ตอนที่ 349 ขู่เอาเงิน
เด็กชายตัวสั่นเทาเพราะเสียงตะคอก เขาก้มหน้าพูดว่า “ข้า ข้าตกลงมาจากต้นไม้”
เจ้าใหญ่เจี่ยพูดด้วยความโมโห “ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าตกลงมาจากต้นไม้ ข้าถามเจ้าว่าใครทำให้เจ้าตกลงมา”
ขณะที่เขาพูด ดวงตากลับจ้องเขม็งไปทางไป๋จื่อด้วยความเย็นชา
ทีแรกเด็กชายเอาแต่เงียบ จนสุดท้ายทนความน่ากลัวของเจ้าใหญ่เจี่ยและมารดาของตนเองไม่ไหว จึงกล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ข้าตกลงมาเอง”
เมื่อเจ้าใหญ่เจี่ยได้ยินดังนั้น เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟในทันที เพราะนี่ไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้ยินเอาเสียเลย
เขาเงื้อมือตบหน้าของตงจื่อครั้งหนึ่ง ใบหน้าที่เดิมทีซีดขาวอยู่แล้ว พลันปรากฏรอยนิ้วมือสีแดงเถือก แก้มบวมปูด “พูดความจริง ตกลงใครเป็นคนทำให้เจ้าตกลงมา”
ตงจื่อร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด พูดเสียงสะอึกสะอื้น “ข้าตกลงมาเองจริงๆ”
ไป๋จื่อนับว่าเข้าใจแล้ว สองสามีภรรยาคู่นี้จงใจขู่กรรโชกนางชัดๆ ตงจื่อพูดออกมาชัดเจนแล้ว แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับ ต้องการให้เขาเอ่ยปากใส่ร้ายนางให้ได้
นางจึงกล่าวกับพวกเขาทั้งสองคนว่า “ข้าเห็นเด็กผู้ชายสองคนข้างนอกป่า พวกเขาเหมือนตกใจกลัวอะไรสักอย่าง ตอนวิ่งออกไปดูรีบร้อนนัก ข้ารู้จักเด็กคนหนึ่งในนั้น เขาเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านหวังต้าหนิว ข้าเคยเจอเขา เพราะเขากับหวังต้าหนิวมาซื้อข้าวที่บ้านข้า”
เจ้าใหญ่เจี่ยขมวดคิ้ว “เจ้าอยากพูดอะไร”
ไป๋จื่อยิ้มจาง “สิ่งที่ข้าอยากบอกเจ้าก็คือ ก่อนหน้าที่ข้าจะเข้ามาในป่านี้ ลูกชายของเจ้าก็ตกลงมาจากบนต้นไม้แล้ว ส่วนเด็กผู้ชายที่รีบร้อนวิ่งออกไปสองคนนั้น จะต้องเห็นลูกชายของเจ้าตกลงจากต้นไม้แน่ๆ ก็เลยตกใจวิ่งหนีออกไปเช่นนั้น หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้วิ่งหนี แต่รีบไปตามผู้ใหญ่มาช่วย พวกเจ้าถึงได้รีบมาที่นี่เช่นนี้ ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”
เจ้าใหญ่เจี่ยขมวดคิ้วมุ่น ไป๋จื่อพูดถูกต้อง บุตรชายคนสุดท้องของหวังต้าหนิวบอกพวกเขา ว่าตงจื่อของพวกเขาบาดเจ็บจริงๆ พวกเขาถึงได้มาถึงด้วยความร้อนใจเช่นนี้ และคิดไม่ถึงเช่นกันว่าไป๋จื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย ในเมื่อนางอยู่ ทั้งยังลงไม้ลงมือกับบุตรชายของเขาอีก เช่นนั้นเขาย่อมไม่มีทางปล่อยนางไปแน่
เขาแค่นหัวเราะ “ไม่มีใครบอกข้าว่าตงจื่อบาดเจ็บอยู่ที่นี่ พวกข้ามาตามตงจื่อกลับไปกินข้าวที่บ้าน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเจ้าทำร้ายตงจื่อเช่นนี้”
ไป๋จื่อมองใบหน้าน่าเกลียดของเจ้าใหญ่เจี่ย ไฟโทสะที่โหมอยู่ในใจพลันหายไป ไม่มีประโยชน์ พูดกับเขาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดหรืออธิบายอะไร เขาก็ไม่ยอมฟังสักอย่าง ในใจของเขาตอนนี้คิดจะหลอกเงินจากนางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นางยักไหล่ “ตามใจเจ้าแล้วกัน คนฉลาดจะยอมรับว่าไม่รู้ ส่วนคนโง่มักจะอวดอ้างว่ารู้ทุกสิ่ง ความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ข้าว่าพวกเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าเองก็ไม่อยากพูดมากกับพวกเจ้านักหรอก”
