ณ วันที่สิบห้าค่ำเดือนสอง หลังจากหิมะตกไปหลายรอบแล้วท้องฟ้าในเมืองหลวงก็กลับมาปลอดโปร่ง ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือน

รถม้าของแม่นางเฉินสิบแปดเพิ่งจะหยุดอยู่ที่ประตูสอง แม่นมสองคนก็รีบวิ่งเข้ามา

“แม่นางสิบแปดเร็วหน่อยเจ้าค่ะ ฮูหยินกำลังจะเข้าวังและอยากให้ท่านไปด้วย” พวกนางเอ่ย

เข้าวังหรือ

หลังจากปีใหม่ ฮูหยินเฉินได้รับบรรดาศักดิ์เป็นกว๋อฮูหยิน แม้ว่าลำดับขั้นและสถานะจะมิได้ต่ำต้อย แต่นางก็มิใช่เชื้อพระวงศ์ ดังนั้นนอกจากการสักการบูชาในวันสำคัญแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าวังหลวงได้ตามอำเภอใจ

“จะเข้าวังได้อย่างไร” แม่นางเฉินสิบแปดประหลาดใจ แต่กลับรีบเร่งลงรถมาโดยดี

สีหน้าของแม่นมทั้งสองดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็มิกล้าพูดอะไรมากกว่านี้

ขณะเดียวกันฮูหยินเฉินเดินทางออกจากเรือนมาแล้ว นางเปลี่ยนเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์เก้ามิ่ง แม่นางเฉินสิบแปดรีบมาต้อนรับ

พี่สะใภ้ตั้งครรภ์จึงต้องอยู่ดูแลลูกในครรภ์ให้ดี สมัยนี้ครรภ์นั้นดูแลยากนัก ห้าในสิบคนถึงจะคลอดบุตรได้อย่างราบรื่น ส่วนสองในห้านั้นก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดังนั้นตระกูลเราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การออกไปพบแขกข้างนอก จึงตกเป็นหน้าที่ของบุตรสาวทั้งหลายไปก่อน

ฮูหยินเฉินมองสำรวจไปที่บุตรสาว แล้วพยักหน้าหลังจากเห็นว่านางสวมใส่เสื้อคลุมแขนยาวชุดเดียวกับวันตรุษจีนซึ่งสั่งตัดตามเฉิงเจียวเหนียงชุดนั้น

“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว” นางเอ่ย

แม่นางเฉินสิบแปดรับคำและเดินตามท่านแม่ขึ้นรถออกไป

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามหลังจากขึ้นรถ

ฮูหยินเฉินยิ้ม

“พระสนมเอกเสียนเฟยทรงตั้งครรภ์” นางกระซิบ

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางสนมในวังจะตั้งครรภ์ แต่ก็เป็นเรื่องมงคล เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าการให้กำเนิดรัชทายาทของฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องยากลำบากนัก เพราะตอนนี้ผู้คนในราชสำนักต่างพากันตื่นตระหนกเมื่อทราบอาการป่วยมาแล้วพักหนึ่ง ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีที่ได้ทราบข่าวว่านางสนมทรงตั้งครรภ์

ซึ่งถือเป็นเรื่องอันน่ายินดีเสียจริงๆ

“หากเป็นเช่นนั้น จะรับสั่งให้ฮูหยินทั้งหลายแสดงความยินดีด้วยหรือไม่เจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดถามอย่างสับสน

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะนี่มิใช่การให้กำเนิดโอรสจากฮ่องเฮา

รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินเฉินแปลกประหลาดพอๆ กับแม่นมทั้งสองนั่น

“พระสนมเอกเสียนเฟยกินอาหารไม่ลง และจู่ๆ นางก็อยากกินนกขมิ้น โรงครัวหลวงจัดเตรียมไว้ให้แล้ว แต่นางกลับไม่ถูกใจ ไทเฮาจึงทรงรับสั่งให้ข้าพาคนครัวเข้าวังเพื่อทำอาหารด้วยตัวเอง” นางเอ่ย

