ภาค 1 บทที่ 113 ‘กระบี่มายา’ จ้าวอวี่

จอมศาสตราพลิกดารา

ฉินเจินเอ่ยขึ้นว่า “ขุนพลถังคือวีรบุรุษ ถูกปรักปรำจนตัวตายเพราะพวกข้าสองพี่น้อง นี่คือบุญคุณอันยิ่งใหญ่ วันนี้ภรรยาและลูกของเขาตกที่นั่งลำบาก ข้าจะดูดายไม่สนใจ มองพวกนางถูกส่งไปหน่วยเลี้ยงรับรอง และตกอับอยู่ในสถานเริงรมย์ตาปริบๆ ได้อย่างไร”

หวางเฉินรีบกล่าว “การตายของขุนพลถังชวนให้คนโกรธแค้นจริงๆ ภรรยาและลูกของเขายิ่งต้องช่วยเหลือ แต่องค์หญิงอย่าได้เสด็จไปโดยพระองค์เองเด็ดขาด หรือฝ่าบาทไม่เคยคิดมาก่อนว่าจักรวรรดิกว้างใหญ่ มีเมืองหลายสิบเมือง ทำไมภรรยาและลูกของขุนพลถังถึงได้ถูกส่งมาหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน? มีเพียงแค่เหตุผลเดียว นั่นคือองค์หญิงมาเมืองฉางอันอย่างไรล่ะ ท่านผู้นั้นคิดอยากดึงองค์หญิงเข้ามาพัวพันด้วย เกรงว่าคงจะวางกับดักต่างๆ เอาไว้แล้ว รอแค่องค์หญิงบุกเข้าไป เรื่องล่าสัตว์ฤดูวสันต์เพิ่งจะจบสิ้นลง ระลอกคลื่นที่เหลือยังไม่จางหายไป ฝ่าบาทยังทรงกริ้วอยู่ หากองค์หญิงเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ เกรงว่า…ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนไม่กล้าคาดคิด”

ฉินเจินถอนหายใจ “ทำไมข้าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้”

“เช่นนั้นทำไม…”

“อาจารย์หวาง ท่านคิดว่าข้ายังมีทางเลือกอื่นหรือไม่?”

“นี่…”

น้ำเสียงของหวางเฉินชะงักไป

แน่นอนว่าเขาก็รู้ นับหลังจากเรื่องล่าสัตว์ฤดูวสันต์ ยอดฝีมือที่วันนี้ยังคงติดตามข้างกายองค์หญิงน้อยนิดยิ่งนัก แทบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีคนใช้การได้ ภรรยาม่ายและลูกของแม่ทัพถัง วันนี้คือนักโทษของจักรวรรดิ จะช่วยคนมันง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหน ต่อให้แผนวางไว้ละเอียดรัดกุมเพียงใด ถึงตอนนั้นต้องมีการต่อสู้ครั้งใหญ่อย่างแน่นอน หากไม่มียอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นปรมาจารย์ขึ้นไปคอยดูแล โอกาสที่แผนจะสำเร็จริบหรี่นัก

“หากไม่ได้จริงๆ ข้ายินดีไปเมืองฉางอันเพื่อองค์หญิง” หวางเฉินกัดฟันพูด

ฉินเจินมองเขาแวบหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบ “มีแค่เจ้าคนเดียว ไม่ไหว”

“เรื่องนี้…ข้าลองไปหาสหายเก่าในยุทธจักรบางคนได้ พวกเขา…” หวางเฉินเสนอ

ฉินเจินหัวเราะ

ในรอยยิ้มราบเรียบมีความสุขุมอย่างที่มองโลกขาด

น้ำเสียงของนางเยาะเย้ยตัวเองรางๆ ถามขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์หวางคือผู้มีปัญญา ไยจึงต้องโกหกตัวเองด้วย ใจท่านน่าจะรู้ดี เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก มีเพียงคนที่ควรค่าให้เชื่อมั่นที่สุดถึงจะฝากฝังได้ แต่เรื่องใดๆ ก็ตามแต่ เมื่อไปอยู่ในยุทธจักรจะมีความลับอะไรที่ไหน ท่านรับประกันได้หรือไม่ว่าสหายเก่าเหล่านั้นยังพึ่งได้อยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างทุกวันนี้? ต่อให้พึ่งได้ ท่านทำใจให้สหายเก่าทั้งหลายที่เหลืออยู่ทิ้งชีวิตสุขสงบทุกวันนี้ แล้วเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องที่ไม่อาจย้อนคืนมาได้หรือ?”

หวางเฉินถอนหายใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

“แต่องค์หญิงเสด็จด้วยองค์เองจะเข้ามาพัวพันมากเกินไป…อืม หรือพวกเราจะยืมกำลังของหลี่มู่?” เขาลองเสนอแนะดู “หากหลี่มู่ยินดีลงมือช่วยพวกเรา ด้วยพลังที่น่ากลัวของเขา ความเป็นไปได้ที่แผนการสำเร็จจะมากขึ้น…”

พูดแล้ว ดวงตาของหวางเฉินก็ยิ่งเปล่งประกาย

หากพูดว่าตอนแรกเขาแค่คิดจะลองโน้มน้าวฉินเจินไม่ให้ไปด้วยตัวเอง เช่นนั้นเขาพลันรู้สึกว่าข้อเสนอแนะนี้ของตนมีความเป็นไปได้สูงมาก

ทว่าฉินเจินปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเฉียบขาด

“อุดมการณ์ต่างกัน ไม่ร่วมทางกัน” องค์หญิงกล่าวอย่างเด็ดขาด

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ว่าอะไรทั้งนั้น…ขุนนางเมืองคนนี้ต่อให้มีความสามารถยิ่งใหญ่เกรียงไกร ข้าก็ไม่ยินดีที่จะร่วมกลุ่มกับเขา เรื่องนี้ทำตามที่ข้าบอกแล้วกัน รบกวนอาจารย์หวางจัดเตรียมด้วย เจ็ดวันหลังจากนี้ พวกเราแอบปลอมตัวไปเมืองฉางอัน ความปลอดภัยของเจิ้งเอ๋อร์มอบให้พี่น้องหลิวเฮ่าหลิวเหิงรับผิดชอบชั่วคราวเถอะ”

“น้อมรับคำสั่ง”

หวางเฉินถอนใจอยู่ข้างใน

ปมในใจขององค์หญิงปมนี้ เมื่อใดจึงจะคลายออกได้

เวลาไม่รอข้าแล้ว

เสียแรงช่วยสำคัญเช่นหลี่มู่ไป จะต้องเป็นการสูญเสียที่เสียใจก็สายไปแล้วแน่

……

ส่วนลึกในเขาขาวพิสุทธิ์

ทิวเขาสลับวกวนราวมังกรเลื้อยคดเคี้ยว

ป่าไม้ในเขาแน่นขนัดเป็นระลอกคลื่นเขียวดุจทะเล ทิวทัศน์ตระการตา สภาพแวดล้อมธรรมชาติเก่าแก่ดั้งเดิมมาก เงียบสงบงดงามเป็นที่สุด

ยอดเขาขาวพิสุทธิ์คือยอดเขาหลักของทิวเขาขาวพิสุทธิ์ เขาสูงสี่พันหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดจั้ง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตพื้นที่เมืองฉางอัน

หิมะที่ทับถมตลอดทั้งปีบนยอดเขาปกคลุมมาเนิ่นนาน ราวผู้ชราผมขาวทรงปัญญาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายก้มลงมองภูเขาป่าไม้รอบๆ อย่างเงียบงัน ส่วนบริเวณแนวสันเขาและเชิงเขากลับเขียวขจีราวมหาสมุทร ยามลมพัดดั่งคลื่น เหมือนกับกระโปรงของสตรีแรกรุ่นที่สดใสเบิกบาน เต็มไปด้วยพลังชีวิต

ทางเข้าสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่ ณ จุดสูงสองในสามของยอดเขาขาวพิสุทธิ์

สิ่งก่อสร้างงดงามแปลกตาแบบโบราณ สร้างจากอิฐกระเบื้องและไม้ ไล่ระดับสูงต่ำสลับกันไปตามภูเขา ราวกับที่พักอาศัยของเซียน ระฆังบอกเวลายามเช้า เสียงกลองบอกเวลายามค่ำ หมู่เมฆขาวลอยวน ราวดินแดนในอุดมคติก็ไม่ปาน

พื้นที่ด้านนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อยู่ที่เชิงเขา

ทุกวันลูกศิษย์หนุ่มสาวหลายร้อยคนจะฝึกฝนวิชากระบี่ ฝึกกำลังภายในที่ลานใหญ่ด้านนอกทั้งสาม

ทุกวันเมื่อตะวันลอยโด่ง ศิษย์ทุกคนตวัดกระบี่ฝึกฝน ประกายกระบี่ส่องสะท้อน ปราณกระบี่ถาโถมทั่ว คึกครื้นกันยิ่งนัก

