ตอนที่ 169 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 169 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (5)
เหยาเยี่ยนอวี่ดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมไปหนึ่งถ้วย ก็รู้สึกว่าลืมตาไม่ขึ้นอีกครั้ง ชุ่ยเวยเลยรีบพยุงนางให้นอนลง แล้วดึงผ้าห่มห่มให้นาง พอเห็นนางหลับใหลไปก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็มองเหยาเหยียนอี้อย่างประหม่า

เหยาเหยียนอี้ทำเสียงในลำคอแล้วหันข้างไป และพิงอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับหลับตาพักผ่อนสายตา เมื่อคืนเขากับเว่ยจางไม่ได้หลับทั้งคืน ทั้งสองคนเอาแต่เฝ้าอยู่ข้างนอก เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เวลานี้คุณชายรองแห่งตระกูลเหยาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว หิมะที่ตกไปทำให้อากาศแจ่มใสขึ้น ดวงอาทิตย์สีทองสาดส่องผ่านหน้าต่าง ทำให้เรือนกว้างขวางและดูเรียบง่ายเคล้าด้วยแสงสีทอง เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเลิกมุ้งมองไปข้างนอก ชุ่ยเวยกำลังฟุบนอนบนขอบเตียง ท่าทางของนางแผ่วเบาจนไม่สามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหว

ข้างหน้าต่างตรงทิศใต้ที่แกะสลักด้วยลวยลายไม้ไผ่และดอกเหมยมีตั่งไม้เตี้ยอยู่หนึ่งอัน เหยาเหยียนอี้กำลังนอนหลับอยู่บนนั้น ตรงหน้าตั่งไม้มีโต๊ะสูงหนึ่งตัว บนโต๊ะมีถ้วยน้ำชากระเบื้องลายครามวางอยู่หนึ่งใบ ฝาถ้วยน้ำชาเปิดไว้ ข้างในเหลือน้ำชาเย็นๆ อยู่ครึ่งถ้วย

เหยาเยี่ยนอวี่ใส่รองเท้าแล้วลงจากเตียงอย่างเงียบๆ และหันไปมองเตียงใหญ่ที่ชิดกำแพงตะวันตก ซึ่งเป็นเตียงไม้ต้นจันทน์ที่แกะสลักด้วยลวยลายบุษบาที่ตนเองนอนเมื่อครู่นี้ ตรงหน้าเตียงมีโต๊ะสูง และบันไดรองฝ่าเท้า ส่วนกำแพงทิศเหนือมีตู้สลักลายบุษบาที่สูงลิ่วจนแตะเพดาน ประตูตู้วาดด้วยจิตกรรมลายทองคำ

การตกแต่งภายในเรือนมีเพียงเท่านี้เท่านั้น และไม่ได้จัดวางสิ่งของประดับตกแต่งเรือนอย่างอื่นเพิ่มเติมอีก

เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่เหยาเหยียนอี้และเว่ยจางทะเลาะถกเถียงกัน ภายในใจกำลังพูดว่านี่คือเรือนของเว่ยจางหรือ

ตนเองกลับมานอนพักที่นี่? เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจในใจ มิน่าล่ะเหยาเหยียนอี้ถึงได้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนั้นตนเองสะลืมสะลือ จึงไม่ได้คิดมากแต่อย่างไร ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้!

เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วแล้วสาวเท้าเดินไปตรงฉากกั้นหยกสีนิลที่สลักอักษรที่มีความหมายว่า ‘อนาคตยาวไกล’ ตรงหน้าประตูเรือนอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เลิกม่านประตูขึ้นเบาๆ แล้วเดินออกไป ก็เห็นตรงห้องโถงมีเก้าอี้เกือกไม้ไม้จันทน์วางอยู่หนึ่งคู่ที่สลักด้วยลายบุษบา และยังมีโต๊ะสี่เหลี่ยมสลักลายบุษบาด้วยเช่นกัน

ด้านหลังโต๊ะสี่เหลี่ยมมีโต๊ะสูงวางอยู่ และบนโต๊ะสูงมีเพียงเตาเผาธูปสามขาที่ทำจากทองแดงเขียวเล็กๆ วางอยู่ และมีหินเหลืองอำพันแกะสลักลวดลายทิวทัศน์อันงดงามที่สูงหนึ่งฉือกว่าวางอยู่ เป็นการตกแต่งเรือนได้เรียบง่าย และเรียบง่ายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทว่ากลับให้ความรู้สึกเรียบง่ายที่เหมือนตัวตนของเขา

เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะเดินออกไปข้างนอก ก็เห็นม่านประตูหนักและหนาถูกเลิกขึ้น ในมือของเฮ่อฮูหยินถือถาดๆ หนึ่งเข้ามา พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงสะดุ้งตกใจ แล้วรีบพูดขึ้น “คุณหนูตื่นแล้ว! เหตุใดถึงไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงใดๆ ล่ะ” ขณะที่พูด ก็เดินไปตรงประตูเรือนพร้อมกับมองไปด้านใน ก็เห็นเหยาเหยียนอี้ที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนอน จึงส่ายหัว พลางถอยออกมาอีกครั้ง

จากนั้น เสียงๆ นี้ก็ทำให้ชุ่ยเวยและเหยาเหยียนอี้ที่อยู่ด้านในตื่น ชุ่ยเวยออกมาจากด้านในเรือนก่อน พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบพูดขึ้น “บ่าวหลับสนิท จึงไม่ได้ยินเสียงคุณหนูตื่น บ่าวสมควรตายจริงๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนกลางคืนเจ้าไม่ได้หลับ ก็คงจะเหนื่อยน่าดู รีบไปพักผ่อนเถอะ”

เฮ่อฮูหยินจึงเรียกสาวใช้ของตนเองเข้ามาแล้วสั่งการ “พาแม่นางชุ่ยเวยไปพักผ่อน”

ทีแรกชุ่ยเวยไม่ไป เหยาเยี่ยนอวี่จึงออกคำสั่ง “เจ้าไปก่อนเถอะ ให้คนอื่นมารับใช้ก็เหมือนกัน”

เหยาเหยียนอี้ทำหน้าบูดบึ้งออกมาจากด้านใน เหตุเพราะไม่เห็นเว่ยจาง สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาหน่อย แล้วเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่ “น้องสาวรู้สึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่รีบพูดขึ้น “ข้าแค่เหนื่อยมากไปเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง พอหลับจนเต็มอิ่มก็ดีขึ้น ทำให้พี่ชายคอยเป็นห่วงแล้ว”

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหยาเหยียนอี้พยักหน้า แล้วหันไปเสวนากับเฮ่อฮูหยิน “น้องรองของข้าอยู่ที่นี่ไม่สะดวกจริงๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่ก็พูดขึ้น “ประเดี๋ยวยังต้องไปรักษาองค์ชายอาเอ่อร์เข้อที่โรงเตี๊ยม อย่างไรข้าก็ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เข็มเงินและมีดพวกนั้นก็ไม่อยู่ข้างกาย อย่างไรก็ต้องกลับไปเอา ฮูหยินช่วยบอกท่านแม่ทัพที ข้าต้องกลับจวน”

เฮ่อฮูหยินคลี่ยิ้ม “ท่านแม่ทัพคิดเผื่อคุณหนูหมดทุกอย่างแล้ว” ขณะที่เอ่ยขึ้น ก็เรียกคนที่นอกประตู “เสี่ยวชุ่ย พาเฝิงหมัวมัวเข้ามา”

สาวใช้ข้างนอกจึงขานรับ ไม่นานก็พาเฝิงหมัวมัวและชุ่ยผิงมาดั่งที่คาด ทั้งสองคน ในมือของคนหนึ่งถือห่อผ้า คิดว่าข้างในคงจะเป็นของที่เมื่อครู่เหยาเยี่ยนอวี่พูดถึง

เหยาเหยียนอี้แสยะยิ้ม แล้วพูดด้วยความเย้ยหยัน “ท่านแม่ทัพของพวกเจ้ากลายเป็นแม่เฒ่าตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เฮ่อฮูหยินรีบคลี่ยิ้ม “คุณชายอย่าได้โกรธเลย ท่านแม่ทัพของพวกเราไม่ได้มีความประสงค์ร้ายใดๆ อย่างไรเขาคือผู้ที่ดำเนินการแทนฮ่องเต้ ก็คงจะครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่แล้ว เมื่อคืนเพิ่งจะมีหิมะตก ข้างนอกยังคงชื้นและหนาวเหน็บ คุณหนูเหยามีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ หากเดินทางไปมากลับจะทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเปล่าๆ”

ต่อให้ภายในใจของเหยาเหยียนอี้จะโมโหและก็ไม่อาจระบายอารมณ์กับเฮ่อฮูหยินได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแสยะยิ้มแล้วไม่พูดไม่จาอะไรอีก

เฮ่อฮูหยินจึงพูดเกลี้ยกล่อม “ข้าสั่งให้คนเตรียมอาหารแล้ว คิดว่าคุณชายและคุณหนูคงหิวแล้ว ให้พวกเขายกอาหารมาจัดวางได้เลยหรือไม่”

