อวี้ถังได้ฟังคำของหวังซื่อก็มึนงงไปทันที สงสัยว่าเกิดปัญหาอะไรกับความทรงจำของนางหรือไม่ เหตุใดเรื่องในชาติก่อนถึงต่างไปจากชาตินี้โดยสิ้นเชิง
หรือว่าระหว่างกลางมีความลับใดที่นางไม่รู้อีก
ทั้ง ‘ญาติผู้พี่’ ของป้าสะใภ้เมื่อชาติก่อนคนนั้น แท้จริงแล้วใช่น้องสาวสามีสกุลเจิงตามที่หวังซื่อบอกหรือไม่? คำพูดที่นางบอกเมื่อชาติที่แล้วเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก? หากว่าโกหกก็คงดีไป ก็แค่หลอกลวงนางได้เท่านั้น แต่หากสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง และถ้าตอนนี้เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ นางจะปล่อยให้เด็กคนนั้นตายไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่างไม่ได้กระมัง?
อวี้ถังรู้สึกปวดหัวตึบ ได้แต่กำชับกับหวังซื่อว่า “เจ้าช่วยข้าสืบอย่างละเอียดอีกรอบที” จากนั้นก็บรรยายลักษณะท่าทาง ‘ญาติผู้พี่’ ของป้าสะใภ้เมื่อชาติก่อนคนนั้นให้หวังซื่อฟังอย่างละเอียดอีกรอบ
หวังซื่อลูบท้ายทอยอย่างฉงน “น้องสาวสามีสกุลเจิงหน้าตาเหมือนกันกับที่คุณหนูพูดมาทุกประการเลยขอรับ! แล้วข้าก็สืบมาอย่างแน่ชัดด้วยว่า นางไม่เคยคลอดบุตรชาย มีแต่บุตรสาวห้าคนขอรับ”
เขาเอ่ยปากอย่างหนักแน่นมั่นใจ จนทำให้อวี้ถังต้องเชื่อเขาในที่สุด
อวี้ถังถอนหายใจเฮือกในอก
เมื่อหาคนไม่พบ ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นเมื่อชาติก่อนจะจริงหรือหลอก นางก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้แล้ว!
อวี้ถังพิจารณาเรื่องราวทั้งหมด หัวใจยังคงสับสนเต้นไม่เป็นจังหวะ นางมักรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องราวหลายเรื่องเมื่อชาติก่อนมักมีความเชื่อมโยงอย่างเลือนรางกับสกุลเผย รวมถึงกับเผยเยี่ยนที่ขึ้นมาเป็นผู้นำสกุลเผยในตอนนั้นด้วย
จู่ๆ นางก็อยากเจอเผยเยี่ยนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แต่ไร้ที่มาที่ไป ทั้งใกล้จะปีใหม่แล้ว ช่วงนี้ก็คงเป็นเวลาที่เผยเยี่ยนงานยุ่งที่สุด นางไม่อยากจะไปรบกวนเขา
จึงต้องปล่อยไว้เท่านี้ จนกระทั่งถึงวันที่อวี้ถังต้องตามมารดาไปส่งของขวัญปีใหม่ให้ท่านแม่เฒ่าที่จวนสกุลเผย
ระเบียงหน้าเรือนหลักของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเต็มไปด้วยเหล่าสตรีหลายสกุลที่มารอคารวะท่านแม่เฒ่า เมื่อเห็นสองแม่ลูกสกุลอวี้ ทุกคนก็ทำหน้าตกตะลึง ต้องรู้ด้วยว่า ในช่วงเทศกาลแบบนี้ สกุลที่เข้ามาถึงเรือนในทั้งยังสามารถมารอพบท่านแม่เฒ่าได้นั้นมีจำนวนไม่มาก ทุกคนต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ก่อนแล้ว สกุลอวี้นั้นสองปีให้หลังที่เผยเยี่ยนขึ้นมาเป็นผู้นำสกุลก็เพิ่งจะค่อยๆ มีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสกุลเผย ทั้งสตรีในสกุลอวี้ เมื่อช่วงปีใหม่ปีที่แล้วยังไม่มีสิทธิ์มารอพบท่านแม่เฒ่าด้วยซ้ำ ปีนี้กลับสามารถเข้ามารอคารวะท่านแม่เฒ่าถึงในโถงได้เสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต้องหันมาพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสกุลอวี้กับสกุลเผยใหม่ สายตาที่ลอบประเมินสองแม่ลูกสกุลอวี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความกระตือรือร้น ระหว่างที่สนทนากับสองแม่ลูกจึงไม่ให้ความรู้สึกอยากตีสนิทมากเกินงาม ทั้งไม่ทำให้คนรู้สึกถูกเพิกเฉยมองผ่าน ต่างคนต่างก็แนะนำประวัติความเป็นมาของตน
คนสกุลเฉินเจรจาพาทีกับทุกคนด้วยรอยยิ้มที่ไม่ดูต่ำต้อยหรือสูงส่ง ทำให้ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ที่เดินผ่านมาอดจะมองนางด้วยสายตาที่สูงขึ้นไม่ได้ “มารดาเป็นเช่นไรบุตรสาวก็เป็นเช่นนั้น คุณหนูอวี้เรียบง่ายโอนอ่อนผ่อนตาม มารดานางมองแล้วก็นิสัยไม่หนีจากกัน สองแม่ลูกนี้สมควรจะคบหาเอาไว้”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวเราะหึๆ แล้วให้สองแม่ลูกสกุลอวี้เข้ามาก่อน
คนสกุลเฉินเอ่ยเรื่องของขวัญที่ท่านแม่เฒ่าให้อวี้ถังนำกลับมาด้วยเป็นอันดับแรก กล่าวขอบคุณนางอย่างจริงใจ จากนั้นก็คารวะท่านแม่เฒ่าเนื่องในวันปีใหม่ล่วงหน้า ส่วนรายการของขวัญนั้น ตอนที่พวกนางผ่านเข้าประตูมาก็ได้ส่งให้กับผู้ดูแลของสกุลเผยแล้ว
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวเราะแล้วมองสำรวจคนสกุลเฉินรอบหนึ่ง เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป แต่แต่งได้สะดุดตา งดงามเป็นที่สุด อวี้ถังนั้นมองแล้วดูจะมีความซุกซนมากกว่านางหลายส่วน ทั้งไม่ใคร่จะเหมือนนางนัก คิดว่าคงจะคล้ายไปทางอวี้ซิ่วไฉเสียมากกว่า
นางลอบพยักหน้าในใจ แล้วเอ่ยชมการแสดงออกของอวี้ถังตอนช่วงที่ไปพักอยู่กับนาง ทั้งเชิญคนสกุลเฉินให้มากินเลี้ยงวันปีใหม่ที่จวนสกุลเผยตอนวันที่ห้าด้วย “เป็นคนกันเองที่เคยไปมาหาสู่ตอนข้าเป็นนายหญิงของผู้นำสกุล เจ้าไม่ต้องเคร่งครัดระเบียบมาก แค่พาคุณหนูอวี้มาด้วยก็พอ ครั้งนี้นางเป็นผู้ออกความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้น” จากนั้นก็เล่าเรื่องอารามดับทุกข์ให้คนสกุลเฉินฟัง
แม้คนสกุลเฉินจะได้ยินเรื่องนี้มาจากอวี้ถังก่อนแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้ทำให้ได้รับการชื่นชมจากท่านแม่เฒ่า อวี้ถังจึงมีชื่อเสียงดีงามเกิดขึ้น ต่อไปไม่ว่าจะแต่งงานหรือไปทำสิ่งอื่นๆ ย่อมจะส่งแต่ผลดีกลับมา
คนสกุลเฉินยินดีเหนือความคาดหมาย นางตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าท่านแม่เฒ่าจะเปลี่ยนใจ
