ตอนที่ 615 ธรรมะไร้เทียมทาน

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตอนเช้าตรู่ ฉินมู่มายังวัดพุทธในเมืองหลี และเคาะประตู เขาขอเข้าพบและกล่าว “ข้ามาเพื่อพบกับผู้เฒ่าหม่า”

หลวงจีนที่ต้อนรับเขารีบเข้าไปข้างในเพื่อถ่ายทอดคำขอของเขา

สาเหตุที่ฉินมู่กล่าวว่าผู้เฒ่าหม่า แทนที่จะเป็นยูไลหม่า ก็เพราะว่ายูไลหม่าเป็นผู้นำแห่งลัทธิพุทธ ยูไลหม่าจะต้องคอยดูแลวัดใหญ่ฟ้าคำรามและส่งเสริมลัทธิพุทธ ในทางกลับกัน ผู้เฒ่าหม่านั้นเป็นครอบครัวของเขา

หนึ่งนั้นคือศักดิ์ฐานะ หนึ่งนั้นคือสายใยครอบครัว

การมาเข้าพบยูไลหม่า เขาจะต้องใช้ศักดิ์ฐานะของกษัตริย์มนุษย์และจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ในทางกลับกัน เมื่อมาพบผู้เฒ่าหม่า ฐานะของเขาก็เพียงแค่เด็กที่เฒ่าหม่าเลี้ยงดูมา

ผ่านไปสักพัก หลวงจีนต้อนรับก็ออกมาและกล่าว “ผู้เฒ่าหม่าเชิญท่านเข้าไปข้างใน”

ฉินมู่คลี่ยิ้ม และเดินตามเขาเข้าไปในวัด วัดแห่งนี้เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงมอบไว้ให้ หลวงจีนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามก่อสร้างเพิ่มเติม และฝึกบำเพ็ญอยู่ในนี้ทุกๆ วัน

ฉินมู่เงยศีรษะขึ้น และเขาเห็นสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นลอยอยู่รางเลือนเหนือวัด ข้างใต้สรวงสวรรค์ยี่สิบชั้น หลวงจีนมากมายกำลังสวดภาวนาพระสูตรอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงสวดภาวนาจะเข้าไปปะทะกันบนท้องฟ้าและก่อขึ้นมาเป็นร่องรอยแสงพุทธองค์ ถ่ายเทเข้าไปในสวรรค์ยี่สิบชั้น

สวรรค์ยี่สิบชั้นนั้นคือสวรรค์ของลัทธิพุทธ และรูปเงาของสวรรค์ยี่สิบชั้นที่ลอยอยู่เหนือวัดนั้นก็ไม่ใช่ของจริง

ฉินมู่ถอนสายตากลับมา ในตอนนี้ เขาก็เห็นผู้เฒ่าที่เรียบง่ายผู้หนึ่ง เขาถอดกาสาวพัสตร์ยูไลของตน และมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม

เฒ่าหม่า

ฉินมู่รู้สึกตีบตันในคอ ตั้งแต่เมื่อเฒ่าหม่าได้กลายเป็นยูไลหม่าแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม พวกเขาก็ไม่อาจพบปะซึ่งกันและกันได้บ่อยครั้งอีกต่อไป เมื่อเขาถอดกาสาวพัสตร์ออก ก็เท่ากับมาพบปะในฐานะสมาชิกครอบครัว แล้วเขาจะไม่รู้สึกตื้นตันได้อย่างไร

แต่ทว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดพิธีพุทธแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม และมีหลวงจีนอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจ และไม่นำเรื่องยุ่งยากมาให้เฒ่าหม่า เรื่องยุ่งยากทางจิตใจ

“ท่านปู่หม่า พวกท่านไม่ได้ติดต่อสวรรค์ยี่สิบชั้นสำเร็จไปนานแล้วหรอกหรือ”

ฉินมู่ปรับกรอบคิดจิตใจเขาให้มั่นคง พยายามจะที่จะสงบใจตน เขาถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทำไมพวกท่านยังคงพยายามติดต่อกับสวรรค์ยี่สิบชั้นอยู่อีกล่ะ หรือว่าพุทธเจ้าทั้งหลายแห่งพุทธเกษตรไม่ได้ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือและทักษะขั้นที่สูงกว่าลงมา”

