สำหรับความสงสัยของหนานกงจวิ้นซี ตงฟางไป๋เพียงยักไหล่อย่างไม่เข้าใจเช่นกัน
เพียงสับสนในใจ ว่าอะไรคือเต้าหู้เหม็น เต้าหู้มิใช่หอมหรอกหรือ เหตุใดจึงมีกลิ่นเหม็นไปได้!
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาตงฟางไป๋อดมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ คล้ายอดขอความเห็นไม่ได้
แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ครู่หนึ่ง นิ่งเงียบไม่พูดจา แต่ฝีเท้ากลับเดินไปทางเล่อเหยาเหยา
ตรงข้ามกับทุกคนที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เวลานี้เล่อเหยาเหยากลับตามหากลิ่นเหม็นของเต้าหู้เหม็นที่เธอคิดถึงมาตลอดเข้าแล้ว
ก่อนหน้านี้สิ่งที่เธอชอบทานที่สุด นอกจากของรสชาติเผ็ดแล้ว ก็จะมีเต้าหู้เหม็น
ละแวกโรงเรียนก่อนหน้านี้ มีสถานที่ขายเต้าหู้แห่งหนึ่ง ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน จะซื้อเต้าหู้เหม็นหนึ่งชุดกลับมา
แม้จะทานมาหลายปี แต่กลับไม่เบื่อหน่าย
จนตั้งแต่มาถึงแคว้นเทียนหยวนนี้ เธอยังคิดว่าที่นี่จะไม่มีเต้าหู้เหม็นขายเสียอีก!
วันนี้เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยอีกครั้ง เล่อเหยาเหยาอดคิดถึงและตื่นเต้นไม่หยุด
“เถ้าแก่ เต้าหู้เหม็นชุดหนึ่ง”
“ได้เลย น้องชายรอประเดี๋ยว ข้าขอจัดการของลูกค้าไม่กี่ท่านนี้ก่อนนะ”
“อืม ได้”
เมื่อได้ยินเถ้าแก่ร้านเต้าหู้เหม็นเอ่ยเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาพลันพยักหน้าตกลงทันที
เพราะเมื่อเธอมาถึงที่นี่ ด้านหน้าแผงร้านขายเต้าหู้เหม็น มีคนมายืนรอซื้อเต้าหู้เหม็นหลายคนเช่นกัน
เพราะช่วงนี้เต้าหู้เหม็นอร่อยที่สุด ดังนั้นลูกค้าจึงมีไม่น้อย
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงยืนอดทนรออยู่ด้านข้าง
เวลานี้ พวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็มาถึงเช่นกัน ทว่าพวกเขาเพียงยืนอยู่ด้านข้างที่ไกลออกไป ไม่เข้ามาใกล้แม้แต่นิดเดียว
เพราะพวกเขาต่างเป็นคนที่เกิดมาสูงศักดิ์ จะเคยทานของราษฎรธรรมดาเช่นนี้ได้อย่างไร
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ก็ไม่เอ่ยพูดสิ่งใด เพียงรอเต้าหู้เหม็นของตนเสร็จเรียบร้อน ให้เถ้าแก่ห่อให้อย่างดี ก่อนจ่ายเงิน แล้วเดินเข้าไปหาพวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ขณะเดินยังชูห่อกระดาษน้ำมันในมือขึ้น ใบหน้าเล็กยิ้มดุจบุปผาเบ่งบานพลางเอ่ยว่า
“ฮ่า ๆ เอาล่ะ พวกเราไปขึ้นเรือสำราญกันเถิด”
“เอ่อ เจ้าหมูน้อย ของในมือเจ้าคือสิ่งใด เหตุใดจึงเหม็นเช่นนี้!”
