ที่ทางเข้า ‘ผับ’

“ฉันบอกพวกแกเอาไว้เลย ถ้าวันนี้ฉันไม่เห็นน้องอวี้ของฉันออกมา ฉันจะบุกเข้าไปข้างในแล้วทำลายทุกอย่างรวมถึงชีวิตของพวกแกทุกคน!”

โจวเฟยหู่ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล แต่ในใจของเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะเดาว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่น่าจะตอบรับคำเชิญคนอย่างหยวนหลง แต่ถ้าหากเรื่องราวมันกลับตาลปัตรไม่เป็นแบบที่เขาคิด เขาจะทำยังไงดี? ผลลัพธ์ที่ตามมาเขาจะเสียหายขนาดไหนกัน?

“น้องอวี้!”

ในขณะที่โจวเฟยหู่กำลังกังวล เขาก็เห็นอวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านในผับ ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นผสมกังวล

“น้องอวี้ ไอ้คนพวกนี้มันรังแกอะไรนายรึเปล่า นายบอกฉันได้เลยวันนี้พวกฉันทุกคนพร้อมที่จะทวงความยุติธรรมให้นาย!”

โจวเฟยหู่ตะโกนถามต่อเสียงดังอย่างอบอุ่นพร้อมกับเบนสายตาไปจ้องเขม็งที่หยวนหลงซึ่งกำลังเดินตามออกมาเช่นกัน

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ด้านนอก เขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

คนของโจวเฟยหู่ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้เอาไว้ทุกด้าน!

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมหยวนหลงถึงยอมให้เขาออกมาได้ง่ายนัก

ดูเหมือนว่านอกจากจะกลัวความแข็งแกร่งของเขาแล้ว การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ของโจวเฟยหู่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หยวนหลงจำใจยอมเขาเช่นกัน

“ผมไม่เป็นอะไร ผมแค่มาถามอะไรพวกเขานิดหน่อยแค่นั้นเอง พวกคุณไม่ต้องตื่นเต้นมากขนาดนั้น”

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และพบว่าขณะนี้ผู้คนนับร้อยของโจวเฟยหู่กำลังมองเขาเป็นสายตาเดียวกัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยเพราะอุตส่าห์บอกไปแล้วว่าไม่ต้องตามมา

หยวนหลงจะทำอะไรเทพอย่างเขาได้ยังไง?

“คุณคิดว่าแก็งค์มังกรครามจะทำอะไรผมได้งั้นเหรอ? สั่งให้คนของคุณถอยกลับไปให้หมดได้แล้ว และหยวนหลง นายเองก็บอกให้คนของนายถอยกลับเข้าไปข้างในด้วย!”

เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานจ้อมเขม็งไปที่โจวเฟยหู่ก่อน จากนั้นเขาจึงหันกลับไปจ้องที่หยวนหลงด้วยสายตาบงการ

ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นบุคคลที่โลดแล่นอยู่ในวงการโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันมานาน แต่ภายใต้สายตาการจ้องมองของอวี้ฮ่าวหรานขณะนี้ มันก็ทำให้จิตใจของพวกเขาทั้งสองบังเกิดความกลัวในแบบที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้น

ชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาจะขัดใจได้!

“ได้เลย ได้เลย! น้องอวี้ ฉันจะให้คนของฉันถอยกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเหยียนก็เป็นคนแรกที่รีบพยักหน้าและโบกมือสั่งให้คนของเขาแยกย้ายกันกลับขึ้นรถไปให้หมดทันที

แน่นอนว่าบรรดาสมาชิกแก็งค์พยัคฆ์เวหาต่างรู้สึกอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นว่าลูกพี่ของพวกเขาไม่ขัดขืนกับคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเลยแม้แต่น้อย

“พวกแกทุกคนไม่ได้ยินที่รองหัวหน้าแก๊งหวังบอกเหรอ แยกย้ายกันกลับไปให้หมดเดี๋ยวนี้!”