“พวกเขาถ่ายทอดลงมา แต่ไม่ได้มากมายอะไร”

เฒ่าหม่านำเขาไปยังข้างๆ ของหลวงจีนเหล่านั้นที่กำลังสวดภาวนาอยู่เพื่อพยายามเชื่อมต่อกับพุทธเกษตร เขาพบว่าพื้นที่ภายในของวัดนั้นโอ่โถงและมีหลวงจีนมากกว่าหนึ่งพันคนนั่งขัดสมาธิดอกบัวอยู่ บ้างก็นั่งอยู่บนพื้นราบ บ้างก็นั่งอยู่บนอากาศ และถึงกับมีบางคนที่นั่งอยู่บนยอดเจดีย์ “เจตนาของพุทธเกษตรนั้นคือให้พวกเรามุ่งมั่นกับการฝึกปรือ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับการแก่งแย่งในโลกปุถุชน พวกเขาดูเหมือนไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์ และดูราวกับว่าจะมีข้อห้ามถือสามากมาย เจตนาของข้านั้นก็เพื่อให้พวกเขาถ่ายทอดวิชาฝึกปรือที่ลึกซึ้งกว่านี้ลงมา พุทธเจ้ามีจิตใจที่หมายจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในโลกหล้า อย่างนั้นแล้วพวกเขาจะทนดูคนธรรมดาในโลกตกอยู่ในความทุกข์ได้อย่างไร”

ฉินมู่มองไปรอบๆ หลวงจีนนับพัน และเขาพบว่ามีทั้งชาย หญิง มนุษย์ และปีศาจ พวกเขาล้วนแต่สวดภาวนา ไม่ปล่อยให้สวรรค์ยี่สิบชั้นได้สงบหู

วิธีการต่อสู้เช่นนี้ เหมือนกับการก่อกวนแบบหนึ่ง โดยการพร่ำสวดนามของพุทธเจ้า พุทธเจ้าก็ย่อมจะได้ยิน และหลวงจีนเหล่านี้ก็กำลังทำเช่นนั้น

“เดิมทีมีพุทธเจ้าจำนวนหนึ่งที่ถ่ายทอดทักษะของพวกเขา แต่ในภายหลัง ก็ไม่มีใครอื่นที่ถ่ายทอดคำสั่งสอนลงมาอีกเลย ข้าหมายที่จะเชื้อเชิญพวกเขาลงมายังแดนต่ำใต้ แต่พวกเขาไม่อยากจะลงมาช่วยเหลือพวกเรา”

เฒ่าหม่าส่ายหัว “ในความเห็นของข้า พวกเขาไม่ได้กลัวการแปดเปื้อนโลกปุถุชน แต่กลับกลัวตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวบางตน แม้ว่าพวกเขาจะมีขั้นวรยุทธและวิชาฝึกปรืออันลึกล้ำ แต่กรอบคิดจิตใจกลับตกต่ำ เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกพุทธเจ้าแห่งพุทธเกษตรก็ไม่อาจทานทนการก่อกวนได้อีกต่อไป และเสนอแนะว่าให้มีการประชันธรรมะระหว่างพุทธบุตร”

“ประชันธรรมะ?”

ฉินมู่พลันตื่นเต้นขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาจะแข่งขันกันอย่างไร”

“มันเป็นเพียงแค่การเลือกสรรศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งลัทธิพุทธและดูว่าความสำเร็จเชิงธรรมะของใครจะเหนือกว่า การประชันขันแข่งเช่นนี้จัดกันข้ามห้วงมิติ ข้าได้ส่งตัวจ้านคงไป”

เฒ่าหม่ายกมือขึ้นและชี้ “จ้านคงอยู่ที่นั่น เขาได้เอาชนะพุทธบุตรจากพุทธเกษตรไปจำนวนหนึ่งแล้ว”

