ตอนที่ 105 ใช้แผนล่อลวง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 105 ใช้แผนล่อลวง

มิมีผู้ใดรู้ว่ามู่จวินฮานและอันหลิงเกอสนทนาเรื่องอันใดกันที่ด้านหลังภูเขา อันหลิงเฉว่ก็เห็นแค่เพียงทั้งสองเดินออกมาจากด้านหลังภูเขาด้วยกัน หนุ่มหล่อสาวงามคล้ายหลุดออกมาจากภาพวาดกำลังเดินเคียงคู่กันจนทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกริษยา

อันหลิงเฉว่จ้องมองรูปร่างสูงใหญ่ของมู่จวินฮาน ชุดสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมดำสสวย ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาจุติ แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบร่าง เป็นเหตุให้ทั่วกายมีประกายส่องสว่างออกมาและดวงตาที่เป็นประกายนั้นทำให้บรรดาคุณหนูมิอาจละสายตาไปจากมู่จวินฮานได้เลย

เขาช่างรูปงามมิเหมือนผู้ใดเสียจริง

จากนั้นอันหลิงเฉว่ก็ถอนหายใจอย่างมิสบอารมณ์เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอันหลิงเกอเดินเคียงคู่มู่จวินฮาน ใบหน้าที่กำลังหลงใหลถูกแทนที่ด้วยความหึงหวงที่มิอาจปกปิดอีกต่อไป

เมื่ออันหลิงเฉว่เห็นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ นางก็ดึงตัวเจียงหนิงให้รีบเดินไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน

ในยามที่เดินไปถึงตัวอันหลิงเกอ อยู่ ๆ ข้อเท้าของอันหลิงเฉว่ก็พลิกแล้วล้มไปทางมู่จวินฮาน

มู่จวินฮานสายตาว่องไวและมีไหวพริบก็รีบเอื้อมมือไปประคองอันหลิงเฉว่ทันที จากนั้นก็รีบปล่อยมือและถอยห่างจากนางหลายก้าว

อันหลิงเฉว่ยิ้มอย่างเขินอาย “เมื่อครู่นี้ อยู่ ๆ ข้าก็ข้อเท้าพลิกจนเกือบล้มเสียแล้ว หากมิได้มู่ซื่อจื่อช่วยไว้ ข้าต้องล้มจนบาดเจ็บ ต้องขอบคุณมู่ซื่อจื่อที่ช่วยข้าเอาไว้เจ้าค่ะ”

คำขอบคุณและท่าทีอ่อนโยนที่อันหลิงเฉว่แสดงออกมา เป็นเหตุให้อันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่น

เมื่อคิดได้ว่าท่าทีเยี่ยงนี้มีจุดประสงค์อันใด นางก็ส่งเสียง ฮึ ! ออกมาหนึ่งครา รอยยิ้มสง่างามบนใบหน้าจางหายไป

“ในเมื่อข้อเท้าของน้องหญิงรองมิดีก็ควรอยู่แต่ในห้องเรียน อย่าเที่ยววิ่งไปทั่วเยี่ยงนี้ หากเจ้าเป็นอันใดขึ้นมา ข้ามิรู้ว่าจักอธิบายต่ออาสะใภ้สามเยี่ยงไร”

อันหลิงเกอกล่าวว่านางข้อเท้ามิดีและเหมือนคนแก่เดินเหินมิสะดวกเยี่ยงนั้นหรือ !

ใบหน้าที่อ่อนโยนของอันหลิงเฉว่แทบบึ้งตึงด้วยโทสะ ทว่านางยังสามารถข่มอารมณ์และรักษารอยยิ้มอ่อนหวานไว้บนใบหน้า แม้ในความเป็นจริงนางกำลังกัดฟันด้วยความแค้นอยู่ก็ตาม “ขอบคุณพี่หญิงใหญ่ที่เป็นห่วงข้า เพียงแต่ข้ามีร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย ถ้าดูแลร่างกายให้ดีกว่านี้อีกหน่อยก็มิเป็นอันใดแล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ท่านมิต้องเก็บไปใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ”

อันหลิงเฉว่พูดราวกับว่าเมื่อตนกลับเข้ามาอยู่ในจวนโหวก็ทุกข์ใจทุกข์กายจนสุขภาพอ่อนแอ มิเหมือนตอนอยู่ที่เรือนเดิมกับฮูหยินผู้เฒ่า

อันหลิงเฉว่กล่าวพร้อมก้มหน้าลงอย่างน่าสงสารและพยายามเผยใบหน้าอีกด้านหนึ่งให้มู่จวินฮานเห็น

นางคิดว่านี่คือมุมสวยที่สุดตอนมองตัวเองในกระจก แม้จักมิงดงามเท่าอันหลิงเกอ แต่ก็น่ารักและน่าเอ็นดู นางมิเชื่อว่าหากมู่จวินฮานเห็นแล้วหัวใจจักมิเต้นแรง

