ตอนที่ 178 จี้เจี้ยนอวิ๋นผู้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 178 จี้เจี้ยนอวิ๋นผู้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“แม่ ผมลืมศัพท์คำนี้น่ะครับ” เหรินเหรินเข้ามาพร้อมหนังสือภาพในมือ ขณะชี้นิ้วไปที่คำว่า ‘ขาว’

“อ่านว่า ‘ไป๋’ จ้ะ ไป๋ก็คือสีขาว เหมือนสีของเสี่ยวไป๋ไงจ๊ะ” ซูตานหงก้มมองก่อนบอก

“ป้าสามคะ แล้วคำนี้อ่านว่ายังไงคะ?” เยียนเอ๋อร์นำหนังสือภาพมาถามด้วยเช่นกัน

“ผมรู้ คำนี้อ่านว่า ‘หวัง’(ราชา) ราชาที่อยู่เหนือเสือ” เหรินเหรินหันมาดูและชิงตอบ

เยียนเอ๋อร์จึงชมด้วยความทึ่ง “นายเก่งจังเลย อาสามสอนพี่หลายรอบแล้วแต่ก็ยังจำไม่ได้สักที”

“แม่สอนผมหลายรอบก็เลยจำได้ครับ” เหรินเหรินเอ่ยปลอบ

เยียนเอ๋อร์พยักหน้า “ครั้งนี้พี่จะตั้งใจจำเลย”

สองพี่น้องอ่านหนังสืออยู่พักหนึ่ง ก่อนกินนมมอลต์กันคนละแก้วและฝึกนับเลขต่อ

ปกติยามที่มีงานในสวน ซูตานหงก็มักปล่อยให้เด็ก ๆ ตามไปช่วยและสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง ตอนนี้พอมีเวลาว่างจึงจับมานั่งเรียนหนังสือเสียหน่อย

โชคดีที่ทั้งคู่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย

“อาสะใภ้สาม ผมมาแล้วครับ” เสียงจี้เสี่ยวตงดังมาแต่ไกล

จี้เสี่ยวตงก็คือโหวหวาจือนั่นเอง ซูตานหงยกยิ้มเมื่อเห็นเขาผลักประตูเข้ามา

เพราะบ้านนี้มีเด็ก ๆ แวะเวียนมาตลอด จึงไม่ค่อยลงกลอนประตูไว้

“พี่เสี่ยวตงมาแล้ว” เยียนเอ๋อร์เอ่ยทัก

“พี่เสี่ยวตง” เหรินเหรินเองก็ตะโกนเรียกเช่นกัน

“เยียนเอ๋อร์ เหรินเหริน วันนี้ตั้งใจเรียนหรือเปล่า? พี่จะตรวจการบ้านแล้วนะ” เขาว่า

“ต้องตั้งใจเรียนอยู่แล้วสิ” ทั้งคู่ยืนกรานอย่างพร้อมเพรียงกัน

จี้เสี่ยวตงจึงเริ่มตรวจทีละคำ

ทุกคนผลัดกันตรวจคำทั้ง 10 คำ คนหนึ่งตอบ อีกคนหนึ่งมองดู จากนั้นก็สลับกันตรวจจนครบ

เยียนเอ๋อร์ทำผิดไป 6 ข้อและทำถูกเพียง 4 ข้อ เธอจึงผิดหวังไม่น้อย

ส่วนเหรินเหรินนั้นตรงข้ามกับเธอ เขาทำถูกไป 6 ข้อโดยที่ผิด 4 ข้อ

ถ้าไม่นับคะแนนรวมกัน ถือว่าเขาทำผิดไปนิดเดียวเท่านั้น

จี้เสี่ยวตงปลอบใจน้อง ๆ ในฐานะพี่ชายคนโต “แค่นี้ก็เก่งมากแล้ว ถ้าตั้งใจเรียนต่อไปต้องทำถูกหมดแน่ ต่อไปพี่จะทดสอบนับเลขนะ”

ครั้งนี้ทั้งเยียนเอ๋อร์และเหรินเหรินต่างนับได้ถึง 15 โดยไม่มีข้อผิดพลาดแต่อย่างใด

