ตอนที่ 144 ปรุงยา ถูกฟ้าผ่า

แม่ครัวยอดเซียน

“หลงหลิวหลี เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป” ฮัวจิงเฟยรู้สึกเบื่อหน่าย การให้คนไม่ชอบอยู่นิ่งอย่างเขามานั่งรอนิ่ง ๆ ชวนให้รู้สึกราวถูกลงโทษ

“ว่าจะปรุงยาสักหน่อย เจ้าต้องมาช่วยด้วย” หลิวหลีวางแผนว่าจะรอให้หนานกงเวิ่นเทียนออกจากฌานแล้วค่อยกลับพร้อมกัน ในเมื่อไม่มีอะไรทำก็ปรุงยาแล้วกัน ถึงแม้พลังบำเพ็ญเพียรของฮัวจิงเฟยจะไม่เท่าไหร่แต่ให้มารับวิบากอัสนีบาตไม่กี่ทีก็พอไหว

“หลงหลิวหลี สายตานี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฮัวจิงเฟยถูกสายตาที่เจือแววรังเกียจของหลิวหลีทำให้ขนลุกขนพอง

“มองไม่ออกหรืออย่างไร รังเกียจน่ะสิ พลังบำเพ็ญเพียรอ่อนแอขนาดนี้อย่าโดนฟ้าผ่าจนบาดเจ็บล่ะ ข้ารับปากแล้วว่าจะพาเจ้ากลับบ้านแบบครบ 32”  ให้เป็นกระสอบทรายอาจจะค่อนข้างทุลักทุเลอยู่เล็กน้อย

“ถูกฟ้าผ่าจนบาดเจ็บหรือ” หนังตาขวาฮัวจิงเฟยกระตุกไม่หยุด ฟ้าผ่าที่อีกฝ่ายพูดถึงจะใช่อันเดียวกับที่เขาเข้าใจไหมนะ

“ใช่ ถูกฟ้าผ่า ข้าลืมบอกไปน่ะ ตอนนี้ข้าเป็นนักปรุงยาระดับ 8 แล้ว” หลิวหลีพูดจบก็ยิ้มโชว์ฟัน

ฮัวจิงเฟยรู้สึกเหมือนตอนนี้เขากำลังโดนสายฟ้าฟาด นังมารนางนี้เป็นนักปรุงยาระดับ 8 แล้วหรือ แล้วคนอย่างเขาจะอยู่อย่างไรได้ นางทำได้อย่างไรกัน นักปรุงยาระดับ 8 ที่มีอายุไม่ถึงร้อยปี

“เดี๋ยวอีกครู่หนึ่งจะมีวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอย่าลืมมาช่วยข้ารับหน่อย” หลิวหลีพูดจบ ฮัวจิงเฟยตัวแข็งทื่อกลายเป็นรูปปั้น ดังนั้นสายฟ้าผ่าที่พูดถึงเมื่อครู่คือวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ หลิวหลีคิดจะปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 จำนวนเท่าไหร่กันแน่

หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่พร้อมสำหรับการปรุงยาแล้ว

“โถ ฮัวจิงเฟยเจ้าแข็งแรงขึ้นไม่น้อยเลย” หลิวหลีมองฮัวจิงเฟยที่ทนรับวิบากอัสนีบาตไปแล้ว 3 ครั้ง

ฮัวจิงเฟยไม่พูดไม่จา เขาไม่อยากจะคุยกับนังมารนางนี้  รอบแรกที่นางปรุงยาระดับ 8 ก็โยนเขาออกไปรับวิบากอัสนีบาต ผลคือเขารับไปได้หนึ่งครั้ง แถมยังออกจะฝืนๆ เสียด้วย เลยถูกนังหนูโยนออกไปจากจุดรับวิบากอัสนีบาตอย่างรังเกียจ นังหนูเหลือพลังเซียนอยู่แค่ 3 ส่วน รับวิบากอัสนีบาตไป 3 ครั้ง ที่เหลือให้หยวนเทียนมารับแทน รอบที่สอง เขาสามารถรับวิบากอัสนีบาตได้เพียงครั้งเดียว ก็ถูกโยนออกไปเช่นเดิมส่วนที่เหลือ นังหนูเป็นคนรับ  รอบที่สาม เขารับไปรอบครึ่ง หลิวหลีก็รับที่เหลือทั้งหมด ส่วนรอบที่สี่ อัตราสำเร็จในการปรุงยาของหลิวหลีดีจนน่ากลัว ทำสำเร็จทุกครั้ง สามเดือนมานี้เขารับวิบากอัสนีบาตมาเจ็ดรอบแล้ว