“ผู้อาวุโส เหตุใดท่านรักษาความลับเรื่องการตายของผู้ตรวจสวีแทนหลี่มู่?” ลูกศิษย์หนุ่มสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์จางเจามาที่ ‘หอสงบจิต’ ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “พวกเราสามารถใช้เรื่องนี้ข่มขู่หลี่มู่ ให้เขาปล่อยศิษย์พี่หญิงจ้าวได้”

เวลาห่างจากพวกโจวเจิ้นกลับมายังสำนักกระบี่หลายวันแล้ว

เรื่องที่ขุนนางเมืองเล็กๆ จำใจรับดอกไม้แห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ให้เป็นหญิงรับใช้ยังไม่แพร่งพรายออกไป

สาเหตุหลักๆ เพราะศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายที่รู้เรื่องนี้เป็นห่วงว่าหากเล่าลือออกไปจะกระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติของจ้าวหลิง

แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็หวังว่าคนระดับสูงสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์จะลงมือ ช่วยดอกไม้แห่งสำนักกระบี่ออกมาจากเงื้อมมือของราชาปีศาจโดยเร็วที่สุด

สามวันก่อนหน้านี้ก็ได้ยินว่าผู้อาวุโสโจวไปยังสำนักด้านใน เพื่อรายงานการเดินทางไปอำเภอขาวพิสุทธิ์กับเจ้าสำนักด้วยตัวเอง ทว่าความโกรธเคืองจากสำนักที่จินตนาการไว้กลับไม่เกิดขึ้น การเคลื่อนไหวอีกขั้นหนึ่งจากเบื้องบนของสำนักที่หวังไว้ก็ไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

สถานการณ์ประหลาดเหลือเกิน เหมือนผู้นำระดับสูงทอดทิ้งจ้าวหลิงแล้ว

นี่ทำให้ลูกศิษย์หนุ่มสาวหลายคนที่เฝ้ารอล้วนรู้สึกผิดคาด ตกใจ และผิดหวัง

จางเจาก็เป็นหนึ่งในนั้น

ในหลายวันมานี้ เพราะท่าทีบางอย่างของเขาระหว่างเดินทางไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ โจวเจิ้นชิวชมชอบนัก จึงรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์สืบทอดวิชาประจำตัว เมื่อได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสสายนอกคนนี้ เขาจึงกลายเป็นหนึ่งในศิษย์ผู้โชคดีจำนวนน้อย

ดังนั้น เขาถึงกล้ามาถามหาเหตุผล

“สำนักย่อมมีเหตุผลพิเศษ การตายของผู้ตรวจสวีต้องมีคนของสำนักตรวจการไปตรวจสอบอยู่แล้ว ไม่ต้องให้พวกเจ้าไปยุ่ง และก็ไม่ต้องให้พวกเจ้าส่งข่าว”

โจวเจิ้นชิวนั่งขัดสมาธิอยู่กลางหอสงบจิต หลับตาโคจรพลัง บำรุงรักษาจิตใจ

ผมขาวโพลน บุคลิกสง่าดุจเซียน

“อีกอย่าง เรื่องของจ้าวหลิง คนของสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายมีข้อสรุปมาแล้ว พวกเจ้าห้ามพูดถึงในสำนักอีก หากมีใครถามก็ให้บอกว่ารับคำสั่งลงเขาไปฝึกฝน ระยะเวลาครบหนึ่งปีจึงจะกลับมา”

เขาพูดกำชับ

จางเจาได้ยินก็ตกตะลึง

ระยะเวลาครบหนึ่งปีจึงจะกลับมา?

นี่ไม่ได้บอกเป็นนัยว่าคนระดับสูงของสำนักยอมให้ศิษย์พี่หญิงจ้าวอยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ครบหนึ่งปีหรอกหรือ?

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?

ในใจของจางเจาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

แต่โจวเจิ้นชิวไม่ยอมพูดอะไรมากอีก สุดท้ายเขาจึงทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างจนปัญญาแล้วจากไป

ด้านนอกหอ

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ผู้อาวุโสโจวว่าอย่างไร?”

เหล่าศิษย์อายุน้อยหลายสิบคนที่ไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วยกันมาแอบรออยู่นอกหออย่างร้อนรนนานแล้ว พอเห็นจางเจาเดินออกมา ก็ล้อมเอาไว้ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวังทันที

จางเจาส่ายหน้า บอกคำพูดของโจวเจิ้นชิวไป

พวกลูกศิษย์อึ้งตะลึง

นี่หมายความว่าอย่างไร?

หรือจะทอดทิ้งศิษย์พี่หญิงจ้าวแล้ว?

เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่จ้าวหลิงมีไม่ใช่แค่เพียงรูปโฉม แต่ยังมีวิทยายุทธ์กระบี่ที่โดดเด่น มีพรสวรรค์ด้านหมอยา เป็นหนึ่งในบุคคลอัจฉริยะของศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์รุ่นนี้ ผู้อาวุโสรุ่นแก่กว่าในสำนักหลายคนต่างตั้งความหวังเอาไว้ สำนักพวกเขาไม่มีทางทอดทิ้งศิษย์ที่ควรค่าแก่การคาดหวังเพราะแค่ขุนนางเมืองคนหนึ่งหรอก

ตกลงแล้วเพราะอะไรกัน?

เหล่านักกระบี่รุ่นเยาว์คิดไม่ตก

“หากไม่ได้จริงๆ ก็ทำได้แค่ไปหาศิษย์พี่จ้าวอวี่แล้ว ในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ประจำตัวของเจ้าสำนัก น้องสาวแท้ๆถูกบังคับไปเป็นทาส จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เขาคงไม่มีทางนิ่งเฉยจริงๆ กระมัง?” มีคนเอ่ยเสนอ

“แต่ว่า หากบอกเรื่องนี้กับศิษย์พี่จ้าวอวี่ก็เท่ากับแพร่งพรายข่าว? สำนักจะลงโทษพวกเราเอา”

“กลัวอะไร? ศิษย์พี่หญิงจ้าวหลิงช่วยพวกเราถึงได้ถูกปีศาจชั่วกักตัวไว้ ตอนนี้นางอยู่ในที่อันตราย พวกเราจะนั่งนิ่งดูดายได้อย่างไร ต่อให้สำนักลงโทษข้าก็ยอม”

“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่ตอบแทนบุญคุณไม่ได้”

“ดี พวกเราไปด้วยกัน ต่อให้สำนักลงโทษก็แบกรับด้วยกัน”

กลุ่มลูกศิษย์หนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม เดินไปตามทางอย่างคุกรุ่น มุ่งหน้าไปทางประตูเขตใน

จ้าวอวี่ที่พวกเขาพูดถึงคือพี่ชายแท้ๆ ของจ้าวหลิง สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ที่แข็งแกร่งและโดดเด่นยิ่งกว่าจ้าวหลิง เจ้าสำนักรุ่นนี้รับไว้เป็นลูกศิษย์ประจำตัว และเป็นศิษย์คนสุดท้ายที่เจ้าสำนักรับไว้

จ้าวอวี่คือหนึ่งในจอมยุทธ์กระบี่ที่เก่งกาจไร้เทียมทานรุ่นหนุ่มสาวของสำนัก คนในสำนักทั้งบนและล่างต่างยอมรับ ต่อให้เป็นทั่วทั้งจักรวรรดิฉินตะวันตก จอมยุทธ์กระบี่หนุ่มผู้นี้ก็มีชื่อนัก เคยมีผู้ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านทำรายชื่ออัจฉริยะรุ่นหนุ่มสาวของฉินตะวันตกในช่วงสิบสี่ปีนี้ขึ้นมา รายชื่อของ ‘กระบี่มายา’ จ้าวหลิงติดอยู่ในยี่สิบอันดับแรก จะเห็นได้ถึงความเป็นเลิศของเขา

ในความเห็นของศิษย์อายุน้อยวู่วาม อัจฉริยะเก่งกาจเช่นนี้น่าจะช่วยจ้าวหลิงออกมาจากรังปีศาจนั่นได้กระมัง

มองเห็นเหล่าลูกศิษย์จากไปไกล โจวเจิ้นชิวที่ไม่รู้ว่าออกจากหอสงบจิตมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังยืนตัวตรงมือไพล่หลัง บนใบหน้าที่เรียบนิ่งมาตลอดฉายรอยยิ้มบางๆ

เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลูกศิษย์อายุน้อยกลุ่มนี้ยุยงให้จางเจามาถาม

ถึงแม้การตัดสินในท้ายที่สุดของคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จะขัดต่อคำสั่งของเขา แต่เขาก็ไม่โกรธสักเท่าไหร่

เพราะเขามองเห็นความสามัคคี ความกระตือรือร้น ความรับผิดชอบ และหน้าที่ในตัวเด็กพวกนี้ เรื่องปกปิดข่าวที่ว่า…คนมากมายขนาดนั้นไม่มีทางปิดได้มิดอยู่แล้ว และเขาก็ไม่คิดจะปกปิดทุกอย่างจริงตั้งแต่แรก เพียงแต่พยายามยืดออกไปเท่านั้น นี่เป็นการช่วยเหลือขุนนางเมืองน้อยคนนั้นอย่างมากแล้วกระมัง

ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ต้องให้ขุนนางเมืองน้อยรับมือด้วยตัวเองแล้ว

……………………………………………………