ผู้ใดเล่าจักล่วงรู้ว่าหลังจากที่มู่จวินฮานประคองอันหลิงเฉว่แล้วก็มิเห็นนางอยู่ในสายตาอีกเลย

อันหลิงเฉว่เห็นท่าทีที่มู่จวินฮานมิสนใจตนจึงเริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมา แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจียงหนิงที่ตามมาด้วยก็เริ่มมีความหวัง นางจึงฝืนยิ้มให้อันหลิงเกอแล้วกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ ข้าได้ยินว่าดอกไม้ที่ลานด้านหน้าของสำนักศึกษากำลังเบ่งบาน ข้าและคุณหนูเจียงกำลังจักไปเที่ยวชมดอกไม้เหล่านี้ ท่านอยากไปกับพวกเราหรือไม่เจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอมิอยากตามพวกนางไปดูดอกไม้อันใดนั่นหรอก แต่ก็มิอาจปฏิเสธลูกพี่ลูกน้องแล้วเลือกอยู่กับคู่หมั้นได้ หากทำเยี่ยงนั้นต้องโดนนินทาอย่างแน่นอน

หากอันหลิงเฉว่มิได้เอ่ยชวนก็ว่าไปอย่าง อันหลิงเกอกับมู่จวินฮานจักอยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อยก็มิเป็นไร แต่อันหลิงเฉว่กล่าวชวนก็ทำให้อันหลิงเกอได้แต่ตกปากรับคำ

“เยี่ยงนั้นก็ดี ข้ายังมิเคยเห็นดอกไม้ที่สำนักศึกษาจิงตู ลองไปเที่ยวชมว่าดอกไม้ที่นี่จักงดงามกว่าดอกไม้ในจวนโหวของเราหรือไม่”

อันหลิงเฉว่ยิ้มอย่างดีใจ หางตาและคิ้วแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจที่สามารถขัดขวางการอยู่ร่วมกันระหว่างอันหลิงเกอและมู่จวินฮานได้

จากนั้นอันหลิงเฉว่ก็จับมืออันหลิงเกอและพาเดินออกมาพร้อมพูดอย่างร่าเริง “ดอกไม้ฝั่งนั้นสวยงามยิ่งนัก ข้าคิดว่าหากพี่หญิงใหญ่ได้เห็นต้องชอบแน่นอนเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอทำเพียงคลี่ยิ้มให้อันหลิงเฉว่ ทว่าดวงตาสีดำกลับไร้อารมณ์ความรู้สึก ในตอนนี้อันหลิงเกอค่อย ๆ ก้าวตามอันหลิงเฉว่และเจียงหนิงอยู่ทางด้านหลัง

เมื่อเดินไปถึงลานด้านหน้าสำนักศึกษาจิงตูก็เห็นดอกไม้หลากสีงดงามและบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บ่งบอกได้ว่าดอกไม้เหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างดีซึ่งเป็นฝีมือของชาวสวนในวังแน่นอน

ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังชื่นชมดอกโบตั๋นสีไข่มุกอยู่นั้น อันหลิงเฉว่ก็ใช้มือผลักด้านหลังของอันหลิงเกอไปทางพุ่มดอกโบตั๋นซึ่งบริเวณนั้นมีหนามขนาดน้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด !

อันหลิงเกอรู้สึกว่าถูกผลักจากด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือผู้ใด เดิมทีนางคิดว่าอันหลิงเฉว่ปรารถนาในตัวมู่จวินฮาน แต่คาดมิถึงว่าอีกฝ่ายเพิ่งพบหน้ามู่จวินฮานครั้งเดียวก็กล้าลงมือกับตนเสียแล้ว ด้วยความที่อันหลิงเกอมิทันระวังจึงเซไปตามแรงผลักของอันหลิงเฉว่แล้วอยู่ห่างจากพุ่มหนามเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น

ใบหน้าของอันหลิงเฉว่ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา ใบหน้าที่บริสุทธิ์ดุจดอกบัวสีขาวในตอนนี้เต็มไปด้วยความเย้นหยันพร้อมคิดในใจว่า

ฮึ ! บุตรสาวคนโตแห่งจวนโหวแล้วเยี่ยงไร หากใบหน้าอันงดงามเสียโฉม ข้าจักดูว่านางยังแต่งกับมู่ซื่อจื่อได้หรือไม่ !

ถ้าอันหลิงเกอมิได้มีใบหน้างดงามแล้ว ตนย่อมเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับมู่ซื่อจื่อที่สุดและนางต่างหากที่คู่ควรต่อการเป็นหวางเฟย !