จากเดิมที่หวาดกลัว ตอนนี้กลายเป็นชินชา จากเดิมที่รู้สึกหวั่นใจ ตอนนี้กลายเป็นกล้าพุ่งเข้าไปรับ พลังบำเพ็ญเพียรของเขาก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน การดื่มเลือดบริสุทธิ์ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรที่เพิ่มขึ้นไม่คงที่ ตอนนี้กลับมั่นคงขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ว่าวิธีการนี้ก็ออกจะ…  ช่างเถอะ หลิวหลีพูดถูกอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีมีโอกาสได้รับวิบากอัสนีบาตชำระร่างกาย เรื่องที่น่ายินดีก็คือร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปริตแบบหลิวหลี

ที่พูดเช่นนี้เพราะฮัวจิงเฟยไม่ประมาณตนเอง เอาตัวเองไปเทียบกับหลิวหลี ผลคือหลิวหลีบีบต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าจนเละคามือ ใช่แค่บีบเท่านั้น ฮัวจิงเฟยจึงไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบกับหลิวหลีอีก

วิบากอัสนีบาตครั้งที่ 4 ฮัวจิงเฟยที่อ่อนล้าน้อยๆ ถูกหลิวหลีโยนออกไป นึกไม่ถึงว่าฮัวจิงเฟยจะอดทนได้ขนาดนี้ แต่ยิ่งผ่านวิบากอัสนีก็จะยิ่งแข็งแกร่งเป็นเรื่องจริง ส่วนที่เหลืออีก 6 ครั้งนั้นหลิวหลีเป็นคนรับเอง เฮ้อ ตัวนางเองยิ่งผ่านวิบากอัสนีไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชินชา ถึงขนาดถ้าไม่โดนฟ้าผ่าจะรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก

ฮัวจิงเฟยที่ฟื้นฟูร่างกายไปกึ่งหนึ่งแล้วนั้น เห็นคนบางคนเดินออกจากแสงสายฟ้าด้วยท่าทีทรงพลัง พอเปรียบกับคนด้วยกันมันช่างน่าโมโห ในฐานะที่ฮัวจิงเฟยเป็นคนบ้านสกุลฮัว ความภาคภูมิใจที่มีสั่นคลอนไปเพราะหลิวหลี ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากวันนึงเขาเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรสายพุทธก็คงไม่แปลกใจ

“ช่วงนี้ไม่อยากปรุงยาแล้ว รู้สึกตันอีกแล้ว” หลิวหลีพูดพลางโยนขวดหยกไปมา หยวนเทียนกับฮัวจิงเฟยที่มองอยู่ รู้สึกราวใจเต้นระรัวไปพร้อมขวดแก้วที่โยน นี่ๆ หลิวหลี นั่นมันยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 เชียว ช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม

อาจเล่นจนพอใจแล้วกระมัง หลิวหลีถึงได้โยนขวดสองขวดออกมา ฮัวจิงเฟยกับหยวนเทียนรับไว้คนละขวด

“นี่เป็นค่าตอบแทนของพวกเจ้า ไม่ใช้พวกเจ้ารับวิบากอัสนีบาตเปล่าๆ หรอก” ทำไมหลิวหลีจะไม่เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคน

หยวนเทียนรับมาดู ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 จำนวน 10 เม็ด ส่วนฮัวจิงเฟยชะงักนิ่งอารามตกใจเมื่อเปิดขวดดู จะว่าไปแล้ว เหมือนทั้งบ้านสกุลฮัวจะมียาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 อยู่แค่ไม่กี่เม็ด เขาได้มาตั้ง 10 เม็ด เหมือนฝันไปเลยจริงๆ

