บทที่ 181 ผมน่าสงสาร ผมเจ๋งเป้ง

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เมื่อกลับมาถึงแผนก เฉินชางนำบัตรประชาชนของจูหย่งวั่งให้กับพยาบาลฉางลี่น่า “ลงทะเบียนให้เขาหน่อยครับ อยู่เฝ้าสังเกตอาการที่โรงพยาบาลชั่วคราว”

ฉางลี่น่าชะงักงัน “เขา…เขาไม่มีเงินนะคะ”

เฉินชาง “ทำเรื่องค้างชำระเอาไว้ก่อน”

ฉางลี่น่า “ทำเรื่องค้างชำระเอาไว้ก่อน แล้วถ้าไม่กลับมาชำระล่ะคะ! จะว่าไปแล้วเดือนนี้มีคนทำเรื่องค้างชำระเอาไว้ก่อนเกินโควตาแล้วนะคะ วันนี้หัวหน้าพยาบาลเพิ่งจะบอกฉัน…”

เมื่อจูหย่งวั่งได้ยินเช่นนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที เขาจ้องมองฉางลี่น่า “คุณต้องการจะขับไล่ผมเหรอครับ”

สายตาที่จูหย่งวั่งมองฉางลี่น่าเหมือนแววตาของสุนัขป่าที่สิ้นหวังเพราะใกล้จะสิ้นลม แววตาคู่นั้นของเขาทำเอาฉางลี่น่าตกใจกลัวจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เฉินชาง “คืนนี้ใช้ยาต้านอักเสบไปก่อน ราคาไม่กี่บาท ทำตามนี้แล้วกันนะครับ ค่ารักษาผมออกแปดสิบ แผนกออกยี่สิบ! ไม่ได้มีการผ่าตัด ค่ารักษาไม่เท่าไหร่ ผมจะไปออกคำสั่งแพทย์”

ฉางลี่น่าพยักหน้า

ฉางลี่น่ากับฉินเยว่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่ม เฉินชางก็เลยไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปนอนที่เตียงในห้องฉุกเฉิน

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเยว่ซื้ออาหารเช้ามาให้จูหย่งวั่ง ฉินเยว่ตรึกตรองแล้วว่าเขาน่าจะเป็นคนกินจุ ก็เลยซื้อน้ำเต้าหู้สามแก้วกับซาลาเปาหกลูก

จูหย่งวั่งไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เช้ามาก็เลยหิวไส้แทบขาด เขารับอาหารเช้าที่ฉินเยว่ซื้อมาให้พลางยิ้มด้วยความรู้สึกกระดากอาย “ขอบคุณครับ!”

หลังจากที่กล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็นั่งลงที่มุมห้อง กินอาหารเช้าอย่างมูมมาม

ฉินเยว่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้อง ฉางลี่น่ากับพยาบาลฝึกหัดก็ดึงตัวฉินเยว่ไว้ “คุณไปบอกเขาสิคะ ทำไมคุณถึงไม่พูด! เวลาที่เขามองมองคุณ สายตาเขาค่อนข้างอ่อนโยน แต่เวลาที่เขามองพวกฉันสายตาเขาดุอย่างกับหมาป่า!”

ฉินเยว่ชะงักงัน เธอลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงขานรับ “อ้อ” สั้นๆ แล้วก็วกกลับเข้าไปใหม่

“เอ่อ…”

ตอนที่จูหย่งวั่งดื่มน้ำเต้าหู้ เขาเปิดฝาแก้วน้ำออก แล้วดื่มอึกๆ ลงไปโดยที่ไม่กลัวน้ำเต้าหู้ร้อนๆ จะลวกปากเลยสักนิด “อร่อยจริงๆ! มีอะไรเหรอครับ!”

ฉินเยว่รวบรวมความกล้า “ฉันขอคุยอะไรกับคุณเรื่องหนึ่ง!”

จูหย่งวั่งกัดซาลาเปา เป็นซาลาเปาไส้เนื้อ “ซาลาเปาไส้เนื้อต้องแพงมากเลยนะเนี่ย!”

ฉินเยว่ “…”

เขากลืนซาลาเปาลงไปหนึ่งคำ “คุณหมอมีเรื่องอะไรก็พูดมาเลยครับ”

ฉินเยว่ “การกระทำเช่นนี้ของคุณสร้างความรู้สึกกดดันให้กับพวกเรามาก ทุกครั้งที่พวกเราคุยกับคุณหรือเวลาที่มองคุณ พวกเรารู้สึกกลัว กลัวว่าคุณ…คุณจะทำร้ายคนอื่น”

จูหย่งวั่งชะงักงัน เขาเคี้ยวซาลาเปาในปากช้าลง…

“ความหมายของพวกคุณคือ…จะไล่ผมไป?”

