บทที่ 177 จะต้องเป็นเจ้า

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 177

จะต้องเป็นเจ้า

เมื่อเจียงหวายเย่ออกมาจากรถม้า แผลที่แขนของเขาก็ได้กลายเป็นสีเขียวแล้ว จริงๆแล้วเมื่อสักครู่หลินซีเหยียนนั้นยังไม่ได้รักษาพิษชุ่ยเวย พิษชุ่ยเวยนั้นแม้จะไม่ได้รักษายาก แต่ก็มีวิธีการที่ซับซ้อน นางจึงทำแค่ระงับอาการชั่วคราวเท่านั้น

“ไปเตรียมกรรไกร, น้ำร้อน, ผ้าพันแผล แล้วก็ไปเอาเหล้าแรงๆมาให้ด้วย”

หลินซีเหยียนก็ได้สั่งอันอี้แล้วประคองพาเจียงหวายเย่กลับไปที่ห้อง

ในระหว่างนี้เจียงหวายเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เขาแล้วถาม “ทำไมเจ้าถึงช่วยข้าๆ? ทั้งๆที่เจ้าจะทิ้งข้าไปก็ได้แท้ๆ?”

สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้เยือกเย็นขึ้นมา เขาจ้องไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “เปิ่นหวางช่วยเจ้าก็เพราะว่าเจ้าช่วยคนของหน่วยอันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเปิ่นหวางทั้งนั้น”

ในขณะที่คำพูดที่เย็นชานั้นออกมาจากปากของเขา เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาแต่เขาก็ยังคงดื้อรั้นจนถึงที่สุด

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซีเหยียนก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ นางจึงทำได้แค่ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าข้าจะสำคัญตนผิดไปสินะ”

หลังจากที่อันอี้นำกรรไกรมาให้ นางก็ได้ตัดผ้าพันแผลมาส่วนหนึ่ง แล้วจากนั้นนางก็ได้หยิบตะเกียบมาแท่งหนึ่ง “องค์ชายต่อไปข้าจะล้างแผลด้วยเหล้า เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเผลอกัดลิ้น ท่านคาบตะเกียบนี่ไว้เสีย”

โดยไร้ซึ่งการปฏิเสธใดๆ เจียงหวายเย่ก็ได้คาบตะเกียบเอาไว้อย่างให้ความร่วมมือ

แล้วเหล้าก็ได้ถูกราดลงไปบนแผล เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าตายเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น หลินซีเหยียนก็ได้บีบปากแผล เพื่อทำการรีดเอาเลือดพิษออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่นานนัก สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้ซีดเผือดราวกับกระดาษขาว หลังจากที่ฆ่าเชื้อแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาขวดยาออกมา 4 ขวดแล้วโปรยลงไปที่แผลของเขาทีละขวด ซึ่งประกอบด้วยยาห้ามเลือด, ยาฟื้นฟูกล้ามเนื้อ, ยาถอนพิษ และยาชา

เจียงหวายเย่ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผล ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ก็เรียกได้ว่าธรรมดามากเมื่อเทียบกับเมื่อสักครู่

“คราวนี้พิษชุ่ยเวยถูกขับออกจริงๆแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ”

หลังจากที่รักษาแผลเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้จากไปโดยไม่กลับมาเหลียวมองเลยแม้แต่น้อย การจากไปอย่างง่ายๆนี้ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเจียงหวายเย่ต้องมืดดำอีกครั้ง

ณ ตำหนักขององค์ชายหนึ่ง หลังจากที่ได้รับทราบข่าวนี้องค์ชายหนึ่งก็ได้ทำการอุกอาจขึ้นมาทันที เขานั้นเป็นถึง องค์รัชทายาท ย่อมมีกองทหารที่ฮ่องเต้จงให้เอาไว้อยู่บ้าง ซึ่งไม่อาจที่จะดูถูกได้เลย แล้วเขาก็ได้ส่งคนไปล้อมตำหนักของ องค์ชายสอง แล้วจากนั้นก็เข้าไปในพระราชวังเพื่อถอนพิษให้ฮ่องเต้จง

หลังจากที่องค์ชายสองได้ทำการฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็ได้นำพากำลังออกไปทำการล้อมตำหนักมังกรเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยความโกรธ

“หรือว่าท่านพี่จะโมโหข้า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”

องค์ชายหนึ่งที่ได้ยินเสียงดังขึ้น ก็ได้เดินออกมาจากด้านใน

“ท่านพี่ ท่านพ่อกำลังประชวรหนัก แต่ท่านกลับบุกรุกเข้ามาในนี้แล้วยังส่งคนไปล้อมข้าไว้อีกต่างหาก หรือว่าท่านพี่คิดที่จะก่อการกบฏอย่างนั้นเหรอ?”

