บทที่ 132 ราตรีแห่งวายุโชยอ่อนและจันทรากระจ่าง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีประคองล้อรถพร้อมไออย่างรุนแรงก่อนที่จะค่อยๆ หายใจตามปกติ

“ท่านเป็นอะไรไป?” จี้อ๋วนเอ่ยถาม

ซ่งชูอียื่นมือไปลูบคลำหน้าอกของเขา กล่าวด้วยความจริงใจ “ฮ่วนเอ๋ย คราวหน้าขณะที่เจ้าพุ่งตัวนั้น เจ้าเพียงทำให้คนล้มไปกับพื้นก็พอแล้ว มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”

ใบหน้าดำคล้ำของจี้ฮ่วนแดงก่ำ ถอยหลังไปสองก้าว “ข้ารู้แล้ว”

เชออวิ๋นดึงลูกธนูออกมาจากกำแพงรถ สำรวจดูอย่างละเอียด เอ่ยขึ้น “ลูกธนูนี้คล้ายทำมาจากรัฐฉู่”

“ท่านผิดใจคนไม่น้อยเลย” จี้ฮ่วนกล่าว

ซ่งชูอีปัดๆ เศษดินบนตัว เข้าใจความหมายในคำพูดของจี้ฮ่วนว่าชาวฉู่ต้องการจะสังหารนาง จึงหัวเราะเอ่ย “หากข้ายิงธนูลูกนี้ใส่เจ้า เจ้าจะคิดว่าข้าเป็นชาวฉู่หรือไม่?”

นี่เป็นเหตุผลที่เบาบางมาก ไม่สามารถบอกได้ว่ามือสังหารก็คือเจ้าของของลูกธนูนี้

“ท่านคาดเดาได้หรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง?” เชออวิ๋นเอ่ยถาม

แน่นอนว่าในใจของซ่งชูอีมีความเป็นไปได้มากมาย ทว่าคิดว่าที่เป็นไปได้ที่สุดคือตระกูลเก่าแก่ในรัฐฉิน ที่จริงสาเหตุนั้นง่ายมาก ซ่งชูอีมาจากรัฐเว่ย์ซึ่งมาจากที่เดียวกันกับซางยาง

ผู้คนส่วนมากในดินแดนของรัฐเว่ย์เป็นลูกหลานแห่งราชวงศ์ซาง ผู้คนในราชวงศ์ซางให้ความสำคัญกับกฎหมาย ด้วยเหตุนี้รัฐเว่ย์จึงให้กำเนิดนักกฎหมายที่โดดเด่นมากมาย บัดนี้ซางยางเพิ่งสิ้นและเป็นช่วงเวลาที่ตระกูลเก่าแก่เริ่มมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อการยกเลิกกฎหมายใหม่ ทว่าองค์จวินของพวกเขากลับรับคนมาจากรัฐเว่ย์ นี่หมายความว่ากระไรกัน?

บรรดาตระกูลเก่าแก่จำต้องคาคคะเนอย่างรอบคอบ!

ซ่งชูอึครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทว่ากลับตอบว่า “ช่วงนี้คนที่ต้องการสังหารข้ามีมากเกินไป ข้าไม่รู้”

คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลมาก เชออวิ๋นจึงมิได้ถามต่อ เชิญซ่งชูอีขึ้นรถม้าไป สั่งโดยรอบให้เพิ่มการระวังตัว

รถม้าออกเดินทางอย่างช้าๆ

ซ่งชูอีอ่านม้วนจดหมายเนิ่นนาน รู้สึกระคายเคืองตาเล็กน้อย ม้วนเลิกม่านขึ้นก็เห็นอิ๋งจื๋ออยู่ด้านข้าง จึงเอ่ยถาม “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ได้ยินว่าท่านจวินมีพระประสงค์จะยกเลิกกฎหมายใหม่ ฟื้นฟูกฎหมายเก่า?”

สีหน้าของอิ๋งจื๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย กระซิบเสียงต่ำ “ท่าน พระประสงค์ของท่านจวินยากที่จะคาดเดา”

ซ่งชูอีกลับคล้ายมิได้สังเกตเห็นสีหน้าของเขา พูดต่อ “ไม่จำเป็นต้องคาดเดาพระประสงค์ของท่านจวินดอก ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่ากฎหมายใหม่ดีหรือว่ากฎหมายเก่าดี?”

อิ๋งจื๋อจะไม่ตอบคำถามนี้อย่างแน่นอน ทว่าเขาก็อยากรู้ความเห็นของซ่งชูอีเช่นกัน จึงถามขึ้น “แล้วท่านเห็นเยี่ยงไร?”

“กฎหมายของซางจวิน เป็นกฎหมายที่เสริมความมั่งคั่งแก่รัฐเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ราษฎร ทว่ากลับมิใช่กฎหมายที่จะอยู่ยาวนาน” ซ่งชูอีพูดจบ จากนั้นก็หัวเราะเอ่ย “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงคำกล่าวของสำนักข้าน้อยเพียงผู้เดียว ข้าศึกษาสำนักเต๋า มีความรู้ด้านกฎหมายน้อยยิ่ง ข้าน้อยอยากฟังวิจารณญาณของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายมากกว่า?”