ในตอนนั้นสีหน้าของแม่นางเฉินสิบแปดก็ดูแปลกไปเช่นกัน นางอยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่กล้า

“พระสนมเอกเสียนเฟยเป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้มากเสียจริงๆ เลยนะเจ้าคะ” นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เรื่องแบบนี้ต้องได้รับพระราชานุญาตจากฮ่องเต้ก่อนอยู่แล้ว แต่ในฐานะโอรสแห่งสวรรค์จึงมิสามารถรับสั่งกับทางขุนนางให้ส่งคนครัวมาทำอาหารเป็นการส่วนตัวได้ มิฉะนั้นอาจจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรวจการได้

 “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วเช่นนี้” ฮูหยินเฉินถามสิ่งที่ผุดขึ้นในใจ

หลังจากแม่นางเฉินสิบแปดกลับมาวันนั้นได้บอกกับท่านพ่อและท่านแม่ว่าจะอ่านหนังสือกับแม่นางเฉิง

เฉิงเจียวเหนียงชอบให้คนอ่านหนังสือให้ฟัง เฉินเส้าสองสามีภรรยาต่างรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าแม่นางเฉินสิบแปดจะไปอยู่เป็นเพื่อน และถือโอกาสอ่านหนังสือให้เฉิงเจียวเหนียงฟัง

ทั้งคู่ย่อมตกลงเป็นธรรมดา

“นางเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่เด็ก คงจะเป็นเพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดสนมในเมืองหลวง และเป็นเรื่องยากที่นางอยากจะใกล้ชิดกับเจ้า เจ้าก็ไปเถอะ” ฮูหยินเฉินกำชับ

แม่นางเฉินสิบแปดมิได้อธิบายถึงความเข้าใจผิดของท่านพ่อและท่านแม่ แต่กลับตอบรับคำอย่างคลุมเครือ

“แม่นางเฉิงฝากบอกไว้ว่านางจะออกไปข้างนอกวันนี้ พรุ่งนี้ค่อยให้ข้ามาใหม่เจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย

“นางจะไปที่ไหนได้” ฮูหยินเฉินถามอย่างสงสัย

แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหัว ฮูหยินเฉินจึงหยุดถาม รถม้าแล่นข้าไปยังวังหลวงแล้ว

เนื่องด้วยต้องดูแลครรภ์เป็นพิเศษ พระชายาเสียนเฟยจึงถูกย้ายไปพำนักอยู่ที่ตำหนักของไทเฮา เมื่อได้ยินคำรายงานไทเฮาลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งของตน ชายหนุ่มที่นั่งหมอบอยู่ก็ลุกขึ้นยืนก่อน

“เหว่ยหลาง เจ้ากลับไปก่อน” ไทเฮาเรียกชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มคำนับ

“อีกเรื่อง อย่าได้พูดเรื่องจะออกจากวังอีก” ไทเฮาตรัส “เจ้ากำลังไว้ทุกข์ให้กับเสด็จพ่อเจ้าอยู่

และเสด็จพ่อของเจ้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์ จะหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์ประเพณีเช่นนั้นได้อย่างไรกัน พำนักในวังหลวงอย่างสบายใจเถิด ปีหน้าค่อยออกนอกวังพร้อมกับองค์ชายใหญ่”

หลังจากนั้นก็มองไปที่ข้าหลวงข้างกาย

“หากใครกล้าพูดถึงเรื่องจิ้นอันจวิ้นอ๋องออกนอกวังอีก ให้ไล่ออกไปซะ” นางขมวดคิ้วตรัส

ข้าหลวงทั้งหลายต่างรับคำ ขณะที่ชายหนุ่มคำนับอีกครั้งแล้วถอยหลังเดินจากไป

ไทเฮาถอนหายใจโล่งอกด้วยความดีใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือประคองแขนของข้าหลวงเก่าแก่ที่ยืนอยู่ด้านข้างของนาง