องค์ชายสองก็ได้มองไปที่สีหน้าที่พึงพอใจขององค์ชายหนึ่งแล้ว ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้กล่าวอย่างประชดประชัน “มันเป็นความจริงที่พระบรมราชโองการของท่านพ่อนั้นเลือกข้า ท่านพี่อย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย”

“ท่านพ่อนั้นเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาจะมอบ ราชบัลลังก์ให้เจ้าได้อย่างไร?”

องค์ชายสองที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าที่ไม่ดีขึ้นมา “ทำไมท่านพ่อจะมอบบัลลังก์ให้ข้าไม่ได้?”

“ตระกูลของท่านแม่เจ้านั้นมีอำนาจมากเกินไป ถ้าขืนส่งต่อให้เจ้า บางทีวันนั้นคงเป็นวันที่แผ่นดินจงจะไม่ได้ใช้ชื่อว่าจงอีกต่อไป!”

“อย่ามาทำเป็นตื่นตูม แล้วมาปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างข้ากับท่านลุงนะ ท่านลุงได้สัญญากับข้าไว้แล้วว่าเขานั้นจะคอยสนับสนุนข้า”

องค์ชายสองที่พูดออกมาอย่างไม่ระวังตัว เขานั้นอยากที่เห็นสีหน้าหวาดกลัวของพี่ชายของเขา แล้วให้เขาต้องก้มลงคุกเข่าอยู่ใต้เท้าของเขา

“ยอด, ยอดจริงๆ”

หลังจากที่องค์ชายสองนั้นกล่าวจบลงไม่ทันไร เสียงที่ฟังดูน่าเกรงขามและดูคุ้นเคยก็ได้ดังมาจากข้างหลังขององค์ชายหนึ่ง แล้วองค์ชายสองก็ได้รีบลงไปคุกเข่ากับพื้นทันทีแล้วกล่าว “ทะ….ท่านพ่อ”

สุดท้าย…ฮ่องเต้จงก็ได้ทำการกักบริเวณองค์ชายสองเอาไว้ตำหนักแล้วทำการยึดทรัพย์สินไว้ทั้งหมด เช่นเดียวกันกับตระกูลของลุงของเขา แล้วส่งฮองเฮาเข้าไปไว้ในตำหนักเย็น

หลังจากที่ทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เจียงหวายเย่กับ หลินซีเหยียนนั้นก็ได้อยู่ในรัฐตงมานานเกิน 7 วันแล้ว ซึ่งบาดแผลของเจียงหวายเย่นั้นก็เกือบจะหายเป็นปกติภายใต้การดูแลอย่างกวดขันของหลินซีเหยียน

เจียงหวายเย่จึงได้ออกคำสั่งให้เตรียมกลับรัฐเจียงในวันพรุ่งนี้

ในวันนี้ หลินซีเหยียนที่ว่างไม่มีอะไรทำมากนัก ก็ได้ออกไปเที่ยวรัฐจงอย่างอารมณ์ดีและชื่นชมกับวัฒนธรรมที่ต่างจากรัฐจง

ส่วนเจียงหวายเย่ก็ได้รับจดหมายส่งมาจากองค์ชายหนึ่ง ซึ่งได้ขอให้มาพบกับเขาที่ตำหนักของเขา

“องค์ชายบางทีนี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้ขอรับ”

อันอี้ได้เสนอความคิดของเขา องค์ชายหนึ่งนั้นในเวลานี้ได้กลายเป็นผู้ที่เชื่อใจมากที่สุดของฮ่องเต้จงไปแล้ว ทำให้ตัวเขานั้นลำพองใจมากขึ้นไปอีก ทำให้เขาอาจจะไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเจียงหวายเย่ง่ายๆแน่

เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาของเขาลง แล้วเผยรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นมา “องค์ชายก็อยากจะดูหน่อยสิ ว่าเขาคิดทำอะไร”

อันอี้ก็ได้แสดงสีหน้าช่วยไม่ได้แล้วก็ถอยหลังออกไปเตรียมการ

ในตอนเที่ยง เจียงหวายเย่ก็ได้เดินทางมาถึงตำหนักขององค์ชายหนึ่งตามกำหนดการ ซึ่งการตกแต่งในตำหนักของ องค์ชายหนึ่งนั้นไม่ได้หรูหราอะไรอย่างที่คิดแต่ก็สวยงามมาก โดยเฉพาะดอกบัวเผื่อนที่อยู่ในสระที่สวยงามมากเสียจนทำให้คนอดไม่ได้ที่จะมองดูมัน

“ข้าก็ว่าทำไมท่านถึงยังมาไม่ถึงอีก ที่แท้ท่านก็กำลังชื่นชมดอกไม้อยู่นี่เอง!”