จี้เสี่ยวตงออกปากชมไม่หยุด พวกเขาจึงดีใจจนลืมเรื่องผิดหวังก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท

“เย็นนี้จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหมจ๊ะ” ซูตานหงสวมกอดเด็กชายขณะถาม

“ครับ” จี้เสี่ยวตงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ

“อย่างนั้นอยู่ดูเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จจากพาฉีฉีไปเดินเล่นแล้วอาจะกลับมาทำกับข้าวให้กิน” ซูตานหงเอ่ย

เด็กชายพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

ซูตานหงเชื่อใจว่าเขาจะไม่ปล่อยให้น้องออกไปไหนตามลำพัง ไม่อย่างนั้นต้าเฮยก็ต้องตามไปด้วยแน่นอน

ซูตานหงมาถึงสวนพร้อมฉีฉี และเห็นว่าผักกาดขาวที่เพิ่งปลูกได้ไม่นานยังเติบโตไม่มากนัก อาจเพราะช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีจึงทำให้ยิ่งโตช้า

จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ทำงานอยู่ส่งยิ้มและเอ่ยทักเมื่อเห็นเธอมาหา “แล้วเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินล่ะครับ?”

“พอดีโหวหวาจือมาหา เลยให้ทำการบ้านกันน่ะค่ะ” เธอตอบ

ฉีฉีที่อยู่ในรถเข็นร้องขึ้นมา คงเป็นเพราะได้ยินเสียงพ่อ เจ้าตัวแสบตัวแค่นี้แต่ก็จำเสียงคนได้แล้ว และยังชอบเสียงพ่อเป็นพิเศษด้วย

กระทั่งอยู่ที่บ้านก็ยังร้องแต่จะให้พ่ออุ้ม แต่กลับไม่ค่อยยอมให้แม่อุ้มสักเท่าไร

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้งานยุ่งมากจึงเดินมาหา พอเห็นหน้าพ่อ ฝ่ายลูกชายก็เริ่มดิ้นอย่างดีอกดีใจอยู่ในรถเข็น

“เจ้าตัวเล็ก ดีใจที่เห็นหน้าพ่อขนาดนั้นเลยเหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นช้อนตัวฉีฉีมาอุ้ม

เด็กชายดูร่าเริงเสียเหลือเกิน แม้คนเป็นพ่อจะไม่รู้ว่าลูกไปอารมณ์ดีมาจากไหนก็ตาม

“เดี๋ยวปีหน้าผมว่าจะเปลี่ยนไปปลูกข้าว แล้วก็ปลูกงา ถั่ว กับมันหวานเพิ่มอีก” เขาบอก

“ต่อให้ปลูกเหมือนเดิมก็ขายที่เมืองมหาวิทยาลัยได้อยู่ดีนี่คะ”

ที่ 30 หมู่ดูเหมือนจะเยอะ แต่อันที่จริงเธอกลับคิดว่ายังไม่กว้างขวางมากนัก

ชาติก่อนแม่ของเธอซื้อที่จากชาวบ้านสองคนเพื่อใช้เป็นสินเดิมของเธอ แต่ละแปลงก็ใหญ่กว่านี้มากและยังเป็นที่ดินทำเลทองอีกด้วย

เทียบกันแล้วที่ดินแปลงนี้ถือเป็นเพียงที่ดินทั่วไป ไม่ได้ดีมากนัก แต่เพราะเธอมีน้ำพุวิเศษอยู่ ถึงไม่ต้องกังวลเรื่องผลผลิตและความเป็นอยู่ จึงไม่ได้ห้ามปรามสามีตอนทำสัญญา

จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะ “ไม่ได้ขายดีขนาดนั้นหรอกครับ เราต้องเพิ่มสินค้าให้หลากหลายขึ้น ขายแต่ของเดิม ๆ ตลอดไปไม่ได้หรอก”

“ลูกค้าไม่ซื้อของคนอื่นแต่มาซื้อของเรา แล้วจะขายไม่ดีได้ยังไงล่ะคะ?” ซูตานหงเลิกคิ้วขณะเหลือบมองเขา

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองหน้าเธอก่อนเอ่ย “แล้วถ้าขายไม่ดีล่ะครับ?”