“หลิวหลี ให้มามากเกินไปหรือเปล่า” ฮัวจิงเฟยกล่าว หยวนเทียนก็รู้สึกเช่นกัน

“พวกเจ้าสมควรได้รับมัน อีกอย่างหากไม่มีพวกเจ้ามาคอยรับวิบากอัสนีบาต ยานี้ก็คงปรุงไม่สำเร็จ แต่ช่วงนี้จะไม่ปรุงยาแล้วล่ะ มียาศักดิ์สิทธิ์มากพอใช้แล้ว” หลิวหลีค่อนข้างพอใจในตัวคนทั้งสองไม่น้อย

พอใช้หรือ แค่พอใช้อย่างนั้นหรือ หลงหลิวหลี เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นก็ได้ ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 ไม่รวมที่ให้พวกเขานั้น ก็มีเป็นร้อยเม็ด คนอื่นปรุงยาออกมาหนึ่งเตา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งปีกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ แต่ดูนาง แค่ไม่กี่วันก็กลับมามีชีวิตชีวา สามารถปรุงยาต่อได้อย่างไม่มีปัญหา อีกทั้งนางยังมีพืชศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากอีกด้วย

“เพราะข้ามีสวนยาพกพา” ตอนนั้นหลิวหลีให้คำตอบเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นมารที่วาสนาดีจนน่ากลัว

“ไม่ปรุงยาแล้วเจ้าจะทำอะไร บำเพ็ญเพียร เข้าฌานหรือ” ฮัวจิงเฟยกล่าว

“ไม่ล่ะ มันมาถึงจุดที่ตันๆ แล้ว ถึงฝึกต่อไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร” หลิวหลีพูดพลางส่ายหัว นางรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย

“เอ่อ รอข้าสักครู่ ข้าจะไปรับเสี่ยวเทียน” หลิวหลีเหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่างจึงรีบวิ่งออกไป เพียงไม่นานก็เห็นหลงหลิวหลีเดินเข้ามาพร้อมหนานกงเวิ่นเทียน

ฮัวจิงเฟยยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อเห็นหนานกงเวิ่นเทียน  นี่คือเขาบรรลุช่วงแยกกายาแล้วใช่หรือไม่

“พี่หนานกง นี่ท่านเข้าสู่ช่วงแยกกายาแล้วใช่หรือไม่” ฮัวจิงเฟยมองหนานกงเวิ่นเทียน อาจเพราะเพิ่งจะบรรลุขั้น ทำให้พลังงานรอบตัวของหนานกงเวิ่นเทียนยังคงเรืองรอง

“ใช่” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า

“แบบนี้นี่เองเช่นนั้น เสี่ยวเทียน ข้าจะไปปรุงยาสักหน่อย เจ้าช่วยรับวิบากอัสนีบาตให้ข้าไม่กี่ครั้งพลังก็จะคงที่มากขึ้น” หลงหลิวหลีตัดสินใจกลับไปปรุงยาอีกครั้งทันที

ฮัวจิงเฟยไม่มีอะไรจะพูด หลงหลิวหลี ยังไม่ทันไรเจ้าก็เปลี่ยนความคิดเสียแล้ว เจ้าบอกว่ายาที่ปรุงนั้นพอกินแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าปรุงยาจนตื้อแล้วไม่ใช่หรือ บอกจะไปทำอย่างอื่นแล้วไม่ใช่หรือ

“ฮัวจิงเฟย พอถึงเวลาเจ้าก็เตรียมตัวไว้ หากเสี่ยวเทียนรับวิบากอัสนีบาตต่อไม่ไหว เจ้าจงขึ้นไปรับแทน” ทำไมหลงหลิวหลีจะอ่านสายตาประหลาดของฮัวจิงเฟยไม่ออก นางแค่ใจเอง จะมีอะไรที่ทำให้พลังคงที่ได้มากกว่าวิบากอัสนีบาตอีกหรือ