“คือว่า…ข้าเป็นผู้ด้อยความรู้ ป็นแต่สู้รบไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้” ปกติแล้วเหล่าตระกูลเก่าแก่เป็นประเภทที่หากรักพวกเขาแล้วต้องรักพวกพ้องของเขาเช่นกัน เนื่องด้วยซางจวินเคยดำรงตำแหน่งของอิ๋งจื๋อมาก่อน เขาจึงแม้แต่พลอยถูกรังเกียจไปด้วย จะกล้าตัดสินเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ลดผ้าม่านรถลง เดิมทีนางก็มิคิดที่จะซักไซ้อะไรอยู่แล้ว

เมื่อครู่ซ่งชูอีเหลือบมองภูมิประเทศตรงจุดนั้น มันมิใช่สถานที่ที่สามารถซ่อนเร้นร่องรอยได้โดยง่าย จุดที่คนเหล่านั้นซุ่มโจมตียอดเยี่ยมเหลือเกิน อีกทั้งยังล่าถอยออกไปด้วยความรวดเร็วยิ่ง นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามีไส้ศึกอยู่ในขบวนรถหรือแม้แต่มีบางคนร่วมมือกับคนเหล่านั้นในการลอบยิงธนู

คำพูดเมื่อครู่ ก็เพื่อให้คนบางคนได้ยินก็เท่านั้น

ซ่งชูอีเพียงแค่ทดสอบดู คิดไม่ถึงว่าหลายวันต่อมาจะเดินทางได้อย่างสันติโดยแท้ นี่ก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์การคาดเดาของนางก่อนหน้านี้ว่าผู้ลงมือน่าจะเป็นตระกูลเก่าแก่แห่งรัฐฉินจริงๆ

จากถนนหลวงเดินทางเข้าสู่เสียนหยางอย่างราบรื่น

ซ่งชูอีก็พอจะเข้าใจเลือนลางแล้วว่าอิ๋งซื่อต้องการให้นางแสดงเป็นตัวละครเยี่ยงไรในกรณีนี้ จากนี้เป็นต้นไป นางจำต้องวางตำแหน่งของตัวเองให้ดีเพื่อปรากฏตัวบนเวทีทางการเมืองแห่งรัฐฉิน

ครั้นพลบค่ำ ก็มาถึงเสียนหยางนครหลวงใหม่

หอคอยของนครเสียนหยางซ้อนกันสูงตระหง่าน หินสีเทาเข้มยังไม่ได้ผ่านการแกะสลักอย่างปรานีต มันทั้งหยาบและหนา กำแพงนครสองข้างทางคล้ายแขนของยักษ์ที่แผ่หลา มีกลิ่นอายของความน่าเกรงขามในตัวมันเอง บนกำแพงมีทหารในชุดเกราะสีดำแน่นขนัดซึ่งดูเคร่งขรึมยิ่ง

คราวก่อนจี้ฮ่วนเข้ามายังรัฐฉินจากประตูด้านข้างนคร ยังมิเคยเห็นฉากเช่นนี้ คราวนี้จึงตกตะลึงอย่างมาก

“ท่านแม่ทัพ ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายกลับถึงนครแล้ว!” ใครบางคนที่อยู่ด้านหน้าขบวนตะโกนขึ้น

ทหารรักษาการณ์บนหอคอยมองอย่างละเอียด โบกมือสั่งคนให้ค่อยๆ ลดสะพานไม้ลง เสียงเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ ดังขึ้น สุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงทุ้มดังปัง สะพานไม้ล้มลงกับพื้นทำให้เกิดฝุ่นควันจางๆ ขบวนรถข้ามสะพานเข้านครไปอย่างเชื่องช้า

อิ๋งซื่อมิได้ส่งคนมารับซ่งชูอีโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้คนนำสารมาเป็นการส่วนตัว สั่งให้ซ่งชูอีเข้าวังทันที

เชออวิ๋นรีบจัดหาสถานที่ให้นางได้ทำความสะอาดร่างกาย ตระเตรียมชุดแขนกว้างสีเทาควัน มีลายปักสีฟ้าเข้มตรงปกคอและชายแขนเสื้อ สง่างามทว่าไม่ละทิ้งความเคร่งขรึม

ครั้นเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น จันทราก็ขึ้นทางตะวันออกแล้ว ซ่งชูอีขึ้นรถม้าไปยังพระราชวังโดยตรง

รถม้าจอดลงใกล้เนินเขาลูกเล็กที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างด้านหน้าและด้านหลังของพระราชวัง ขันทีย้ายบันไดไปวางตรงใต้รถ “ท่านขอรับ ถึงแล้ว”

ซ่งชูอีลงจากรถ เห็นว่าด้านหน้าเป็นเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย “ที่แห่งนี้คือ?”