ข้างกายคนสกุลเผยมีคนที่เคร่งครัดมากเกินไป ท่านแม่เฒ่ากลับชื่นชอบคนที่พูดตรงไปตรงมาอย่างคนสกุลเฉินและอวี้ถังมากกว่า ต่อให้ดีใจก็แสดงออกมาให้เห็น ไม่ต้องปกปิดเก็บงำ เช่นนี้ถูกจริตกับท่านแม่เฒ่าเป็นที่สุด
เมื่อกลับจากสกุลเผย บรรยากาศของวันปีใหม่ก็ยิ่งเข้มข้น คนสกุลอวี้บนๆ ล่างๆ ต่างวิ่งเข้าออกเรือนทั้งวัน แต่ทุกคนก็เหน็ดเหนื่อยด้วยรอยยิ้ม…หนึ่งปีนี้ไม่เพียงคนในสกุลอยู่อย่างสุขสงบ อวี้หย่วนแต่งสะใภ้เข้าบ้าน สะใภ้ก็ตั้งครรภ์แล้วอีกด้วย ทั้งกิจการของร้านค้าทางนั้น ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ ซื้อที่นา เงินทุนที่ลงไปกับกิจการของเจียงเฉาก็ยังไร้วี่แววข่าวร้ายซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี…สำหรับอวี้ถัง ปีนี้นับว่าเป็นปีที่เฟื่องฟูปีหนึ่ง
ตอนคืนที่กินข้าวข้ามปีใหม่ อวี้ป๋อทางหนึ่งก็รินเหล้าให้ทุกคนในครอบครัวด้วยตนเอง ทางหนึ่งก็ทอดถอนใจอย่างตื้นตันว่า “พวกเราสกุลอวี้นับว่าเดินมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว”
ป้าสะใภ้ที่ทำท่าจะพูดพลันชะงักเสียงไป
หากว่ากำหนดงานแต่งของอวี้ถังให้เรียบร้อยได้ก็คงดีกว่านี้
ทว่าใต้หล้าไม่มีเรื่องใดสมบูรณ์ครบพร้อม คนในสกุลสามารถใช้ชีวิตราบรื่นได้ถึงเพียงนี้ ไม่แน่เรื่องที่ดีกว่านี้อาจจะรออยู่ปีหน้าก็ได้
นางชูจอกสุราขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ปีหน้าจะต้องดียิ่งๆ ขึ้นไป”
ทุกคนต่างหัวเราะเฮฮาเห็นดีเห็นงามด้วย
คนสกุลเฉินก็อารมณ์ดีมาก ดื่มเหล้าเข้าไปหลายจอก
แต่ก่อนนางยังเป็นทุกข์เรื่องงานแต่งของบุตรสาว แต่หลังจากที่นางไปพบท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกับอวี้ถังแล้ว หัวใจของนางพลันสงบลงทันที
บุตรสาวเป็นคนมีความสามารถ กระทั่งท่านแม่เฒ่าสกุลเผยยังมองนางด้วยสายตาชื่นชม ต่อให้ตอนนี้ยังไร้คู่ครองที่เหมาะสม แต่หากดูแลตนเองได้ ก็สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เป็นสุขได้เช่นกัน นี่มิใช่ความวาดฝันแรกเริ่มของพวกนางสามีภรรยาหรือ?
พริบตาเดียวก็ใกล้ถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว อวี้ถัง ญาติผู้พี่และพี่สะใภ้ออกไปชื่มชมโคมไฟด้วยกัน
สกุลเผยทางนั้นส่งคนมาเชิญนางไปเป็นแขกที่จวนสกุลเผยตอนวันที่สองเดือนสอง คนที่มาส่งเทียบเชิญคือพ่อบ้านสามหูซิ่ง เขาเอ่ยกับอวี้เหวินว่า “ได้ยินว่า ตอนปีใหม่เหล่าคุณหนูสกุลเผยไม่ได้หยุดพักเลยขอรับ เพราะเชิญอาจารย์มาสอนทำธูปหอมที่จวน งานเลี้ยงตอนเทศกาลโคมไฟปีนี้ ก็ใช้ธูปหอมที่เหล่าคุณหนูทำขึ้นมา ท่านแม่เฒ่า ท่านผู้เฒ่ากับนายท่านและนายหญิงทั้งหลายต่างก็ชมว่าหอมนัก ข้าเดาว่าที่ท่านแม่เฒ่าเชิญคุณหนูอวี้ไปที่จวน เก้าในสิบก็เพราะเรื่องธูปหอมนี้ อย่างไรเรื่องนี้คุณหนูอวี้เป็นคนออกความเห็น สมควรให้คุณหนูสกุลได้เข้ามารับรู้และพูดคุยด้วยน่ะขอรับ”