ดังนั้นเขาก็ยังต้องโดนฟ้าผ่าต่อไป แต่ก็นะ… เขาก็ไม่ได้คัดค้าน หลงหลิวหลีพูดถูก ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีมีโอกาสได้วิบากอัสนีบาตมาชำระร่างกาย

ดังนั้นหลิวหลีจึงกลับมาใช้ชีวิตแบบปรุงยาแล้วก็โดนฟ้าผ่าต่อ จนกระทั่งหนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตนคงที่แล้ว หลิวหลีจึงยอมหยุดปรุงยา เรื่องน่ายินดีคือ ในที่สุดฮัวจิงเฟยโดนฟ้าผ่าจนรู้สึกว่าตนเองแตะขอบช่วงแยกจิตระยะปลายแล้ว

ตอนนี้ฮัวจิงเฟยไม่อิดออดอีก เขารับขวดที่หลิวหลีส่งให้ เกรงใจนังปิศาจตนนี้จะเท่ากับทำร้ายตัวเอง เขาเป็นเด็กดีขนาดนี้จะทนทำร้ายตัวเองได้อย่างไรกัน

“มีแผนจะทำอะไรต่อไปหรือเปล่า หลิวหลี” หนานกงเวิ่นเทียนถาม

“แผนเหรอ ได้เวลากลับโลกอสูรเทพแล้ว ข้ารับปากกับหัวหน้าสกุลฮัวไว้ว่าจะส่งฮัวจิงเฟยกลับบ้านแบบครบ 32 อีกอย่าง กลับบ้านไม่นาน การจัดอันดับผู้ถูกเลือกก็จะเริ่มขึ้น” หลงหลิวหลีพูดพลางนับนิ้ว

ถึงฮัวจริงเฟยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจเขารู้สึกขอบคุณหลิวหลีอย่างมาก เขาไม่ใช่เพียงยังอยู่ครบ 32 เขายังก้าวหน้าไปอีกไม่น้อย ในตอนนี้เขานับเป็นอันดับหนึ่งของบ้านสกุลฮัวเลยก็ว่าได้

“รักษาตัวด้วย ยินดีต้อนรับเจ้ามาโลกอสูรเทพนะ หยวนเทียน” หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง หลิวหลีก็ไม่ได้เรียกหยวนเทียนว่าผู้อาวุโสอีกต่อไป

“ใช่แล้ว อาเทียน เจ้าต้องมาโลกอสูรเทพนะ ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวให้ทั่ว” ฮัวจิงเฟยก็รู้สึกอาลัยเพื่อนอสูรเทพตนนี้เช่นกัน

“แน่นอน” หยวนเทียนก็รู้สึกผูกพันกับคนทั้งสาม โดยเฉพาะฮัวจิงเฟย ทั้งสองรับวิบากอัสนีบาตด้วยกัน รับไปรับมามิตรภาพพลันงอกเงยขึ้น

“รักษาตัวด้วย” หยวนเทียนกล่าว แล้วทั้งสามคนก็จากไป โดยไม่เสียเวลา จุดหมายคือโลกอสูรเทพ

“เสี่ยวเทียน พวกเราจะยังไปโดยค่ายกลขนส่งด้านหลังสำนักเมฆาคล้อยหรือไม่” หลิวหลีถาม แต่ดูเหมือนว่าทางนี้จะไม่ใช่

“ไม่ใช่ค่ายกลนั้น ใกล้ๆนี้ก็มีค่ายกลขนส่งอยู่ที่หนึ่ง ตรงกลับไปโลกอสูรเทพได้เลย” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว ที่อยู่ด้านหลังสำนักเมฆาคล้อยนั้นคือค่ายกลขนส่งของสกุลหลง ซึ่งออกจะยุ่งยากไม่น้อย ที่นี้เป็นของสกุลฮัวพอดี สามารถไปส่งฮัวจิงเฟยกลับบ้านได้เลย

“จริงสิ หลิวหลี นี่เป็นค่ายกลขนส่งของสกุลฮัว พวกเราตรงกลับสกุลฮัวได้เลย พอถึงตอนนั้นข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” ฮัวจิงเฟยกล่าว