“บอกว่าเด็กคนนี้เป็นดาวนำโชค เพิ่งจะเสด็จกลับ ฝ่าบาทก็ทรงหายเป็นปกติ และเสียนเฟยก็ทรงตั้งครรภ์ ยังจะมีคนบังอาจขอให้เขาออกจากวังไปอยู่เขตพระราชทานอีก” นางตะคอก “คนที่กราบทูลมีความคิดเช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้หรือไร ให้คนของตระกูลฮุ่ยกุ้ยเฟยสงบเสงี่ยมไว้จะดีกว่า”

ข้าหลวงรับคำ

ไทเฮาเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว

“เมนูนกขมิ้นของตระกูลเฉินเลิศรสจริงหรือ ข้าก็อยากจะลองชิมเช่นกัน”

พวกนางหัวเราะพูดคุยพลางเดินไปที่หลังตำหนัก

จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวออกมาจากประตูหน้าห้องโถงก็หยุดเท้าลง เขามองไปที่ประตูข้างด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ไม่นานนางกำนัลสองคนก็นำทางหญิงสองคนเข้าไป

การแต่งกายของสตรีบรรดาศักดิ์โดดเด่นนัก ส่วนการแต่งกายของหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างกายก็…โดดเด่นไม่แพ้กัน

แม้ว่าจะมองเห็นเพียงเงาด้านหลัง แต่สำหรับชุดนั้นแล้ว นับตั้งแต่เขาเติบโตมาก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งที่สองเท่านั้น

ครั้งแรกที่เคยเห็นคือข้างกองไฟที่ล้อมรอบไปด้วยหมาป่า และสายลมยามค่ำคืนได้พัดเสื้อคลุมของหญิงสาวผู้นั้น โดยเสื้อสีดำเรียบภายใต้แสงไฟนั้น ทำให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ

“มีอะไรหรือพะยะค่ะจวิ้นอ๋อง” ข้าหลวงในวังถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลอกตาและก้าวไปข้างหน้า

“เป็นใครมาจากไหนกัน คนของตระกูลพระชายาเสียนเฟยหรือ” เขาถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่พะยะค่ะ เป็นคนในตระกูลของอำมาตย์เฉินเส้ากรมขุนนางพะยะค่ะ” ข้าหลวงเอ่ยพลางยิ้มเช่นกัน

ยามได้เห็นของจวิ้นอ๋อง ความร่าเริงและสดใสนั้นทำให้ความรู้สึกหนาวเย็นของอากาศจางหายไป

“อ่อ ตระกูลเฉิน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มและพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังกลับไปมองอีกรอบและยักคิ้วยาวโดยไม่ได้ตั้งใจ

นี่พรหมลิขิตหรือ ถึงได้พบเจอกันอีกแล้ว

เดินทางเข้าป่าและแต่งตัวอย่างสบายก็ช่างแล้ว เข้าวังยังสวมชุดสีเรียบเช่นนี้อีก ช่างประหลาดแท้

จิ้นอันจวิ้นอ๋องอมยิ้มเล็กน้อย

กระบอกไม้ไผ่ถูกโยนลงไปในกองไฟทีละหนึ่งกำมือ เสียงเปลวไฟลุกไหม้ดังขึ้น เด็กๆ ปิดหูและกระโดดไปรอบๆ ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ขยับเข้ามาใกล้ พร้อมทั้งมุ่งหน้ามาหาเหล่าชายหนุ่มที่ยืนคำนับพูดคุยหัวเราะกันอยู่ที่หน้าประตู

หากอยู่ไกลออกไปคงจะไม่ได้ยินเสียงนั้น หากถึงเวลาอาหารแล้ว ผู้คนพวกนี้คงหน้ามืดตามัวจนมองอะไรไม่เห็น