เมื่อเห็นว่าสมาชิกแก๊งของตัวเองยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้ามึนงง โจวเฟยหู่จึงตะโกนขึ้นดังลั่นสั่งอีกรอบด้วยสีหน้าหงุดหงิด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หยวนหลงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาหันกลับไปสั่งกับคนของเขาเช่นกัน “ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว พวกแกทุกคนก็เข้าไปด้านในผับก่อน”

อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายแสดงท่าทีแยกย้ายจากกัน เขาจึงเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าผับ

แต่แล้วในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานขึ้นรถและติดเครื่องยนต์เรียบร้อย หยวนหลงก็เดินปรี่เข้ามาหาที่ข้างประตูและเคาะกระจกประตูรถเบา ๆ

หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานเลื่อนกระจกรถลง หยวนหลงพลันเอ่ยขึ้นทันที “น้องอวี้ ถึงแม้ว่าวันนี้พวกเราจะคุยกันได้ไม่ราบรื่นนัก แต่ได้โปรดอย่าคิดมาก ฉันหวังว่าเราสองคนจะ…”

ในระหว่างที่พูดร่ายคำขอโทษวนไปวนมาราวกับจงใจยืดเวลาสนทนาให้นาน ๆ มากขึ้น หางตาของหยวนหลงนั้นกลับให้ความสนใจไปที่โจวเฟยหู่เป็นพิเศษ

นี่คือกลยุทธ์เล็ก ๆ ของเขา เนื่องจากตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเขาไม่สามารถเอาชนะใจอวี้ฮ่าวหรานได้แน่นอน ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเขาสามารถทำให้โจวเฟยหู่ระแวงในตัวอวี้ฮ่าวหรานได้บ้าง

แน่นอนว่าเมื่อเห็นภาพนี้ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของโจวเฟยหู่ก็ขมวดคิ้วแน่นทันที

ดูจากท่าทางการคุยที่ดูเป็นมิตรแบบนี้ มันไม่เห็นเหมือนว่า อวี้ฮ่าวหรานจะถูกอีกฝั่งบังคับขู่เข็ญอะไรเลย?

พวกเขาดูเหมือนเป็นพันธมิตรกันแล้วด้วยซ้ำ!

“หัวหน้าใหญ่ หยวนหลงและอวี้ฮ่าวหรานดูสนิทกันมากเลย เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อครู่พวกเขาตกลงร่วมมือกันเรียบร้อยแล้ว?”

“ไร้สาระ! ฉันคือคนที่เข้าใจน้องอวี้มากกว่าพวกแกทั้งหมด อย่าพูดอะไรเยอะให้เสียเรื่อง!”

โจวเฟยหู่โกรธทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแคลงใจของลูกน้องตัวเอง

เขาเชื่อว่าตัวเองพอจะดูคนออก คนอย่างหยวนหลงไม่มีทางซื้อใจอวี้ฮ่าวหรานได้สำเร็จแน่นอน ภาพที่เกิดขึ้นขณะนี้มันต้องเป็นแค่การแสดงละครของหยวนหลงเท่านั้น!

ที่ข้างรถ

“หุบปากแล้วไสหัวออกไปให้ห่าง ๆ จากรถของฉันซะ!”

หลังจากฟังคำพูดที่ไร้สาระของหยวนหลงได้ครู่หนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็รู้ทันแผนการของอีกฝ่ายได้ในทันที ในทันทีที่เขาตวาดใส่ฝั่งตรงข้ามจบ เขาพลันกระทืบคันเร่งอย่างแรงและจากไปด้วยสายตาเย็นชา

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานจากไป หยวนหลงก็เดินเข้าไปหาโจวเฟยหู่ที่กำลังแสดงสีหน้าเยาะเย้ย

แม้ว่าความแข็งแกร่งของโจวเฟยหู่จะด้อยกว่าเขา แต่กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้ของโจวเฟยหู่นั้นแข็งแกร่งมากจนทำให้แก็งค์ของพวกเขามีอิทธิพลอยู่ในระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว การที่โจวเฟยหู่มีคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานเป็นพันธมิตร ….มันย่อมหมายความว่าแก็งค์มังกรครามของเขาเริ่มจะเสียเปรียบ!!

“หึหึ โจวเฟยหู่ ฉันล่ะอิจฉาแกจริง ๆ ที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งได้ขนาดนั้น”

โจวเฟยหู่หัวเราะเยาะเย้ยสั้น ๆ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปขึ้นรถของตัวเองโดยไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย

หลังจากทุกคนแยกย้ายไปจนหมด เหงื่อเม็ดเป้ง ๆ ก็เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของหยวนหลง

เมื่อครู่สายตาบงการของอวี้ฮ่าวหรานที่จ้องมองเขามันทำให้เขารู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคยมาก!