อวี้เหวินลำพองใจนัก แต่ต่อหน้าก็เอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “เพราะท่านแม่เฒ่าเมตตานาง ขอท่านบอกกับท่านแม่เฒ่าสักคำ คุณหนูสกุลเราจะต้องไปถึงตรงเวลาแน่”
หูซิ่งจึงจากไปอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
คนสกุลเฉินช่วยอวี้ถังเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างเคร่งเครียด
อวี้ถังเอ่ยห้ามมารดา “ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเป็นคนเปิดกว้าง มิใช่คนให้ความสำคัญกับของพวกนี้ อีกอย่างท่านแม่เฒ่าก็เป็นม่าย แต่งโดดเด่นไปจะไม่งามเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินถึงได้พักศึกชั่วคราว พอถึงวันที่สองเดือนสองก็ส่งอวี้ถังไปที่จวนสกุลเผย
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยรอนางอยู่ที่โถงหลัก นอกจากท่านแม่เฒ่าสกุลเผย ยังมีท่านแม่เฒ่าสกุลอี้และแม่เฒ่าจากสกุลอื่นอีกคนที่ไม่คุ้นหน้า นายหญิงรองและเหล่าคุณหนูสกุลเผย ทุกคนนั่งอยู่พร้อมหน้า บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง
อวี้ถังรีบเดินเข้าไปคารวะ ถึงเพิ่งรู้ว่าแม่เฒ่าท่านผู้นี้ก็คือภรรยาบ้านห้าของเผยหย่ง ซึ่งก็คือท่านย่าของคุณหนูสี่นั่นเอง
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถามนางด้วยรอยยิ้มว่าช่วงปีใหม่เฉลิมฉลองอย่างไรบ้าง เหตุใดไม่แวะเวียนมาที่จวนสกุลเผยเลย
คนสกุลเฉินกลัวท่านแม่เฒ่ามีแขกมาก พวกนางแวะมามีแต่จะทำให้ท่านแม่เฒ่าเหนื่อยกว่าเก่า วันแรกของปีจึงได้เขียนชื่อลงกระดาษและหย่อนไว้ตามธรรมเนียมเดิม นับว่าเป็นการสวัสดีปีใหม่แก่ท่านแม่เฒ่าแล้ว
อวี้ถังตอบกลับไปทีละข้อ
เหล่าคุณหนูสกุลเผยคุยกับเสียงจอแจขึ้นมา คนหนึ่งพูดว่า “พี่อวี้เกรงใจพวกเรามากไปแล้ว ตอนปีใหม่พวกเราก็คอยให้ท่านมาหา สุดท้ายก็ไม่มาเสียที” อีกคนก็พูดว่า “ข้าถึงบอกว่าต้องส่งคนไปเชิญพี่อวี้ที่เรือน พวกเจ้าก็บอกว่าไม่ต้องๆ สุดท้ายต้องรอถึงวันนี้กว่าจะได้เจอพี่อวี้” ฟังแล้ววุ่นวายยิ่งนัก
ท่านแม่เฒ่าสกุลหย่งขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยว่า “มีแต่เจ้าที่ตามใจพวกเด็กๆ เจ้าดูสินั่น กลายเป็นอะไรไปเสียแล้ว?” น้ำเสียงคล้ายจะเข้มงวดไม่เบา
เหล่าคุณหนูสกุลเผยจึงค่อยๆ เงียบเสียงลง
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “พวกเด็กๆ ไม่ส่งเสียงเอะอะแล้วจะให้ผู้ใหญ่มาส่งเสียงเอะอะรึ? ปล่อยพวกนางไปเถอะ”
ท่านแม่เฒ่าสกุลหย่งไม่พูดอะไรต่ออีก
ทุกคนต่างลอบถอนหายใจ
จากนั้นท่านแม่เฒ่าสกุลเผยก็คุยกับอวี้ถังเรื่องธูปหอม “เจ้ารองกับเจ้าสามลองทำหลายรอบแล้ว ในที่สุดก็สำเร็จก่อนเทศกาลโคมไฟพอดี ดมแล้วกลิ่นหอมยิ่งนัก ข้าให้คนส่งไปให้ผู้ดูแลแล้ว ต้องดูว่าจะขายธูปหอมเหล่านี้ได้อย่างไร ครั้งนี้ที่เรียกเจ้ามา เพราะอยากจะคุยเรื่องนี้ อีกสองวันพวกเราจะเดินทางไปอารามดับทุกข์ ดูว่าเหล่าอาจารย์กับคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นทำธูปหอมออกมาได้หรือไม่”