ฉินเยว่รีบส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ค่ะ…คุณดูสิ พยาบาลพวกนั้นก็ดีกับคุณมาก ตอนเช้าตรู่ยังซื้ออาหารเช้ามาให้คุณ คุณไม่จำเป็นต้องทำหน้าดุดันขนาดนั้นใส่พวกเธอ…”

“…แล้วอีกอย่าง เรื่องอาการบาดเจ็บกับอาการป่วยของคุณ พวกเรารอให้หัวหน้ามาถึงแล้วพวกเราจะปรึกษาหารือกันถึงเรื่องแนวทางการรักษา แล้วถึงจะตัดสินใจได้!”

ตอนเช้า หลังจากที่หลี่เป่าซานมาถึงโรงพยาบาลแล้ว เขาก็มุ่งตรงไปหาจูหย่งวั่งทันที หลังจากที่ตรวจแล้วหนึ่งรอบ เขาก็บอกกับเฉินชางว่า “ตัดลวดเหล็กดัดให้สั้นก่อนเถอะครับ ปล่อยไว้แบบนี้เกิดไม่ระมัดระวังแล้วเป็นอะไรหนักขึ้นกว่าเดิมจะทำไง”

เมื่อได้ฟังดังนั้น เฉินชางถึงเพิ่งตระหนักในจุดนี้ได้ เขารีบหยิบคีมตัดมา ฉินเยว่อดเอามือปิดตาจูหย่งวั่งเอาไว้ไม่ได้

กึก

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าทางปากหนึ่งทีด้วยเจ็บปวด!

ฉินเยว่ถามเขาว่า “เจ็บมั้ยคะ”

จูหย่งวั่งแบะปาก “ไม่เจ็บเท่ามะเร็งครับ!”

เฉินชางส่งรูปเอ็กซเรย์ในโทรศัพท์มือถือให้หลี่เป่าซาน หลังจากที่หลี่เป่าซานวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว หลี่เป่าซานก็กล่าวว่า “จากนี้ต้องวินิจฉัยร่วมกัน ผมจะเชิญหัวหน้าเถามาหารือสักหน่อย”

หลังจากพูดจบ หลี่เป่าซานก็ยืดตัวตรงแล้วเดินออกไป

จูหย่งวั่งลุกพรวดขึ้นมาทันใด กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกที่ทั้งงุนงงสับสนทั้งโกรธเกรี้ยว “พวกคุณหลอกผม? นี่คือตรวจเสร็จแล้วเหรอ”

ฉินเยว่รีบพูดทันที “แน่นอนว่าไม่ได้หลอกคุณ สถานการณ์ของคุณค่อนข้างพิเศษ พวกเราต้องเชิญหมอแผนกศัลยกรรมหัวใจมาช่วยตรวจและรักษาค่ะ!…”

“…จากนั้นยังต้องปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเคสของคุณ สุดท้ายถึงจะระบุวิธีการรักษาได้!”

เมื่อจูหย่งวั่งได้ฟังเช่นนั้น “ดึงลวดเหล็กดัดออกมาก็พอแล้ว มีอะไรซับซ้อนยุ่งยากที่ไหนกัน”

ฉางลี่น่าหมดความอดทนตั้งแต่แรกแล้ว คนที่นี่เห็นชายคนนี้เป็นเหมือนคนในครอบครัวแท้ๆ

คุณน่าสงสาร คุณเก่งมาก?

ดึงออกมาก็พอแล้ว ทำไมคุณไม่ดึงออกมาเองเลยล่ะ

ถึงขั้นที่ฉางลี่น่าคิดว่าชายคนนี้มาที่โรงพยาบาลอันดับสองเพื่อกรรโชกทรัพย์ ถ้าเกิดเป็นอะไรตายขึ้นมาก็ง่ายต่อการขูดรีดเงินจากโรงพยาบาล ถึงอย่างไรเสียเรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉางลี่น่าก็พ่นลมออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจแล้วเดินออกไป

จูหย่งวั่งมองฉินเยว่ “จริงนะครับ คุณหมอไม่ได้หลอกผมนะครับ”

ฉินเยว่พยักหน้า “ไม่ได้หลอกค่ะ”

จู่หย่งวั่งลังเลใจขึ้นอีกครั้ง “ผมไม่มีเงิน…ผมไม่มีเงินจริงๆ!”

ฉินเยว่ส่ายศีรษะ “ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องมีเงินหรือไม่มีเงินค่ะ ตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน แต่คนในครอบครัวคุณต้องมาที่นี่ เพราะถ้าต้องผ่าตัด จะต้องให้ครอบครัวเซ็นยินยอม ไม่งั้นก็ผ่าตัดไม่ได้นะคะ!”

นัยน์ตาของจูหย่งวั่งเป็นประกายวาบหนึ่ง เขารีบส่ายหน้า “ผมไม่มีเงิน ผมไม่มีครอบครัว!”

ฉินเยว่ถึงกับชะงักงัน “คุณไม่มีครอบครัวเหรอคะ”

จูหย่งวั่งเอาแต่ส่ายหน้า “ผมไม่มีเงิน! แล้วผมก็ไม่มีครอบครัวด้วย!”

