ราคาตามโรงเตี๊ยม ผัดกุยช่ายเหลืองหนึ่งจานเขา ลองคิดเป็นจิน ตกจินละเจ็ดสิบเหวิน โดยประมาณ

คนบางคนกลับไปกินอีกครั้ง ให้เงินหกสิบเหวิน เขาก็ไม่อยากขายแล้ว

“หกสิบเหวิน พระเจ้าช่วย” ลุงคนโตของซ่งฝูเซิงซึ่งได้ยินราคา

ผู้ชายหลายคนได้ยิน ก็แสดงออกมาว่า ไม่อยากจะเชื่อ

คนจนคงไม่เข้าใจ และคงเข้าใจในความคิดของพวกเจ้านายไม่ได้ ถ้าฤดูหนาวไม่มีผักอื่นกิน ก็กินผักกาดขาวกับหัวผักกาด หรือกินอย่างอื่นที่สดกว่าแทน

แม่เจ้า มันสมควรราคานี้ไหม กระเทียมเหลือง กุยช่ายเหลือง ทำไมต้องกินของพวกนี้ มันก็เป็นแค่ผัก พวกเจ้าไม่ได้กินผัก แต่พวกเจ้ากินเงินเข้าไปแทน

เกาถูฮู่ส่ายหัวไม่หยุด เหมือนกับเข้าไปอยู่ในเรื่องที่ต้องถอนหายใจตลอดเวลา

ก่อนที่จะอพยพ ทุกปีเวลาฤดูหนาว เกาถูฮู่ต้องขายหมู เพราะในช่วงหน้าหนาวดูแลหมูยาก ดังนั้นราคาหมูจะแพงกว่าปกติ เมื่อถึงฤดูหนาว เนื้อหมูหนึ่งจินจะขึ้นกี่เท่าจากราคาปกติ ยี่สิบสามถึงยี่สิบสี่เหวิน ขึ้นไปถึงยี่สิบเจ็ดเหวิน ยิ่งถ้าอากาศหนาว ราคาขายก็จะยิ่งแพง พอถึงปลายปี ราคาจะประมาณไม่เกินสามสิบห้าเหวิน

ตอนนั้นเกาถูฮู่จะรู้สึกว่า ตอนปลายปี ถ้ามีใครกล้าไปซื้อเนื้อกับเขา คนที่ไปซื้อได้ สถานภาพครอบครัวต้องดีจนถึงดีมาก ดีจนไม่กล้าคิด แต่ปีนี้พวกเขาอพยพมากับครอบครัวซ่งฝูเซิง ช่วยกันเก็บถั่วเมล็ดสนไปขาย จึงได้องค์ความรู้ใหม่เข้ามา

ถั่วเมล็ดสนหนึ่งร้อยเหวิน เกาถูฮู่ขายออกไป ปากบอกว่า ไม่แพง ไม่แพง ถ้ารู้ว่าพวกเราออกไปเก็บด้วยความเสี่ยงอันตรายขนาดไหนกว่าจะสอยเมล็ดที่สุกเต็มที่ลงมาได้ แต่ในใจคิดว่า ดูคนรวยพวกนี้ มีปัญหากินอะไรได้ก็ไม่กิน เงินหนึ่งร้อยเหวินซื้อเนื้อวัวได้เยอะเลยไม่ใช่หรือ

สถานการณ์แบบนี้ เราจะเรียกคนพวกนี้ว่าเป็น “โรคคนรวย” เป็นคนจำพกที่ว่า สามารถใช้เงินซื้อเนื้อหมูได้แต่ไม่ซื้อ แต่เอาเงินไปซื้อผักสด ใช่แล้ว คนจนนอนหลับยังฝันว่าได้กินเนื้อ แต่ว่าคนรวยไม่กินอาหารตามฤดู แต่ต้องกินอาหารที่ดีที่สุด พร้อมที่สุด ขอให้เป็นเพียงที่สุดก็พอ สุดท้ายเขาดูออกแล้ว ความหมายก็คือ ขอให้เป็นคนรวย อะไรที่หาได้ยากก็จะชอบกิน และนี่คือคนรวย