นั่นคือความผันผวนของพลังวิญญาณ!

มันคือพลังวิญญาณที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตก่อรากฐานเท่านั้นที่จะมีได้!

เมื่อลองนึกย้อนไปดู เมื่อครู่มันไม่ต่างอะไรกับว่าเขากำลังเล่นกับไฟอยู่จริง ๆ!

หลังจากที่ขับรถออกมาได้สักพัก อารมณ์ของอวี้ฮ่าวหรานก็ค่อยเปลี่ยนเป็นปกติ

ไม่นานนัก อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถไปถึงหน้าโรงเรียนอนุบาลแอปเปิลแดง

“พ่อจ๋า!”

ทันทีที่ถวนถวนเดินออกจากประตูและเห็นอวี้ฮ่าวหราน เด็กน้อยก็พลันตะโกนเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าเบิกบานทันที

“เป็นยังไงบ้างลูกพ่อ วันนี้สนุกไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานยกเด็กน้อยขึ้นมาอุ้มและถามด้วยแววตาอ่อนโยน

“ฮี่ฮี่ ตอนนี้มีแต่คนชอบถวนถวน พ่อจ๋าดูสินี่คือของเล่นที่เสี่ยวลี่มอบให้หนู!”

เจ้าตัวเล็กอวดอย่างมีความสุข

“เอ่อ… คุณอวี้…”

ขณะนั้นสวีรุ่ยกำลังเดินออกจากประตูโรงเรียนโดยถือกระเป๋าใบเล็ก ๆ และเมื่อเธอเห็นเขาที่ประตู เธอก็เดินเข้ามาหา

“ขอบคุณมากจริง ๆ สำหรับเรื่องเมื่อสองวันก่อน พ่อคอยบอกฉันเสมอว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ป่านนี้พ่อของฉันก็ยังคงไม่รู้จริง ๆ ว่าจะจ่ายหนี้พวกนั้นยังไงหมด”

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น พวกอันธพาลก็ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาให้กับเธออีก และยิ่งไปกว่านั้นคนแซ่เซี่ยถึงกับไปเยือนบ้านเธออีกรอบเพื่อเอาของขวัญไปขอขมาเธอและพ่ออีกต่างหาก

ท่าทีของคนแซ่เซี่ยตอนนี้ต่อพ่อของเธอนั้นสุภาพราวกับว่าพ่อของเธอเคยไปเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาเอาไว้ยังไงยังงั้น…

“อืม ไม่เป็นอะไรหรอก นับจากนี้ผมขอให้คุณกับพ่อมีความสุขมาก ๆ ก็แล้วกัน”

อวี้ฮ่าวหรานกอดถวนถวนพลางมองไปที่ครูอนุบาลที่ไร้เดียงสาคนนี้ เขารู้สึกยินดีที่เห็นว่าอีกฝ่ายสามารถเริ่มต้นชีวิตปกติได้

จากนั้นเขาและสวีรุ่ยก็ได้สนทนากันต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะร่ำลาและแยกย้ายกันไป

ระหว่างทางกลับบ้าน ถวนถวนพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

“พ่อจ๋า ครูสวีใจดีกับหนูมากเลย เดี๋ยวนี้คุณครูทำอาหารมาให้หนูกินตอนกลางวันทุกวันเลย!”

คำพูดที่ไร้เดียงสานี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานฟังแล้วโล่งใจมาก การที่สวีรุ่ยดูแลลูกสาวของเขาเป็นอย่างดีที่โรงเรียน มันทำให้เขารู้สึกไม่เสียเปล่าที่ช่วยฝั่งตรงข้ามไปมากขนาดนี้

เมื่อกลับไปถึงห้อง อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นว่าหลี่หรงกลับมาถึงก่อนแล้วและกำลังยุ่งอยู่ในครัว

พอถึงเวลาหกโมงเย็น อาหารมากมายหลายอย่างก็ถูกจัดอยู่บนโต๊ะอย่างพร้อมพรั่ง ราวกับเป็นมื้อค่ำในโรงแรมห้าดาว

อวี้ฮ่าวหรานที่เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบิกบาน เพราะทักษะการทำอาหารของหลี่หรงไม่ได้ด้อยไปกว่าหลี่เม่ยเลย