“ถ้าขายไม่ดีฉันจะยอมตามใจคุณทุกอย่างโดยไม่ขัดขืนเลย” ซูตานหงจ้องเขากลับอย่างยั่วเย้า

จี้เจี้ยนอวิ๋นเขินอายเล็กน้อย เธอกล้าพูดเรื่องแบบนี้กลางวันแสก ๆ ได้ยังไงกันนะ?

“แต่ถ้าขายดี ต่อไปนี้คุณต้องเชื่อฟังฉันทุกอย่างนะคะ ฉันชี้นกก็ต้องว่าเป็นนก ชี้ไม้ก็ต้องว่าเป็นไม้” ซูตานหงกล่าวสำทับ

“ได้เลยครับ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นรับคำ เขารู้สึกว่าไม่มีข้อเสนอใดจะดีไปกว่านี้แล้ว

เขารู้ว่าสิ่งที่ภรรยาพูดมานั้นไม่ผิด และก็เตรียมยอมสิโรราบและเชื่อฟังเธอแล้ว แม้แต่ตอนนี้ต่อให้ภรรยาไม่สั่ง อวิ๋นอวิ๋นกับคนอื่น ๆ ก็พูดกันไปทั่วว่าเขาหลงภรรยาและยอมเธอทุกอย่างขนาดไหน เขาจึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่ต้องทำตามที่ตกลงไว้แต่อย่างใด

ผ่านไปครู่ใหญ่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ปล่อยให้คนงานกลับไปพัก ก่อนพาสองแม่ลูกกลับบ้าน

“ตานหง อ่างเก็บน้ำฝั่งเรามันไม่ค่อยดีน่ะ คงต้องสร้างอันใหม่ล่ะครับ” เขาบอกระหว่างทางกลับบ้าน

“สร้างใหม่เหรอคะ?” ซูตานหงถาม “แล้วชาวบ้านจะยอมเหรอคะ?”

การสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ต้องตกลงกับชาวบ้านก่อน อีกทั้งยังต้องใช้เงินมาก ไม่ต้องถามก็คาดเดาได้ว่าคงจะไม่ยอมแน่

“ไม่ยอมอยู่แล้วล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจ

“งั้นคุณจะสร้างเป็นของตัวเองเหรอคะ?” ซูตานหงเดาความคิดสามีของตนได้ และรู้ว่าเขาเป็นคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน “คุณเพิ่งจะเช่าที่มา 30 หมู่ แล้วยังคิดจะสร้างอ่างเก็บน้ำอีกเหรอคะ?”

และจี้เจี้ยนอวิ๋นก็คิดแบบนั้นจริง ๆ ที่ผ่านมาเขาหาเงินได้มากแต่หากถึงยามจำเป็นต้องจ่ายก็เลี่ยงไม่ได้

หากสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นจริง ๆ มันก็จะต้องใช้เงินในครอบครัวจนเกือบเกลี้ยง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่ เพราะเป็นของส่วนกลางที่ชาวบ้านสามารถใช้ร่วมกันได้ หากคิดจะสร้างจริงก็คงตกลงกันได้ไม่ยาก แต่ติดที่ว่าการสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่จะต้องลงทุนไปมหาศาล

“ถ้าอยากทำก็ทำเลยค่ะ แต่จ่ายเงินตอนนี้คงยังไม่ได้ คุณก็ใช้วิธีจ่ายย้อนหลังเอา ไม่อย่างนั้นเราก็ดำเนินการไม่ได้” ซูตานหงบอก

จี้เจี้ยนอวิ๋นพลันมีดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “ภรรยา แปลว่าคุณตกลงให้ทำเหรอครับ?”

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เห็นเด็ก ๆ รักใคร่กลมเกลียวกันดีแล้วมันชื่นใจจังเลยค่ะ

โห สร้างอ่างเก็บน้ำใหม่เลยเหรอคะ กล้าได้กล้าเสียมาก

ไหหม่า(海馬)