เห็นเล่อเหยาเหยาเดินเข้ามา หนานกงจวิ้นซีพลันยื่นมือขึ้นปิดจมูก ขมวดคิ้ว ก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจและรังเกียจ
เมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีทำอะไรไม่ถูก และสีหน้าขมขื่นดุจกำลังจะขึ้นลานประหาร เล่อเหยาเหยาอดยิ้มมุมปาก พลางเอ่ยขึ้นไม่ได้
“นี่คือเต้าหู้เหม็นที่เลื่องชื่อ ท่านไม่ต้องพูด ข้าก็รู้ว่าท่านไม่เคยทานมาก่อนแน่!”
“ฮึ เลื่องชื่อหรือ เหม็นจะตายไป!”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีเพียงส่งเสียงฮึออกมาอย่างไม่พอใจ
พลันก้าวเดินไปด้านหน้า คล้ายกลัวจะหมดสติเพราะกลิ่นเหม็นนั้น
สำหรับท่าทางของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาเพียงทำปากยื่น คล้ายหมดคำพูดกับหนานกงจวิ้นซี
ไม่แปลกที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะบางคนชื่นชอบทานเต้าหู้เหม็น จึงรู้สึกกลิ่นของมันหอมยิ่ง บางคนที่ไม่ชื่นชอบทานเต้าหู้เหม็น ย่อมทนต่อกลิ่นของมันไม่ได้
ดวงตาคู่งามกวาดมองชั่วขณะ ก่อนจะยืนประกบอยู่ข้างกายพญายมอย่างมีความสุข
เห็นเพียงสายตาของพญายมเพียงกวาดมองที่ห่อกระดาษน้ำมันในมือเธอเท่านั้น พลันเบือนหน้ากลับไป
บนใบหน้าเย็นชานั้น ยังไม่มีความรู้สึกใดแม้แต่นิดเดียว กระทั่งสายตาต่างเรียบเฉย
อีกทั้งพญายมเพียงจ้องห่อกระดาษน้ำมันในมือเธออย่างเย็นชาครู่หนึ่งเท่านั้น โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนเดินไป
เหนียนซูหลานย่อมเดิมตามหลังเขาไปด้วย
สุดท้าย เหลือเพียงตงฟางไป๋
“น้องเหยา พวกเราไปกันเถิด!”
อาจเพราะรู้ว่าเล่อเหยาเหยาเป็นผู้หญิง ดังนั้น ตงฟางไป๋ตอนนี้ขณะเรียกเล่อเหยาเหยา พลันรู้สึกอึดอัด
เล่อเหยาเหยาย่อมสังเกตถึงเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงยิ้มกว้างให้แก่ตงฟางไป๋
“ขอรับ”
…
ทะเลสาบซีหูยามค่ำคืน คลื่นลมสงบ ผิวน้ำนิ่งเรียบ ไอน้ำล่องลอย กว้างสุดลูกหูลูกตา
เห็นเพียงเวลานี้ ริมฝั่งทะเลสาบสว่างไสวด้วยแสงไฟ เสียงผู้คนจอแจ ค่ำคืนมืดมิดดุจผ้าไหม ถูกประดับประดาดุจตอนกลางวัน!