ทว่าตอนที่อันหลิงเฉว่กำลังยิ้มอย่างได้ใจก็มีแรงดึงกระชากข้อมือของนาง เป็นเหตุให้นางล้มลงพร้อมกับอันหลิงเกอ แรงกระชากนั้นมิใช่ใครที่ไหน แต่คืออันหลิงเกอที่ใช้โอกาสขยับตัวไปด้านข้าง เมื่อรู้ว่าตนกำลังจะล้มก็ดึงกระชากมือของอันหลิงเฉว่ลงมาด้วย

อันหลิงเฉว่เลี่ยงมิได้หลบมิทันจึงล้มไปที่พุ่มหนามเหล่านั้น

“ว้าย ! ใบหน้าของข้า ! ”

อันหลิงเฉว่ส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น หลังจากเสียงร้องดังขึ้นใบหน้าของนางก็มีโลหิตไหลออกมา

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น ? ” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนถามมาจากที่มิไกล อันหลิงเกอจึงเงยหน้ามองตามเสียงนั้นก็เห็นร่างสูงใหญ่ของมู่จวินฮานกำลังเดินเข้ามา

อันหลิงเฉว่ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน นางใช้มือปกปิดใบหน้าไว้ข้างหนึ่งแต่ยังมิลืมหันไปมองมู่จวินฮาน

อันหลิงเฉว่ได้เห็นมู่จวินฮานในเวลานี้ก็รู้สึกว่าเขาช่างหล่อเหลากว่าตอนที่นางชำเลืองมองเมื่อครู่เสียอีก ท่าทางน่าเกรงขามและกล้าหาญของเขาทำให้นึกถึงวีรบุรุษผู้กล้าในนิทานพื้นบ้าน

รวมทั้งใบหน้าก็มีเสน่ห์มาก แววตาสุขุมนุ่มลึกคาดเดายาก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเป็นสีแดง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าของเขาราวกับปิศาจในคราบหนุ่มรูปงามก็มิปาน

แม้สวมใส่เพียงอาภรณ์สีขาว ทว่ามีความเปล่งประกายมิเหมือนใคร

บุรุษหน้าหยก รักอิสระ คุณชายที่มีหนึ่งเดียวมิมีสอง ในขณะที่อันหลิงเฉว่กำลังจ้องมองมู่จวินฮานอย่างหลงใหลและพรรณนาเพ้อฝันอยู่นั้น มู่จวินฮานก็มายืนอยู่ตรงหน้าพวกนางแล้ว

เมื่อได้สติอันหลิงเฉว่จึงรีบเก็บเสียงร้องแล้วใช้มืออีกข้างปิดใบหน้าที่บาดเจ็บเอาไว้

พร้อมกันนั้นก็รีบลุกขึ้นด้วยท่าทางอ่อนโยนและกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “พี่หญิงใหญ่ ข้าเคารพและสนิทชิดใกล้ท่านมาโดยตลอดจึงชวนมาชมดอกไม้ด้วยกัน แล้วเหตุใดท่านต้องแกล้งข้า ท่านผลักข้าลงในพุ่มดอกไม้ที่มีหนาม คิดจักทำให้ข้าเสียโฉมหรือเจ้าคะ ! ”

อันหลิงเฉว่กล่าวพร้อมเผยดวงตาที่มีน้ำใสคลออยู่ ในแววตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

คาดว่าอึดใจต่อมานางต้องร้องไห้อย่างแน่นอน

มิว่าผู้ใดได้เห็นสาวงามเยี่ยงอันหลิงเฉว่ร้องไห้ก็ต้องรู้สึกปวดใจทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่มิใช่มู่จวินฮานผู้ฉลาดและรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยม เขาจึงมิหลงเชื่อในละครฉากที่อันหลิงเฉว่แสดงอยู่

เมื่อคิดได้ว่าอันหลิงเฉว่กำลังเสแสร้งอยู่นั้น มู่จวินฮานจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายของนาง เป็นเหตุให้อันหลิงเฉว่เคว้งในทันที

จากนั้นเขาก็หันไปมองอันหลิงเกอแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายจึงหันไปถามเจียงหนิงว่า “ คุณหนูเจียง เรื่องราวเป็นเยี่ยงไรกันแน่ ? ”

เจียงหนิงมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เดิมทีนางเดินชมดอกไม้อยู่ดี ๆ ทว่าพวกนางสองคนก็ล้มลงเยี่ยงนั้นจึงทำให้นางตกใจมาก ยิ่งในตอนที่เห็นใบหน้าของอันหลิงเฉว่เต็มไปด้วยบาดแผลก็ยิ่งตกใจ

นางหันไปมองอันหลิงเฉว่แล้วกล่าวด้วยความลำบากใจ “อาจเพราะคุณหนูใหญ่อันมิระวังจนผลักโดนเฉว่เอ๋อเข้า ข้าเห็นเพียงตอนที่พวกนางล้มลงไปแล้วเจ้าค่ะ”

แม้เจียงหนิงมิรู้สาเหตุแน่ชัด แต่นางสนิทกับอันหลิงเฉว่มากกว่า ย่อมเป็นธรรมดาที่จักเข้าข้างคนสนิท