ท้องของเหยาเยี่ยนอวี่ว่างมาตั้งนานแล้ว หิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ได้ยินคำพูดนี้จึงคลี่ยิ้ม “ช่างเถอะ ทานอาหารก่อน จากนั้นก็ถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังไม่มืด ไปดูอาการของคุณชายอาเอ่อร์เข้อหน่อยว่าเป็นเช่นไรบ้าง”

เฮ่อฮูหยินมองเหยาเหยียนอี้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง พอเห็นคุณชายรองแห่งตระกูลเหยาไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ จึงสั่งให้เสี่ยวชุ่ยสั่งบ่าวยกอาหารมาตั้ง แล้วตนพาคนไปจัดโต๊ะและเก้าอี้ตรงเรือนทิศตะวันออกด้วยตนเอง

เฝิงหมัวมัวและชุ่ยผิงเข้าเรือนปรนนิบัติรับใช้เหยาเยี่ยนอวี่ล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ออกไปร่วมกินอาหารกับเหยาเหยียนอี้ ตอนที่กินอาหาร ท้ายที่สุดเหยาเหยียนอี้ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “องค์ชายอาเอ่อร์เข้อท่านนั้นเป็นอะไรกันแน่”

“ได้รับพิษเข้าร่างกาย แล้วยังได้รับบาดเจ็บสาหัส บาดเจ็บลุกลาม ทำให้เกิดอาการอักเสบ…อื้ม แล้วแผลยังติดเชื้ออีก ช่างยุ่งยากซับซ้อนยิ่งนัก”

“แล้วสามารถรักษาหรือไม่” เหยาเหยียนอี้รู้สึกกังวลเล็กน้อย กลัวว่าหากรักษาไม่ได้ เคราะห์ร้ายขององค์ชายท่านนี้อาจจะทำให้ฮ่องเต้เอาผิด ถึงเวลาก็คงจะทำให้ลำบาก

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้คิดมากเยี่ยงนั้น แค่ว่ากันไปตามสถานการณ์ จึงพูดสถานการณ์ตามความจริงให้เหยาเหยียนอี้ฟัง “ต้องดูว่าพิษที่อยู่ในร่างกายเป็นเช่นไรบ้าง ข้าไม่ค่อยมีความรู้ด้านยาพิษ และก็ไม่เคยใช้วิธีการฝังเข็มมาแก้พิษ อย่างไร…ก็ต้องดูบุญวาสนาของเขาแล้ว”

สองพี่น้องกำลังทานอาหาร เว่ยจางก็เข้ามา เหยาเยี่ยนอวี่เห็นดังนั้น ทำได้เพียงวางตะเกียบลงแล้วเหยียดกายลุกขึ้น ยังไม่ทันพูดอะไร เว่ยจางก็ผายมือ แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “เจ้าทานอาหารก่อนเถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา แค่กลับไปนั่งกินอาหารต่อ ทว่าเพราะว่าคนบางคนนั่งลง จึงทำให้ไม่อยากอาหาร

ดังนั้น จึงหันไปขอน้ำชาบ้วนปาก หลังจากที่บ้วนปากแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากเสร็จก็กล่าวขึ้นว่า “สายมากแล้ว พวกเรารีบไปโรงเตี๊ยมกันเถอะ หากไปดูอาการขององค์ชายอาเอ่อร์เข้อเร็วขึ้น ท่านแม่ทัพก็จะได้รายงานเรื่องนี้กับฮ่องเต้เร็วขึ้น” พวกเราก็จะได้กลับจวนเร็วขึ้น

เว่ยจางก็ไม่มากความ แค่เหยียดกายลุกขึ้น “รถม้าเตรียมไว้แล้ว ไปเถอะ”

เหยาเหยียนอี้มองแผ่นหลังกว้างและสง่าผ่าเผยของเว่ยจาง แล้วแอบกัดฟันกรอด ทว่าสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงไปเป็นเพื่อนเหยาเยี่ยนอวี่ เวลานี้ เหยาเหยียนอี้รู้สึกชื่นชมยินดีมากเพียงใดที่ตอนนั้นเจิ้นกั๋วกงมาสู่ขอแล้วบิดาปฏิเสธตอบไป ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าคนแซ่ว่าเว่ยผู้นี้จะทำตัวโอหังมากเพียงใด!

เหยาเยี่ยนอวี่พาเฝิงหมัวมัวและชุ่ยผิงขึ้นรถม้า เหยาเหยียนอี้คอยอยู่ในรถม้าของตนเองนานแล้ว เว่ยจางพาเฮ่อซีและถังเซียวอี้ขี่ม้าพาทหารรักษาการณ์สิบกว่านายคุ้มกันรถม้าของสองพี่น้องตระกูลเหยามุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมตี้ตูที่เป็นโรงเตี๊ยมที่ราชสำนักเตรียมไว้เพื่อต้อนรับทูตต่างแคว้น