ในช่วงไม่กี่วินาทีต่อมาหลังจากนั้น ไม่ว่าฉินเยว่จถามอะไรก็ตาม จูหย่งวั่งก็จะพูดแต่ประโยคนั้น ‘ผมไม่มีเงิน! แล้วผมก็ไม่มมีครอบครัวด้วย!’

พูดจนฉินเยว่จนปัญญา เธอทำได้แค่เดินออกมาจากห้อง

ทันทีที่ฉินเยว่เดินออกมา ฉางลี่น่าก็ดึงตัวเธอไว้

“ฉินเยว่ ฉันจะบอกคุณให้รู้ไว้ ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ใช่คนดีอะไร คุณจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้นะคะ คุณดูเขาสิคะ อะไรๆ ก็ไม่บอก…”

“…มีบัตรประชาชนชัดๆ แต่บอกพวกเราว่าไม่มี มีครอบครัวก็ไม่ยอมบอก ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากจ่ายเงินหรือไงกัน…”

“…ถ้าผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลเป็นเหมือนเขากันหมด พวกเราไม่ต้องติดหนี้แทนพวกเขาหรือไง ที่เขาทำตัวให้ดูน่าสงสารเพราะเขามีเหตุผล! ฉันบอกเลยว่าฉันไม่พอใจ…”

“…เป็นคนน่าสงสาร ก็อย่าเอาแต่ปากแข็งแบบไร้เหตุผล”

ฉินเยว่ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “พวกเราอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตเขาก็ได้ เราจะนิ่งนอนใจกับความเป็นความตายของคนไม่ได้!…”

“…ซึ่งเขาเองก็ไม่ยอมถอดใจแน่ พวกเราพยายามช่วยเขาให้เต็มที่เถอะ…ถ้าไม่ต้องผ่าตัด ค่ารักษาก็ไม่เท่าไหร่!”

ฉางลี่น่าพ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ “ฉินเยว่ คุณยังอ่อนต่อโลกเกินไป คนประเภทนี้ฉันรู้จักดี!…”

“…เอาความเมตตาของพวกเรามาเป็นแต้มต่อ! อยากจะได้รับการรักษาพยาบาลฟรี คุณคอยดูเถอะ ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องผ่าตัด เขาจะต้องโวยวายแน่!…”

“…คนประเภทนี้ฉันเห็นมาเยอะแล้ว! ถ้าคุณบอกเขาว่าไม่ต้องผ่าตัด เขาจะต้องโวยวายโรงพยาบาลจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแน่!”

เถามี่ หลี่เป่าซาน เฉินชาง รวมทั้งหยางเสี่ยวหมิง หัวหน้าแผนกโรคปอดต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องทำงานของแผนกฉุกเฉิน ปรึกษาหารือกันเรื่องแนวทางการผ่าตัดของจูหย่งวั่ง

ผลสรุปชัดเจนมาก

หยางเสี่ยวหมิงกล่าวว่า “อาการของผู้ป่วยในตอนนี้ชัดเจนมากว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เชื้อมะเร็งแพร่กระจายไปหลายแห่ง มีโอกาสมีชีวิตรอดต่ำ ไม่ว่าจะดึงลวดเหล็กดัดออกมาหรือไม่ เขาก็อยู่ได้อีกไม่นานอยู่ดี อาจอยู่ได้ไม่เกินสองถึงสามเดือน…”

“…โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่มีคนในครอบครัวมาเซ็นยินยอมเข้ารับการผ่าตัด ก็ยิ่งหมดหนทางที่จะผ่าตัด พูดตรงๆ เลยก็คือ โรงพยาบาลไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ถ้าใครๆ ก็มารูปแบบนี้ โรงพยาบาลก็คงไปต่อไม่ไหว”

คำพูดของหยางเสี้ยวหมิงมีเหตุผลมาก ทั้งยังสมเหตุสมผลมากด้วย! ทำให้คนที่ฟังหาข้อท้วงติงไม่เจอ

เถามี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ผมก็คิดเหมือนกันครับ บาดแผลบริเวณรอบๆ ลวดเหล็กดัดมีการติดเชื้อรุนแรง ความเสี่ยงในการผ่าตัดสูงมาก แล้วอีกอย่าง ต่อให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายก็เท่ากับยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดภาวะมีลมขังอยู่ในโพรงเยื่อหุ้มปอดสูง คาดว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ได้ในภายหลังได้ ทำให้โอกาสการมีชีวิตรอดของผู้ป่วยสั้นลงอีก ดังนั้นดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว การไม่ผ่าตัดเป็นทางเลือกที่ดีกว่า!”

หลี่เป่าซานนิ่งเงียบอยู่นาน เขาถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก มองรูปถ่ายเอ็กซเรย์พลางพยักหน้า “เสี่ยวเฉิน คุณไปคุยกับเขา อธิบายให้เขาฟังสักหน่อย”