เด็กสาวเก็บกระบอกไม้ไผ่ที่โยนทิ้งไปขึ้นมา ก่อนจะพูดกับเจ้าใหญ่เจี่ยว่า “ขอแนะนำพวกเจ้าสักคำแล้วกัน หากไม่อยากให้ลูกตัวเองเป็นคนพิการ ตอนนี้รีบพาเขาไปรักษากับท่านหมอลู่โดยเร็วย่อมดีที่สุด”
หลังจากพูดจบ นางก็ถือกระบอกไม้ไผ่เดินไปยังต้นซานจาที่อยู่ไกลออกไป
เจ้าใหญ่เจี่ยคิดตามนางไปหมายจะเอาเงิน ทว่าชายหญิงอีกหลายคนที่ตามเขามาด้วยกลับรั้งเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าใหญ่เจี่ย รักษาบาดแผลให้ลูกชายเจ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่านะ เจ้ามีลูกชายคนเดียว หากชักช้ารักษาไม่ทันกาล กลายเป็นคนพิการก็ถือว่าจบเห่”
พวกเขาหลายคนล้วนไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เจ้าใหญ่เจี่ยต้องการขู่เอาเงินจากไป๋จื่ออย่างเห็นได้ชัด พวกเขาตามมาเพราะมีเจตนาดี อยากจะช่วยตงจื่อที่เกิดเรื่องขึ้นที่นี่อย่างคาดไม่ถึง ไม่ได้ต้องการช่วยเจ้าใหญ่เจี่ยหลอกวงผู้อื่น
ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋จื่อใช่ว่าเป็นคนที่จะยอมถูกรังแกง่ายๆ ตอนนี้นางไม่เพียงไม่เงินทอง ยังมีคนคอยปกป้องอีกต่างหาก
……….
ตอนที่ 350 บุรุษที่พึ่งพาได้
หูเฟิงและอาอู่ผู้นั้นล้วนเป็นยอดฝีมือที่สามารถฆ่าเสือและหมาป่าได้ หากทั้งสองคนรู้ว่าพวกเขาช่วยเจ้าใหญ่เจี่ยรังแกไป๋จื่อ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะมีจุดจบเช่นไรกัน
หูเฟิงคงไม่หักแขนของพวกเขา เหมือนที่ทำกับเจ้าใหญ่ไป๋ใช่หรือไม่
ดังนั้นโน้มน้าวเจ้าใหญ่เจี่ยกลับไปก่อนดีกว่า เมื่อกลับถึงหมู่บ้านแล้ว เรื่องนี้ก็นับว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก หลังจากเจ้าใหญ่เจี่ยจะหาเรื่องใคร นั่นก็เป็นการกระทำอันเกิดจากเขาเพียงผู้เดียวแล้ว
แม่ตงจื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันร้อนใจ “ตงจื่อจะพิการไม่ได้ ต่อไปข้าหวังให้เขาเลี้ยงดูจนแก่เฒ่า รีบแบกเขากลับไปรักษาก่อนค่อยว่ากัน เด็กสาวผู้นี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน จะยังหนีไปไหนได้อีก พวกเรากลับไปแล้วค่อยคิดบัญชีกับนางก็ได้”
เจ้าใหญ่เจี่ยก็ไม่อยากให้บุตรชายกลายเป็นคนพิการ จึงยอมรับฟังคำแนะนำของทุกคน แบกบุตรชายขึ้นหลัง เร่งฝีเท้าออกจากผืนป่าไป
ตงจื่อเพิ่งอายุแปดปี ยังนับว่าเป็นเด็ก เขาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง ว่าเหตุใดท่านพ่อกับท่านแม่ถึงไม่เชื่อคำพูดของเขา เหตุใดถึงยืนกรานว่าพี่สาวสกุลไป๋เป็นคนผลักเขาตกลงมาจากบนต้นไม้กัน
พี่สาวสกุลไป๋ช่วยเขาไว้แท้ๆ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่เชื่อ
ไป๋จื่อวนเวียนอยู่ใต้ต้นซานจารอบหนึ่ง แต่ตรงที่กระบอกไม้ไผ่จะยืดไปถึงได้ กลับไม่มีผลซานจาแม้สักลูก แม้สักลูกเดียวก็ไม่มี