ซ่งฝูกุ้ยก็ชอบกินของหายาก “กระเทียมเหลืองของพวกเรา ขายราคาหกสิบเหวินจะได้เงินเท่าไร ขายได้เท่าไหร่หรือ เร็วเข้า ใครคิดเลขได้บ้าง ข้าใช้นิ้วมือนิ้วเท้าเอามาคิดรวมกันก็คิดไม่ออก”

ไม่มีใครสนใจปัญหาของเขา

คนกลุ่มแรก คือ เหมือนซ่งฝูกุ้ยที่คิดเลขไม่ออก

คนอีกกลุ่มหนึ่งเหมือนเกาถูฮู่ หนิวจั่งกุ้ย พวกนี้เข้าใจวิธีคิดเลข แต่ปัญหามันดูไร้สาระเกินไป

นับจำนวนกระเทียมเหลืองเพื่ออะไร มีความหมายอะไร

ถ้ารู้ว่าชุดแรกนำออกไปขายแล้ว ทิ้งระยะห่างไม่กี่วัน แปลงอื่นในห้องใต้ดินก็เก็บเอาออกไปขายได้อีก

ขายได้ และรอเพียงไม่กี่วัน กระเทียมเหลืองชุดที่สองก็จะเก็บผลผลิตได้

ทุกคนต้องทำตามคำสั่งซ่งฝูเซิง จึงเดินทางมาถึงที่ตรงนี้ได้

ซ่งฝูเซิงเข้าใจว่า วันนี้ยังไม่ได้ย้ายบ้าน เพราะมีบ้านอย่างน้อยสามครอบครัวที่เตียงเตา ยังไม่แห้ง คนจึงยังเข้าไปอยู่ไม่ได้ สุดท้ายเขามองไปรอบๆ มีบ้านแค่หลังเดียวที่เตียงเตายังไม่แห้ง แต่ใช้เสื่อปูข้างบนก็สามารถนอนได้

พรุ่งนี้ต้องเผาอีกหนึ่งวันก็คงแห้งเรียบร้อยแล้ว

เขามีบางอย่างไม่เข้าใจจึงมองไปที่ท่านลุงซ่ง และถามขึ้น “ท่านลุง ทำไมพวกเราถึงไม่ประกาศย้ายบ้าน”

“เจ้าไม่อยู่ เจ้าไม่ได้บอกข้าไว้ว่าให้ย้าย พวกข้าจะย้ายได้อย่างไร” ท่านลุงพูดด้วยความซื่อตรงและคิดว่าสมเหตุสมผล

“…”

ทรงฟูเชิงสีหน้าเบื่อหน่าย เขาพยักหน้า “ข้าขอประกาศว่า ให้ทุกคนย้ายบ้านได้ ให้ทุกครอบครัวเข้าอยู่บ้านใครบ้านมัน”

เขาคิดไปคิดมา จึงบอกให้ทุกคนเข้าใจเพิ่มเติม และขอเพิ่มเติมประกาศ “เย็นนี้ไม่ต้องทำงาน กลับเข้าบ้านตัวเอง เมื่อทุกคนเข้าอยู่ในบ้านของตัวเองแล้ว ต้องจัดให้น่าอยู่ อย่าให้มีใครผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ถ้ามีคนผมเผ้ารุงรังก็ให้ช่วยกันหาเหา พรุ่งนี้ นัดประชุม”

ท่านลุงซ่งถอนหายใจ ในที่สุดซ่งฝูเซิงก็บอกว่าจะจัดประชุมสักที

พวกเขาทุกคน ไม่ได้หาเงินแบบไม่รู้เหตุผล เมื่อได้เงินมาจะเอามาเก็บไว้ที่ท่านลุง และยังไม่ได้แบ่งเงินกัน ในใจของเขารู้สึกกระวนกระวาย พรุ่งนี้จะนำตรายางออกมา ทุกคนต้องช่วยกันหาเงิน จะได้มีอนาคตที่ดี