ในทะเลสาบ กำลังมีเรือสำราญตระการตาหลายลำขับแล่นอยู่
เรือสำราญพวกนี้ สร้างขึ้นอย่างงดงามโด่ดเด่น ด้านนอกเรือแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่เรียงรายเป็นแถว โคมไฟถูกแขวนขึ้น เมื่อยามค่ำคืนมาเยือน กระจายแสงสีแดงขนาดใหญ่ออกมา
เงาภาพโคมไฟสีแดงบนผิวน้ำนั้น รวมเข้ากับผิวน้ำแพรวพราว ทำให้ค่ำคืนดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น
เพราะตงฟางไป๋สั่งให้เสี่ยวถังมาเหมาเรือสำราญไว้ล่วงหน้าหนึ่งลำ ดังนั้นเมื่อพวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาถึงเรือสำราญ เถ้าแก่เรือพลันยกยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนต้อนรับพวกเขาขึ้นเรือเป็นอย่างดี
เล่อเหยาเหยาย่อมเดินตามหลังพวกเขาไปด้วย
หลังจากเถ้าแก่เรือพาขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ เถ้าแก่พลันสั่งให้คนยกสุราอาหารที่เตรียมไว้มาขึ้นโต๊ะ ก่อนขอตัวออกไป
ส่วนเล่อเหยาเหยาเวลานี้ ก็นำของที่ซื้อมาเมื่อครู่ลำเลียงขึ้นวางบนโต๊ะ
หลังรอให้พวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั่งลง ตนก็มายืนอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านหลังพญายม
เพราะจะพูดเช่นไร เธอเป็นเพียงบ่าว เธอไม่คิดนั่งลงร่วมวงกับพวกเขา พลางชื่นชมทิวทัศน์ พลางรับประทานอาหาร
แม้เธอตอนนี้จะเริ่มหิวเช่นกัน
รวมทั้งอาหารบนโต๊ะที่หลากหลายสมบูรณ์เช่นนี้ ทำให้คนที่เห็นน้ำลายไหล
ส่วนท้องของเธอ ก็อดไม่ไหวส่งเสียง ‘จ๊อกๆ’ ประท้วงขึ้นมา
ทว่าเล่อเหยาเหยากัดฟันแน่น พลางกลืนน้ำลาย คิดให้พวกเขาทุกคนทานเสร็จ จึงจะหยิบส่วนของตนนั้นกลับไปทาน
คิดไม่ถึง ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ พลันมีเสียงต่ำทรงเสน่ห์ดังขึ้นมาข้างหู
“หาได้ยากที่จะได้ออกมา เจ้าไม่ต้องมากพิธีหรอก นั่งลงทานด้วยกัน!”
“เอ่อ”
สำหรับคำพูดของพญายม เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างหนัก
ดวงตาคู่งามเพราะตะลึงจึงเบิกกว้างดุจกระดิ่งอย่างไม่เชื่อหูว่า คำพูดนี้จะออกมาจากปากของพญายม
ตรงข้ามกับความตกตะลึงของเล่อเหยาเหยา เหนียนซูหลานที่นั่งข้างกายเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หลังได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้างดงามก็ปรากฏความแปลกใจขึ้นหลายส่วน
ทันใดนั้นสายตาก็มองไปยังเล่อเหยาเหยาที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างตลอดเวลา
แต่ว่าเหนียนซูหลานแปลกใจเพียงชั่วขณะ ไม่นาน ใบหน้าก็กลับมาเป็นเช่นเดิม
อีกทั้งการที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ทำดีกับเล่อเหยาเหยา เธอคิดเพียงเพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋ให้ความสำคัญกับบ่าวผู้นี้เท่านั้น
เพราะเธอรู้ว่า แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะเย็นชา เงียบขรึมพูดน้อย ไม่ยิ้มแย้ม แต่ดีต่อเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชายิ่ง
เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ให้ความสำคัญกับบ่าวรับใช้ ดวงตาคู่งามของเหนียนซูหลานเป็นประกายครู่หนึ่ง พลันหันไปยิ้มให้เล่อเหยาเหยา น้ำเสียงแฝงความสนิทสนมหลายส่วน
“น้องชาย เจ้าเดินมาทั้งวันแล้ว รีบนั่งลงพักผ่อนก่อนเถิด!”