ขันทีก้าวเข้าไปพร้อมเอ่ย “นี่คือเขาคุนเผิง[1] ฝ่าบาทกำลังรออยู่ในศาลาบนเนินเขา ท่านได้โปรดเชิญ”

เนินเขาเล็กๆ ที่สูงไม่ถึงสิบจั้งเช่นนี้มีชื่อว่า “คุนเผิง”?

ซ่งชูอีครุ่นคิด จากนั้นก็เดินตามทางเล็กๆ ไปยังยอดเนินเขา

โคมไฟพระราชวังถูกจุดทั้งสองด้าน เมื่อบวกกับแสงจันทร์ที่เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็งทำให้รอบด้านสว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง ซ่งชูอีก้าวเท้ายาวๆ ไปยังยอดเขา ภายในศาลาใต้ต้นสนโบราณที่แข็งแกร่ง บุรุษในชุดจีนสีดำกำลังพิงขอบรั้ว มีจอกสุราอยู่ในมือเรียวยาว ผมสีดำสยาย ใบหน้าด้านข้างที่เยือกเย็นดูยากที่จะเข้าใกล้ภายใต้แสงจันทร์

“ซ่งชูอีถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอียืนห่างออกไปหนึ่งจั้ง สะบัดแขนเสื้อค้อมคำนับยาวนาน

“เข้ามา” อิ๋งซื่อกล่าว

ซ่งชูอียืดตัวตรง เดินเข้าไปในศาลา

“นั่ง” อิ๋งซื่อยังคงกระชับและรัดกุมเหมือนเก่า

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีโค้งคำนับอีกครั้ง ก้าวเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ขณะที่กำลังจะนั่งลงบนเบาะเพียงตัวเดียวที่อยู่ตรงข้ามเขา เหลือบตาขึ้นมองก็เห็นทิวทัศน์ชวนตกตะลึงตรงหน้า

เดิมทีภูเขาลูกนี้ไม่สูงมากเมื่อมองจากภายนอก อย่างไรก็ตามหากมองจากภายในมันกลับเป็นยอดของภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ด้านหน้ามีเนินลูกคลื่นสลับซับซ้อนและห้วยหุบเขาลึก แม้นว่ามิใช่ยอดเขาสูงชันนัก ทว่ามันสูงต่อเนื่องจนถึงท้องฟ้า ภายใต้แสงจันทร์มีกลุ่มเมฆจางๆ ล่องละลอย ทิวทัศน์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

สายลมอ่อนพัดโชยมา อิ๋งซื่อมองนางพร้อมพูดขึ้น “ทิวทัศน์ต้าฉิน ภูผาสูงชัน วายุโชยอ่อน จันทรากระจ่าง สุราร้อนแรงแห่งฉินโบราณกาหนึ่ง ความงดงามของข้า กว่าเหรินมิได้ผิดสัญญากระมัง?”

“ช่างซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก” ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา คุกเข่าลงบนเบาะนุ่ม

อิ๋งซื่อยกกาเหล้าบนโต๊ะขึ้น รินสุราให้ซ่งชูอีจอกหนึ่ง

“สีใส รสเผ็ดร้อนเตะจมูก เหล้าชั้นเลิศ!” ซ่งชูอีอุทาน

“เชิญท่าน” อิ๋งซื่อกล่าว

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีกยกจอกเหล้าขึ้นจิบคำหนึ่ง รสเผ็ดร้อนพวยพุ่งขึ้นมา

สุราในยุคนี้อ่อนมาก สุราบริสุทธิ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามีราคาแพงยิ่ง ทิวทัศน์งดงาม บุรุษหล่อเหลา สุราชั้นเลิศ ซ่งชูอีรู้สึกว่ามีสิ่งเหล่านี้ในชีวิตก็เพียงพอแล้ว!

“ท่านอ่านม้วนจดหมายจบแล้ว ไม่ทราบว่ามีความเห็นเยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม

[1] คุนเผิง ปลาคุนนกเผิง鯤鵬 ณ ทะเลลึกแดนเหนือ มีพญามัจฉาชื่อ “คุน” ร่างใหญ่โตไม่รู้กี่พันลี้ คุนกลายร่างเป็นพญานกชื่อ “เผิง” แผ่นหลังของนกเผิงมโหฬารไม่รู้กี่พันลี้ ยามกระพือสะบัดเปีกเหินสู่เวหา ปีกแผ่นกว้างราวแผ่นเมฆปกคลุมฟ้า เมื่อผืนน้ำแห่งท้องสมุทรเริ่มขยับไหว พญานกเผิงก็บ่ายหน้าสู่ทะเลสาบสวรรค์แห่งแดนใต้: ที่มา “จวงจื่อฉบับสมบูรณ์ เพชรน้ำหนึ่งแห่งอารยธรรมจีน” แปลไทยโดย สุรัตน์ ปรีชาธรรม