“ย้ายบ้านแล้ววว” ซ่งฝูหลิงดีใจจนหอมแก้มเฉียนหมี่โซ่วไปหนึ่งครั้ง หน้าเฉียนหมี่โซ่วเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เพื่อปกปิดอาการเขินที่ถูกขโมยหอมแก้ม เขารีบไปซ่อนอยู่ตรงมุมที่มีเฉียนเพ่ยอิง “ท่านป้า จะหยิบอะไร หมี่โซ่วจะช่วยท่านป้า”

เมื่อหมี่โซ่วพูดจบ ท่านป้าก็ก้มลงมาหอมแก้มหนึ่งครั้ง

เฉียนเพ่ยอิงก็ดีใจจริงๆ

สวรรค์โปรดแล้ว นอนกับคนอื่นบนเตียงเตา ทำอะไรก็ไม่สะดวก

พูดถึงตอนนี้ เมื่อเกิดเป็นคนต้องอยากมีบ้านของตัวเอง นอนอยู่บนเตียงเตา ไม่มีคนสนใจ ไม่มีคนคอยออกคำสั่ง ที่บ้านคือที่ที่สบายที่สุด ตอนนี้นางถึงเข้าใจความเป็นอิสระ

สิ้นสุดลงแล้ว สถานการณ์การใช้ชีวิต บ้านเราไม่ใช่บ้านเรา บ้านเขาไม่ใช่บ้านเขา

ซ่งฝูเซิง เมื่อกลับมา หลายคนทำงานจนเสร็จแล้ว ประกอบไปด้วย หนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วง สองคนไปหยิบกระเป๋าตัวเอง รีบเดินไปที่บ้าน

ภายในบ้านบรรยากาศครึกครื้น

บ้านบางหลังเพิ่งเข้ามาอยู่ซึ่งเป็นคนอื่น เมื่อสมาชิกภายในครอบครัวได้เข้ามาอยู่รวมกัน คนที่พักชั่วคราวจึงต้องย้ายออกไป คืนบ้าน พวกเขาใช้โอกาสนี้พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ ทำให้บรรยากาศของห้องโถงคึกครื้นขึ้นมา

ซ่งฝูหลิงอาศัยโอกาสนี้นำถังนมสดส่งเข้าไปในพื้นที่พิเศษ

นมสดถังแรกถูกนำกลับมา ซ่งฝูเซิงสงสัยว่าเป็นนมจริงหรือ เพราะนมถูกนำออกมาจากห้องใต้ดิน มีคนมองเห็นถังไม้แล้ว ยังไม่ได้บอกท่านยายว่าเป็นนมนี้ เพราะพวกเขามัวยุ่งเรื่องที่จะย้ายบ้าน

ดังนั้น ความตั้งใจแรกคือ นางกำลังลับมีด จะทำบะหมี่สักถ้วย กินเสร็จจะใช้นมถังแรกทำเนย เรื่องนี้ไม่รีบร้อน พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ ไม่มีอะไรมาขัดขวาง วันนี้นางจะอาบน้ำให้สบายตัวไปเลย

ในบ้านของซ่งฝูเซิง พื้นที่พอประมาณ ถ้านับแบบห้องของคนปัจจุบันจะมีพื้นที่ใช้สอยประมาณหกสิบตารางเมตรกว่าๆ แบ่งออกเป็นสองห้อง

เมื่อเปิดประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นเป็นห้องครัว ทางขวามือมีเตาขนาดใหญ่ เตายาวไปถึงเตียงขนาดใหญ่ เมื่อใช้เตาผัดอาหาร ต้องอาศัยไฟจากเตาในห้องใหญ่

ห้องใหญ่ ที่พักด้วยกันในห้องนี้ก็คือซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูหลิง และหมี่โซ่ว