กิ่งไม้และใบไม้แผ่ขยายอยู่จนเต็มต้น มีบางกิ่งก้านที่หักไปแล้วด้วยซ้ำ ดูท่าทางนางจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง เด็กซนในหมู่บ้านพวกนั้น วันๆ ไม่มีขนมอะไรให้พวกเขากินได้ เมื่อผลซานจาสุกแล้ว พวกเขาย่อมไม่ปล่อยไว้แน่
นางกลับไปยังใต้ต้นไม้ที่ตงจื่อตกลงมาจนบาดเจ็บเมื่อครู่ นี่เป็นต้นซานจาเดียวที่สูงที่สุด บนยอดยังเหลือผลซานจาที่ไม่ยังไม่มีใครเก็บไปจำนวนหนึ่ง ทว่ากระบอกไม้ไผ่ไม่มีทางยืดไปถึงบริเวณที่สูงขนาดนั้นได้ ผลซานจาที่อยู่ตรงนั้นลูกใหญ่เป็นพิเศษ แค่มองก็ทำให้น้ำลายไหลแล้ว มิน่าเล่าตงจื่อถึงได้กล้าเสี่ยงปีนต้นไม้เช่นนั้น
ตอนเด็กๆ นางปีนต้นไม้อยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าอยู่บ่อยครั้ง เพื่อเก็บผลท้อป่าบนต้นไม้กิน จนเกือบจะตกลงมาจากบนนั้น นางตกใจแทบตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็ไม่ได้ปีนต้นไม้อีกเลย
ต้นซานจาที่อยู่ตรงหน้านี้มีลำต้นใหญ่ แข็งแรง แผ่กิ่งก้านสาขาไปเต็มต้น มีกิ่งใหญ่ที่สามารถใช้เท้าเหยียบได้อยู่ทั่ว แต่คิดจะปีนขึ้นไปน่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย
นางเงยหน้ามองผลซานจาที่อยู่บนนั้น ในใจลังเลเป็นอย่างยิ่ง ว่าควรเสี่ยงอันตรายเพื่อผงซานจาไม่กี่ลูกหรือไม่
ทว่านางนึกถึงใบหน้าเล็กน่ารัก ไร้เดียงสาของหรูเอ๋อร์ นึกถึงรอยยิ้มแห่งความเบิกบานใจยามนางรับปากว่าจะทำถังหูลู่ให้ ความตื่นเต้นและคาดหวังในดวงตาคู่นั้น ทำให้นางไม่อาจผิดคำพูดได้เป็นอันขาด นางจะไม่ทำให้หรูเอ๋อร์ผิดหวังอย่างแน่นอน
ไป๋จื่อโยนกระบอกไม้ไผ่ทิ้งไป ถลกแขนเสื้อขึ้น เกาะลำต้นปีนขึ้นไปทีละนิด การปีนต้นไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นที่นางจินตนาการไว้ เสียแรงไปยกใหญ่แล้วเพิ่งจะปีนขึ้นมาได้ถึงลำต้นท่อนแรก ทว่ายังห่างจากผลซานจาอีกสองท่อนของลำต้น
กิ่งไม้หักบนลำต้นข่วนแขนของนางแล้ว นางก็คิดเสียว่ามองไม่เห็น ปีนขึ้นด้านบนต่อไป ในที่สุดก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นทักษะการปีนต้นไม้ ท่าทางของนางคล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ปีนมาถึงลำต้นท่อนที่สาม ขอเพียงยืนขึ้น นางก็จะยื่นมือไปเก็บผลซานจาได้แล้ว
ขณะนี้หูเฟิงเร่งฝีเท้าตามมา เห็นไป๋จื่อปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดของต้นซานจาต้นหนึ่งแต่ไกล นางกำลังยืนขึ้นทั้งๆ ที่ตัวสั่น คิดจะเก็บผลซานจาที่อยู่บนยอดต้นไม้พวกนั้น
ทันใดนั้นเอง เขาเห็นงูสีเดียวกับกิ่งไม้ตัวหนึ่งกำลังเข้าใกล้นางจากอีกด้าน มันแลบลิ้นยาวๆ ของมันออกมาไม่ยอมหยุด ร่างกายที่บางและยาวค่อยๆ ยกขึ้นอย่างเชื่องช้า ทำท่าทางเตรียมจู่โจม
เขาตกใจจนหน้าถอดสี ตะโกนเรียกไป๋จื่อเสียงดัง “ระวัง มีงู!”
ไป๋จื่อก็พบว่ามีงูอยู่ใกล้ๆ แล้วเช่นกัน เมื่อเห็นว่างูตัวนั้นเข้ามาใกล้ ร่างกายของนางจึงเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ แต่นางลืมไปว่าตนเองไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นดิน ตอนนี้นางยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงกลางอากาศ การเบี่ยงตัวหลบครั้งนี้ทำให้นางยืนไม่มั่นคง ร่างจึงหงายตกลงไปด้านล่าง