“ใช้ได้เลย จะได้ไปเอาอั่งเปาจากผู้นำสกุลฮัวด้วยพอดี”  ไม่เลวๆ นางจะได้ไม่ต้องเสียเวลา

พอพูดถึงเรื่องนี้ ฮัวจิงเฟยไม่ใคร่จะพอใจนัก แม้พลังบำเพ็ญเพียรของเขาจะสู้สองคนนี้ไม่ได้ พรสวรรค์ก็สู้สองคนนี้ไม่ได้เช่นกัน แต่ช่วยอย่าทำหน้าเหมือนจะไปทิ้งพัสดุได้ไหม การกระทำเช่นนี้ทำให้ตัวภาระอย่างเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก

แต่ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสามคนก็มาถึงค่ายกลขนส่ง ไม่นานค่ายกลบ้านสกุลฮัวเปล่งแสงเรืองรอง และทั้งสามก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านสกุลฮัว

“ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านนี่มันดีจริงๆ “ ฮัวจิงเฟยทำท่าบิดขี้เกียจ ตอนนี้ได้มีลูกศิษย์ไปรายงานผู้นำสกุลเรื่องฮัวจิงเฟยกลับมา ฮัวจิงหงที่กำลังพูดคุยอยู่กับผู้นำสกุลจึงรุดมาหาพี่น้องตนเอง

“จิงเฟย พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไร?” ฮัวจิงหงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่าเขาดูพลังบำเพ็ญเพียรของฮัวจิงเฟยไม่ออก เมื่อครู่เขายังได้ใจที่ตนเองเกือบแตะขอบช่วงแยกจิต ถึงได้ไปขอคำแนะนำจากผู้นำสกุล

“ช่วงแยกจิตระยะกลาง มั่นคงทีเดียว เริ่มจะมีแววบรรลุช่วงระยะปลายแล้ว จิงเฟยเจ้าออกไปคราวนี้ได้อะไรกลับมาไม่น้อยเลย” ฮัวเชียนหนิวพอใจอย่างมาก ในที่สุดบ้านสกุลฮัวของเขาก็มีคนเป็นหน้าเป็นตาได้เสียที สิ้นสุดเสียงฮัวเชียนหนิว ฮัาจิงหงพลันรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง

“ฮ่าฮ่า ท่านลุง ข้าโชคดีเท่านั้นเอง ท่านลุง ท่านช่วยบอกท่านพ่อข้าที ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของข้าสูงกว่าเขาแล้ว บอกให้เขาเลิกตีข้าได้หรือไม่” ฮัวจิงเฟยพูดพลางถูมือทั้งสองข้าง

“เขาคือท่านพ่อเจ้าเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” ฮัวเชียนหนิวกรอกตาใส่ฮัวจิงเฟย เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับสูงแล้ว ทำไมยังคงทำตัวเหมือนเด็ก ๆ

“ผู้นำสกุลฮัว (ท่านอา)” หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนทำความเคารพอย่างนอบน้อม ไม่ว่าพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาจะสูงแค่ไหน แต่ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้อาวุโส

“หลิวหลีจากสกุลหลง และเวิ่นเทียนจากสกุลหนานกงนี่เอง พวกเจ้ากลับมาด้วยกันหรือเนี่ย” ฮัวเชียนหนิวมองดูผู้ถูกเลือกจากทั้งสองสกุล พอเถอะ เขาไม่มีความสุขแล้ว

“เจ้าค่ะ  ขอบคุณค่ายกลขนส่งของสกุลฮัว พวกเราขอตัวก่อน” หลิวหลีพูดจบ ก็รีบลากหนานกงเวิ่นเทียนออกไป

“เจ้าเด็กนี่ จะอยู่ค้างบ้านอาสักคืนไม่ได้เลยหรืออย่างไร เจ้ามากับข้า จิงหงกลับไปก่อน” ฮัวเชียนหนิวพูดพลางมองดูแผ่นหลังหนานกงเวิ่นเทียน แล้วมองฮัวจิงเฟยที่จะหนีไป ความแตกต่างนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

“ขอรับ”

………………………..