เตียงเตาขนาดใหญ่แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อให้ความอบอุ่น ซ่งฝูเซิงก่อสร้างให้มีกำแพงไฟ ซ่งฝูเซิงก่อกำแพงไฟบนเตา เพื่อใช้กำแพงไฟแยกห้องเตียงเตาออกเป็นสองห้อง ที่พักข้างในคือซ่งฝูหลิงกับหมี่โซ่วพักด้วยกัน และอีกฝั่งตรงข้ามของกำแพงไฟ คือห้องของซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิง

ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เพราะเงื่อนไขมาแบบนี้

จากนี้ไป บนพื้นดิน นอกจากมีสิ่งก่อสร้างรูปวงกลมก่อด้วยอิฐสูงจนถึงหลังคา เพื่อให้เวลาก่อไฟจะเกิดความอบอุ่น ส่วนพื้นที่อื่นก็ว่างเปล่า ลองจินตนาการพื้นที่ว่างเปล่าในอนาคต ว่าสามารถวางตู้ วางโต๊ะ ทำตู้หนังสือให้ติดกับผนังไว้วางหนังสือ ค่อยๆ เพิ่มเติมไป

ตอนนี้ช่างไม้กำลังยุ่ง ช่างไม้ ช่างสี ไม่มีเวลาว่างทำของพวกนี้

จะนำของเหล่านี้ตั้งประดับไว้ในห้องใหญ่

และในห้องเล็ก เมื่อเข้าประตูมา จะพบเตาขนาดใหญ่ เพราะฝั่งตรงข้ามของเตาขนาดใหญ่ จะมีเตาขนาดเล็ก เมื่อเข้าประตูทางด้านซ้ายจะเป็นเตาขนาดเล็ก เมื่อจะทำอาหารจะต้องไปที่ห้องเล็ก

ในห้องเล็กก็มีกำแพงไฟ ใช้กำแพงไฟแยกเตียงเตาออก อีกด้านเป็นที่ที่หนิวจั่งกุ้ยพัก และอีกด้านเป็นของซื่อจ้วงพัก

ในอนาคตพวกเขาจะค่อยๆ เพิ่มเติมสิ่งของ มีกระเป๋าสัมภาระข้างในไว้วางเสื้อผ้าของตัวเอง

จากนั้นวางกระเป๋าสัมภาระที่เตียงเตาข้างๆ ก็พอ จะได้ไม่ปะปนกับใคร

ต่อไปก็สามารถวางโต๊ะกลมในห้องเล็ก หนิวจั่งกุ้ยจะได้ใช้คิดลูกคิด ถ้าไม่ใช้คิดลูกคิดก็เอาไว้กินข้าวได้

ความเป็นจริงแล้ว หนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วงเป็นคนดูแลทั้งหมด ถ้ามีคนรู้ว่าพวกเขาสามารถจัดการได้ ตามหลักต้องเก็บไปแล้ว เขากับซ่งฝูเซิงอยู่บ้านเดียวกัน กินข้าวต้องระมัดระวัง เมื่อถึงตอนนั้นจะตั้งโต๊ะขนาดเล็กในห้องเล็กกินข้าวแค่สองคน

ในห้องเล็กขาดเตา

เขาไม่ได้ตั้งใจไม่ก่อ แต่ยังไม่ถึงคิว

ซ่งฝูเซิงเดินมาตะโกนเรียกหนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วง “น้ำร้อนเดือดแล้ว พวกเขาต้มน้ำร้อนเตรียมให้กับสองคน คืนนี้เตียงเตาร้อนจนนอนไม่หลับ ก็ต้องให้อบอุ่นไว้ ไม่เช่นนั้นอาบน้ำแล้วจะโดนลมเย็น”

“ได้เลย ท่านลุงดู ท่านไปรอในห้องน้ำ ถ้าน้ำเดือดแล้ว ข้าจะให้ซื่อจ้วงยกน้ำเข้าไปให้

ซ่งฝูเซิงพยักหน้า เมื่อพูดเสร็จแล้ว เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูก

แต่ก่อน คิดว่าอยู่ๆ ไปก่อนและห้องที่อยู่ก็เป็นบ้านอื่น เขาไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่า