“เอ่อ ขอบคุณ”
เล่อเหยาเหยาเมื่อหายตกตะลึงจากเมื่อครู่ ต้องมาเจอรอยยิ้มสนิทสนมของเหนียนซูหลาน กลับทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกไม่เหมาะสม
เพราะวันนี้ตลอดทั้งวัน คุณหนูผู้นี้เพียงอยากอยู่ใกล้ชิดกับพญายม จึงไม่มองเธอแม้แต่หางตา ตอนนี้พลันเป็นมิตรกับเธอมากขนาดนี้ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกอึดอัดผิดปกติ
แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของทุกคน เพราะแม้เธอจะเป็นบ่าว แต่เดินยาวนานขนาดนั้น ร่างกายเธอไม่ได้ทำจากเหล็ก จึงย่อมเหนื่อยล้า
อีกทั้งการนั่งร่วมรับประทานอาหารกับพวกพญายม ก็ไม่ใช่ครั้งแรก หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาก็ไม่เกรงใจ หาตำแหน่งนั่งลงทันที
เวลานี้เล่อเหยาเหยานั่งอยู่ในตำแหน่งทางด้านซ้ายมือของตงฟางไป๋ ขวามือคือหนานกงจวิ้นซี ตรงหน้าเธอคือเหลิ่งจวิ้นอวี๋และเหนียนซูหลาน
โต๊ะตัวนี้ ห้าคนนั่งกำลังพอดี
สายลมยามเย็นพัดโชย นำพาความสดชื่น และพัดพาเสียงเครื่องดนตรีบนเรือสำราญที่อยู่ไม่ไกลแว่วเข้ามา
ดวงดาวบนฟ้าระยิบระยับ พระจันทร์ลอยเด่น แสงจันทร์สีขาวดุจควันดุจเส้นด้ายนั้น สาดส่องลงมาบนพื้น ทำให้ผิวน้ำบนทะเลสาบเป็นประกายสีเงิน งดงามอย่างยิ่ง
ภายใต้สิ่งที่งดงามสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ได้ดื่มสุราหอมหวาน พลางทานอาหารเลิศรส ชีวิตคนเป็นเช่นนี้ มีความสุขยิ่งนัก!
“มา น้องเหยา เจ้าคงหิวแล้ว ลองชิมอาหารพวกนี้ดูก่อน”
หลังจากเล่อเหยาเหยานั่งลง ตงฟางไป๋พลันหยิบตะเกียบหยก คีบไก่ทอดกรอบใส่ชามของเล่อเหยาเหยา
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาพลันหันไปยิ้มให้แก่ตงฟางไป๋
“ขอบคุณ พี่ไป๋”
“ฮ่าๆ รีบทานเถิด”
สำหรับใบหน้าเล็กยิ้มแย้มดุจบุปผาของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงยิ้มมุมปาก
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาก็ไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบทานทันที
ขณะที่เธอกำลังทานไก่ทอดกรอบ เหนียนซูหลานที่นั่งตรงข้ามพวกเขา เมื่อเห็นภาพตงฟางไป๋คีบอาหารให้แก่เล่อเหยาเหยา พลันเอ่ยพลางยิ้มจางๆ ว่า
“ฮิ ฮิ ความสัมพันธ์ของท่านหมอไป๋และน้องชายช่างดีเสียจริง”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยาเพียงเงยหน้ายิ้มให้แก่เธอ ก่อนเอ่ยว่า
“ใช่ พี่ไป๋เป็นคนดีมาก ปกติห่วงใยข้ายิ่งนัก!”
เล่อเหยาเหยาพูดตามความจริง
อีกทั้งเล่อเหยาเหยานั้นเป็นคนที่ผู้ใดดีกับเธอ เธอจะดีกับผู้นั้น
ดังนั้น ตงฟางไป๋ดีกับเธอ เธอจึงย่อมจดจำด้วยใจ
คิดไม่ถึง หลังเธอพูดประโยคนี้จบ หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เจ้ามันคนไร้มโนธรรม มีเพียงไป๋ที่ดีกับเจ้าหรือ ข้าไม่ดีต่อเจ้าที่ใด!”