อวี้ถังฟังเข้าใจทันที นางตอบยิ้มๆ ว่า “ท่านจะไปเมื่อไรบอกข้าสักคำก็พอเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นข้าจะเดินทางไปพร้อมท่านเลย” ส่วนเรื่องที่มารดากับป้าสะใภ้อยากจะช่วย นางคิดว่าไม่เหมาะจะพูดตอนนี้ ต้องรอให้เรื่องอารามดับทุกข์ทางนั้นแน่นอนแล้ว ตอนที่ทุกคนจะไปช่วยเหลือก็ค่อยไปพร้อมกันจะดีกว่า คนอื่นที่จับจ้องอยู่จะได้ไม่เอาไปพูดว่าพวกนางสกุลอวี้คิดอยากได้หน้าได้ตา
ทุกคนปรึกษากันว่าจะไปตอนวันที่สี่เดือนสอง ค้างแรมที่นั่นคืนหนึ่ง แล้ววันที่สองค่อยเดินทางกลับ
อวี้ถังคิดว่าไม่เลว ถึงเวลานั้นนางค่อยแอบไปสำรวจที่อารามดับทุกข์ ดูว่ามีคนไหนบ้างที่นางเคยรู้จักเมื่อชาติก่อน
ภายหลังนางก็ถูกเหล่าคุณหนูสกุลเผยเรียกไปชมธูปหอมแล้ว
โม่บด ผสมสูตร อัดแข็ง…อวี้ถังมองดูธูปหอมหนึ่งชุดที่ทำออกมาด้วยความเป็นสุข ตื่นเต้น และกระตือรือร้น นางเตรียมจะนำธูปหลายกลิ่นนี้ไปให้มารดากับป้าสะใภ้ลองใช้ ดูว่าพวกนางจะบอกว่าหอมหรือไม่
คุณหนูสามบอกกับอวี้ถังอย่างภูมิใจว่า “พวกเราทำทั้งแบบที่เป็นธูปก้านเล็กและธูปเป็นแท่ง พี่อวี้ลองเอากลับไปจุดดูมากหน่อยสิเจ้าคะ”
อวี้ถังตอบรับด้วยรอยยิ้มตาหยี ผลสุดท้ายพอพวกนางหันหลังกลับ ก็เห็นเฉินต้าเหนียงวิ่งเหยาะๆ ผ่านพวกนางไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เกิดอะไรขึ้น?” คุณหนูห้าถามอย่างฉงน
เฉินต้าเหนียงเป็นแม่เฒ่าที่รับใช้ข้างกายท่านแม่เฒ่าสกุลเผย แต่ไรก็จัดการเรื่องต่างๆ ด้วยความหนักแน่น ไม่เคยเห็นนางทำท่าเช่นนี้มาก่อน
คุณหนูรองพลันหน้าซีด ทำท่าอึกอักอยู่ครึ่งวันแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา
ไม่เสียแรงที่คุณหนูสามเป็นพี่น้องบ้านเดียวกับนาง จึงเดาออกอย่างรวดเร็วถึงสาเหตุที่ทำให้นางกระวนกระวาย “คงไม่ใช่สกุลหยาง…”
นอกจากเรื่องงานแต่งของคุณหนูรองแล้ว พวกนางต่างคิดไม่ออกว่ามีเรื่องใดที่จะทำให้เฉินต้าเหนียงเสียกิริยาได้อีก
คุณหนูสี่กับอวี้ถังพลันหวาดระแวงขึ้นมาทันที
คุณหนูห้ารีบเอ่ยว่า “ข้าจะให้คนไปถามดู“
อวี้ถังรู้ทั้งรู้ว่าเวลานี้ตัวเองควรจะหลบเลี่ยง แต่นางเป็นห่วงความรู้สึกของคุณหนูรองมาก ถึงได้ตามเหล่าคุณหนูไปด้วยกันเพื่อรอฟังข่าวจากอาซัน
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเข้าสู่ความตึงเครียดทันที
ดีที่อาซันกลับมาอย่างรวดเร็ว
นางทำท่าร้อนรน คนยังไม่ทันยืนให้มั่น ก็เอ่ยด้วยเสียงหอบแฮกๆ ว่า “แย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว คนสกุลหยางมาที่นี่ บอกว่ามาเป็นแม่สื่อขอคุณหนูกู้เจ้าค่ะ…”