ไม่ว่าบ้านนั้น จะมีห้องเล็ก หรือห้องใหญ่ ในบ้านจะไม่มีประตู

เขาคิดไม่ออกว่า คนก่อนๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้จะใช้ชีวิตอย่างไร หรือว่าพวกเขา ตอนย้ายบ้านได้ยกประตูออกไปด้วยอย่างนั้นหรือ

ถ้ามีหนูวิ่งเข้ามา มันคงต้องร้องไห้ออกไปแน่นอน เพราะในห้องเก่ามากจนแม้กระทั่งแผ่นไม้ก็ไม่มีให้กัด

ซ่งฝูเซิงเดินเข้ามาในห้องและเดินออกไปยืนอยู่ตรงประตู ตะโกนเรียก “เออร์ยา?”

เขาไม่ชอบต้ายา รู้สึกว่าต้ายาคล้ายกับสะใภ้รอง มองไปที่จิงเป่าที่ไม่พูดอะไร แต่ว่าเขาไม่มีแววตาจริงใจเหมือนกับเถาฮวา

และก็ไม่มีแววตาโง่เขลาเหมือนเออร์ยา เออร์ยาคล้ายกับลูกสาวของเขา ยอมทุกอย่างเพื่ออาหารการกิน เด็กพวกนี้ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่ออาหาร มักมองโลกในแง่ดี บริสุทธิ์สดใส

แน่นอนว่าเขาไม่ชอบนาง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลยต้ายาและไม่ได้คิดว่าจะไม่ดูแลเด็กคนนี้แล้ว ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นหลานของเขา แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเขาจะเรียกใช้เออร์ยาแทน

“เอ้ย ลุงสาม”

“ท่านลุงสามยังมีเสื่อหรือไม่ ข้าขอสองผืน?”

เออร์ยายังไม่ตอบ ท่านย่าหม่ายืนอยู่ในแปลงปลูกพริกก็ตะโกนออกมา “ลูกสาม ขนของเสร็จแล้วหรือ อีกสักพักแม่จะไปช่วยเจ้าจัดของให้เป็นระเบียบนะ”

ซ่งฝูเชิงรีบปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้ว ท่านทำงานของท่านเถอะ ทุกคนบอกว่าจะสระผม กำลังสระผม คงเข้ามาไม่สะดวก ให้เออร์ยาส่งให้สองผืนก็พอแล้ว”

พอตะโกนเสร็จ ซ่งฝูเซิงรีบไปหลบในห้องปลูกพริกเพื่อเพิ่มฟืนที่หมดแล้ว เฉียนหมี่โซ่วกำลังเตรียมอาบน้ำที่มียาสระผมกับครีมอาบน้ำ เขาใช้ของจากบ้านหลังก่อนที่มีอยู่เต็มในขวดกระเบื้อง

เขารีบกลับออกไป

ต่อไปจะอาบอย่างไร บอกซื่อจ้วงว่าพวกเขาจะให้น้ำที่มีฟองครีมไว้อาบน้ำ แม้กระทั่งน้ำ หนึ่งกะละมังที่มีฟองก็ถูกยกออกไปให้ทุกคนชำระล้างสิ่งสกปรกและสระผม นี่กลายเป็นปัญหา เพราะต้องใช้น้ำร้อนเยอะมาก เนื่องจากพวกเขาต้องสระผมหลายครั้ง

ยาสระผม เครื่องสำอาง มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ต้องสระหลายครั้งถึงจะไล่เหาออกให้หมดได้เร็วขึ้น

แต่ในอดีตมีแต่ของทำจากพืชเท่านั้น ใช้สบู่ครั้งเดียวคงไล่เหาไม่สำเร็จ

ดังนั้นทุกคนควรใช้ยาสระผมที่มีฟอง ดีกว่าไม่มีฟอง“เข้ามานี่เจ้าเด็กสกปรก มาให้ลุงของเจ้าอาบน้ำให้สะอาดๆ”

ซ่งฝูเซิงใช้มือถูไปที่บริเวณรักแร้หมี่โซ่ว หยอกล้อหมี่โซ่วจนเขาหัวเราะเสียงดังออกมา