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาชื่นชมตงฟางไป๋ไม่หยุด หนานกงจวิ้นซีรู้สึกไม่พอใจ
อีกทั้งคำพูดที่เอ่ยออกมา แฝงไปด้วยความหึงหวง น่าเสียดายที่เขากลับไม่รู้ตัว
เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เพียงเบ้ปาก ไม่เอ่ยปากออกไป
เพราะตงฟางไป๋ดีกับเธอ เธอเห็นด้วยตา แต่องค์ชายเจ็ดปกตินอกจากรังแกเธอ เธอมองไม่เห็นจริงๆ ว่าเขาดีกับเธอที่ใด
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงไม่พูด เพียงทานอาหารเติมท้องที่ว่างไม่หยุด
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาไม่สนใจเขา หนานกงจวิ้นซีอดกัดฟันกรอดไม่ได้ สุดท้ายเมื่อทำสิ่งใดไม่ได้ เพียงดื่มสุราย้อมใจ
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เพียงดื่มสุราอยู่เงียบๆ
ดวงตาเย็นชาหลุบลง ขนตางอนยาวนั้นปิดบังแววตาของเขาเอาไว้ ทำให้คนคาดเดาความคิดเขาไม่ได้
เหนียนซูหลานที่อยู่ด้านข้างเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงดื่มสุราไม่หยุด ไม่แตะต้องอาหาร อดขมวดคิ้วไม่ได้ แววตากังวลจนสุดที่จะบรรยาย
“พี่อวี๋ ดื่มสุราไม่ดีต่อร่างกาย ท่านอย่าเอาแต่ดื่มเลย ทานอาหารรองท้องหน่อยเถิด เดี๋ยวดื่มจนทำลายสุขภาพ จะทำเช่นไร!”
สำหรับคำบ่นกังวลใจของเหนียนซูหลาน คนฉลาดมองออกว่าเธอมีใจให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ไม่รู้เพราะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของเหนียนซูหลานที่มีต่อเขา หรือรู้แล้วทำเป็นไม่สนใจ บนใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นนั้น ยังคงเย็นชาเช่นเดิม
เห็นเพียงเขายกสุราขึ้นจิบ ไม่สนใจคำเกลี้ยกล่อมของเหนียนซูหลาน คิดดื่มอีกจอก คิดไม่ถึง เหนียนซูหลานกลับยื่นมือเนียนขาวดุจหิมะออกมายับยั้ง
“พี่อวี๋ หยุดดื่มเถิด หากดื่มอีก ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนช้อยมีเสน่ห์ ทำให้คนฟังแทบอ่อนระทวย
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่พูดจา กลับเป็นหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าอดเย้าแหย่ไม่ได้
“โอ้ ศิษย์พี่ใหญ่ มีโชคด้านสตรีไม่เบาเลย ข้าละอิจฉาท่านเสียจริง!”
สำหรับการเย้าแหย่ของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเม้มริมฝีปากรูปกระจับ พลันมองมือเนียนนุ่มที่กุมอยู่บนมือใหญ่ของตน คิ้วน่ามองอดขมวดเล็กน้อยไม่ได้
สำหรับสีหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหนานกลับมองไม่เห็น
เพราะหลังจากได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เธอพลันแสร้งก้มหน้าลงอย่างเขินอาย สองแก้มหมดจดนั้นแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอดูคล้ายดอกกุหลาบสีแดงรอเบ่งบาน งดงามเย้ายวนใจเช่นนี้
หญิงงามหยาดเหยิ้มโดดเด่นเช่นนี้ หากเป็นชายผู้อื่น คงดีใจจนเนื้อเต้นไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่พญายมกลับแตกต่างออกไป
เมื่อเห็นท่าทางเขินอาย งามจับใจคนของเหนียนซูหลาน ใบหน้าของเขายังเป็นปกติ สีหน้าเรียบเฉย
กลับเป็นเล่อเหยาเหยา เมื่อเห็นเหนียนซูหลานจับกุมมือเหลิ่งจวิ้นอวี๋เช่นเดิมโดยไม่ยอมปล่อย ใจคล้ายถูกอัดแน่นด้วยสำลีจนอึดอัด
กระทั่งอาหารเลิศรสตรงหน้า พลันเปลี่ยนไปเป็นจืดชืดไร้รสชาติ
บนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็ค่อยๆ ปกคลุมด้วยความเศร้าหมอง กระทั่งเธอเองยังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตน
กลับเป็นตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้าง กำลังยิ้มแย้ม เพียงพริบตาเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเล่อเหยาเหยา รอยยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักงัน สายตาที่มองเล่อเหยาเหยาพลันเป็นประกายครุ่นคิดครู่หนึ่ง
………………………………..