสียการควบคุมตนเองเพราะตนเองแล้วหรือไม่

หากเป็นความคิดของตนเพียงข้างเดียวก็ควรจะตัดไฟแต่ต้นลมให้เร็วจะเป็นการดีที่สุด เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเกินไป หลินชิงเวยไม่คิดว่าความรักที่แท้จริงคือการไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน ในเมื่อรักคนคนหนึ่ง ย่อมต้องปรารถนาให้อีกฝ่ายรักตนเองเช่นเดียวกัน ความรักเช่นนั้นจึงจะมั่นคงยืนยาว

หลินชิงเวยเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้พลางครุ่นคิด นางพลันเริ่มคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก จึงร้องงึมงำ คิดเองคนเดียวเงียบๆ จะคิดอะไรออกมาได้ ล้วนใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น การอยู่คนเดียวจึงจะทำให้เกิดการคิดเลอะเทอะเลอะเลือนมากกว่ากระมัง!

ดูสิ นางคิดไปถึงไหนแล้ว! ความรู้สึกเอย ความรักเอย ทำให้คนหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว! นางรู้เพียงแค่ว่าในเมื่อตนเองชอบบุรุษคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ง่ายดาย หากไม่ลงมือจัดการให้ได้มาย่อมไม่ใช่นิสัยของหลินชิงเวยเสียแล้ว! ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะชมชอบนางหรือไม่ หรือเมื่อได้มาอยู่ในมือแล้วพบว่าเขาไม่ได้ชมชอบนาง ค่อยทิ้งไปก็พอแล้ว! จะคิดให้มากมายไปทำไม!

ความเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจทั้งหลายเพียงพอแล้ว

เมื่อหลินชิงเวยไปเยือนตำหนักซวี่หยางอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอีกหลายวันให้หลังแล้ว

ก่อนหน้านั้น แม้ซินหรูจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแต่นางกลับรู้ว่าหลินชิงเวยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางจึงไม่ไปรบกวนหลินชิงเวย มีอยู่วันหนึ่งหลินชิงเวยเกิดครึ้มอกครึ้มใจเมื่อเห็นหนังสือแพทย์ในมือที่ซินหรูอ่านเป็นประจำ นางจึงทำการทดสอบซินหรูแล้วพบว่าเนื้อหาโดยส่วนใหญ่ซินหรูล้วนจำไม่ได้

หลินชิงเวยหน้าตึงเตรียมจะลงโทษนาง นางทำหน้าขมขื่นพูดว่า “เมื่อก่อนข้าจำได้ทั้งหมด แต่ยามนี้ข้าอ่านครึ่งหน้าก็ลืมครึ่งหลังไปเสียแล้ว ความจำของข้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไร?” นางกอดหลินชิงเวยทั้งน้ำตาไหลพราก “พี่สาว ท่านให้ข้ากินยาเพิ่มความทรงจำเถิด…”

ได้ นางมิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ยามนี้จะหักใจลงโทษซินหรูได้อย่างไร

หลินชิงเวยพูดอย่างอ่อนแรง “พยายามกินเหอเถา[3]เพื่อบำรุงสมอง จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”

[1] หมายถึง อาการหึงหวง ขี้หึง กินน้ำส้มสายชู

[2] คืออารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป (ความรู้สึก 7 อย่าง คือ ความสุข ความโกรธ ความกังวล ความคิด ความเศร้า ความกลัวและความตกใจ ส่วนความปรารถนาและความอยากของมนุษย์ทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ)

[3] ผลวอลนัท