องค์ชายหนึ่งที่มาในชุดสีเหลือง และดูมีท่าทีสูงส่งและดูจองหองนักราวกับว่าเขาไม่ได้เจอกับเจียงหวายเย่ในหลายวันก่อน

เจียงหวายเย่ก็ได้เผยรอยยิ้มที่มุมปากของเขาขึ้นมาหน่อยๆ และหน้าสีดำบนใบหน้าของเขาก็ได้ดูอ่อนโยนลงเล็กน้อยเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ “ที่องค์ชายเรียกหาข้าในวันนี้ คงไม่ได้ชวนมาชื่นชมดอกไม้หรอกใช่ไหม?”

“ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นคนตรงไปตรงมาสินะ ถ้าเช่นนั้นก็พูดกันตรงๆเลย องค์ชายนั้นคิดว่ามันคงจะไม่ดีที่จะปล่อยไพ่ใบนั้นให้ท่านถือไปตลอด ข้าจึงได้อยากที่จะขอให้ท่านช่วยคืนไพ่ใบนั้นกับข้ามาด้วย”

“หรือว่าองค์ชายคิดที่จะฉีกสัญญากับข้าอย่างนั้นเหรอ?”

ประโยคนี้แม้จะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผลที่ตามมานั้นกลับร้ายแรงไม่น้อยทีเดียว แต่ถ้าเขาไม่มั่นใจในระดับหนึ่ง องค์ชายหนึ่งก็คงไม่กล้าทำกับเขาเช่นนี้แน่

องค์ชายหนึ่งที่สายตาไปปะทะกับสายตาที่กระหายเลือดของเจียงหวายเย่นั้น ทำให้เขาต้องหันหน้าหลบทันที แล้วจากนั้นก็ได้เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ไปพบกับองค์ชายสองมา แล้วองค์ชายสองก็ได้บังเอิญพูดเรื่องที่น่าสนใจออกมาด้วย”

เจียงหวายเย่ก็ได้เงียบกริบ

องค์ชายหนึ่งที่เห็นว่าเขาไม่ตอบสนองอะไรก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยแล้วจากนั้นก็กล่าวต่อ “ข้าทราบมาว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่รอบๆตัวท่านซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องของยา และดูเหมือนท่านจะชอบนางมากเสียด้วย”

หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เปลือกตาซ้ายของเขาก็ได้เบิกโพลงขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยความโกรธ “องค์ชายหนึ่งคงไม่เคยได้ยินคำว่า อย่าแตะต้องอะไรในสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องน่ะ?”

คำพูดที่แฝงด้วยความโกรธโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อยนั้น แล้วดวงตาขององค์ชายหนึ่งก็ได้เบิกโพลงขึ้นมา เพราะความโกรธนั้นคือสิ่งยืนยันว่าเขาเป็นกังวล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่เขาคิดไว้ถูกต้องจริงๆ

เขาจึงได้รีบกล่าวปลอบ “อย่าได้เป็นกังวลไป ขอแค่ท่านมอบสัญญาขององค์ชายคืนกลับมาให้ องค์ชายก็จะคืนแม่นางคนนั้นคืนกลับไปให้ท่านเช่นกัน”

ในขณะที่เจียงหวายเย่อยากที่จะเค้นคอองค์ชายหนึ่งให้ตายอยู่นั้น เสียงตกใจของหลินซีเหยียนก็ได้ดังมาจากข้างหลังเขา “อ้าว ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

องค์ชายหนึ่งก็มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าออกมาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่ามีคนคอยจับตาดูเจ้าอยู่หรอกเหรอ?”

“อ้อ คนพวกนั้นน่ะเหรอ? พวกเขาหลับไปหมดแล้วน่ะ”

องค์ชายหนึ่งก็ได้กล่าวอย่างโมโห “คนพวกนั้นเป็นองครักษ์ฝีมือดีเลยนะ เขาจะหลับไปเฉยๆได้อย่างไร? เจ้าทำอะไรกับพวกเขากันแน่?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วกล่าว “ก็ข้าเบื่อก็เลยฝังเข็มให้พวกเขาน่ะ”