มีเพียงธงบนเสาธงเท่านั้นที่พัดโบกตามแรงลมของฤดูใบไม้ผลิในเดือนสอง ตัวอักษรสามตัว

เขียนว่าเรือนไท่ผิงโบกสะบัดไปตามสายลม แม้จะยืนไกลออกไปถึงหลายลี้ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“นายหญิง พวกเราไม่ไปที่ร้านหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามพลางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงซึ่งกำลังยืนอยู่ด้วยความดีใจ “ร้านเปิดวันแรกนะเจ้าคะ”

“ที่นี่ก็ไม่ต่างจากที่นั่นหรอกนะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สาวใช้ยิ้มโดยไม่พูด และก้มศีรษะมองไปที่หญ้าอันเหี่ยวเฉาบนพื้น แล้วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงประหลาดใจ

“มันงอกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยความดีใจ “นายหญิงดูสิเจ้าคะ”

เฉิงเจียวเหนียงก้มศีรษะมอง โดยหมวกคลุมหน้าครึ่งหนึ่ง

“อืม” นางเอ่ย “ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว”

ความคึกคักด้านหน้าเรือนไท่ผิงสงบลง นอกจากได้ยินเสียงคึกคักของเพื่อนบ้านในตอนแรกแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าไปในร้านอีกเลย แม้มีรถม้าวิ่งผ่านไปมาบนถนนไม่ขาดสาย แต่พวกเขาก็รีบวิ่งแล่นผ่านไปโดยไม่เหลียวหลังหรือชำเลืองมองร้านเลย

“ปั้นฉิน” จู่ๆ เฉิงเจียวเหนียงก็ตะโกนขึ้น

สาวใช้ที่ยังคงมองดูหญ้ารอบๆ ก็รีบลุกขึ้นยืนและตอบรับ

“ไปดูหน่อยว่านายใหญ่ของเจ้ากลับมาแล้วหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สาวใช้ตกใจอย่างมาก

เมื่อนางยืนอยู่ตรงหน้านายหญิงครั้งแรกรู้สึกว่านายหญิงเป็นคนแปลกและคาดเดาไม่ได้ ต่อมา เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากสังเกตคำพูดและสีหน้าของนาง แม้จะเงียบสงบอยู่เสมอๆ แต่โชคดีที่นางคาดเดาคำพูดถูกมาโดยตลอด และคิดว่าหลังจากพักอาศัยอยู่ในเมืองหลวง จะรู้ใจนางบ้างแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง แม้จะคาดเดาคำพูดของนายหญิงได้มากขึ้น แต่ความคิดของนางกลับยิ่งมองไม่ออก

ยกตัวอย่างเช่น ขณะนั้นที่นายหญิงบอกว่าไม่รักษา ใครจะคิดว่าทำไปเพื่อจะมารักษาในวันนี้แทน และนายหญิงให้ท่านชายทั้งหลายซื้อโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เพื่อตัวเอง เพื่อท่านชายทั้งหลาย หรือเพื่อพ่อครัวคนนั้น หรือเพื่อช่วยท่านชายหันให้บรรลุตามความปรารถนาในการทำความดีกันแน่

มาพูดเอาตอนนี้ ภายภาคหน้าจะพิสูจน์เรื่องอะไรได้

พูดน้อยจึงพูดง่าย สาวใช้คิดว่านั่นไม่จริงเอาเสียเลย ยิ่งพูดน้อย กลับยิ่งไม่ง่าย

นานมาแล้วที่นายหญิงจะพูดถึงผู้อื่น นางค่อยๆ ทำหน้าที่ของตนอย่างสงบและแน่วแน่ แต่ทว่า ตอนนี้กลับเอ่ยถึงนายใหญ่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน หรือนางกำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่รับมือไม่ได้

เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ

สาวใช้รู้สึกตื่นเต้นและกังวลเล็กน้อย

“ใช่” นางก้มศีรษะตอบ

……………………………………………………………