ฉินมุ่เงยศีรษะขึ้นมองดู และเห็นลิงยักษ์อสูรจ้านคงนั่งอยู่บนเจดีย์ เจดีย์นั้นดูเหมือนจะตั้งอยู่ในความสูงทัดเทียมกับสวรรค์ยี่สิบชั้น ตรงหน้าของเขาคือพุทธบุตรผู้หนึ่ง เขาขี่ช้างเผือกอันปกคลุมไปด้วยหยกและมุก ดูกุก่องตระการเป็นอย่างยิ่ง

ข้างหลังช้างเผือกนั้นคือกลุ่มวัดวาอารามอันงามอย่างพิสดาร แสงรัศมีหมุนวนไปข้างหลังศีรษะของพุทธเจ้ามหึมาทั้งหลาย และพวกเขาก็มีสีหน้าอันเคร่งขรึมและสูงส่ง

การโต้วาทีของทั้งคู่เข้มข้นเป็นอย่างนิ่ง ถ้อยคำจากพุทธบุตรแห่งสวรรค์ยี่สิบชั้นไหลลื่นออกมาราวกับมหานที และเนื้อความของวาทะเขาก็ไม่หยุดยั้งลงแม้ว่าจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เสียงของเขาบางครั้งก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและก้องสะท้อน และบางครั้งก็ลึกและต่ำ มันทำให้คนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ

วาทศิลป์เช่นนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสุนทรพจน์ยาวเหยียดอันไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้

เมื่อพุทธบุตรผู้นี้กล่าวจบ เขาก็หยุดพูด เขามองไปที่ลิงยักษ์อสูรด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ลิงยักษ์อสูรยกฝ่ามือขนดกของเขาขึ้น นิ้วสีดำหนาใหญ่ทั้งห้าของเขากางออกไป เขากล่าวด้วยเสียงหยาบกร้าน “บรม”

พุทธบุตรไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะกล่าวอะไร และกำลังขบคิดอย่างหนัก ผ่านไปพักหนึ่ง ลิงยักษ์อสูรก็กล่าว “อนัตตา”

พุทธบุตรขมวดคิ้ว และใบหน้าของเขาเผยความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ลิงยักษ์อสูรกล่าว “มี”

ในที่สุด เขาก็ตัวสั่นเทิ้มและร้องออกมา “ทำไมถึงยังมี ในเมื่อเป็นอนัตตาไปแล้ว”

ลิงยักษ์อสูรไม่ใส่ใจเขา และกล่าว “นิ่ง”

เขากลายเป็นเดือดดาลและตะโกนออกไป “ในเมื่อมีอยู่แล้ว ทำไมถึงยังเป็นความนิ่ง คำพูดของเจ้าไม่เข้ากับธรรมะ!”

ลิงยักษ์อสูรกล่าว “ปรมาณู”

พุทธบุตรผู้นั้นไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป และเขาคิดที่จะโต้แย้งทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม เขาแข็งทื่ออยู่บนหลังช้างเผือก จนไปด้วยคำพูด

ข้างหลังเขาพุทธเจ้าใหญ่ตนหนึ่งถอนหายใจและกล่าว “บรม อนัตตา มี นิ่ง ปรมาณู อัศจรรย์จริงๆ แต่ละคำราวกับมุกและหยก และแต่ละถ้อยนั้นก็กำลังอภิปรายมหายานอยู่ เมื่อคำทั้งห้าเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน มันก็ทั้งไพศาลและลึกล้ำ คงเสี่ยง เจ้าพูดมาหนึ่งชั่วโมงและกล่าวถ้อยความยาวเหยียด ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่อาจเทียบกับคำใดคำหนึ่งในบรรดาห้าคำของเขาเลย เจ้าแพ้แล้ว ถอยไป”

คงเสี่ยงลุกขึ้นจากช้างเผือก และเขาโค้งคารวะไปยังลิงยักษ์อสูร ก่อนที่จะถอยออกไป

ฉินมู่ตกตะลึงและงงงวย เขาถามเฒ่าหม่า “ท่านปู่หม่า เจ้าตัวใหญ่เขามีรากเหง้าแห่งปัญญาจริงๆ น่ะหรือ”

เฒ่าหม่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เขามีรากเหง้าแห่งปัญญาจริงๆ! ถึงกับเหนือกว่าข้าและหมิงซิ่น!”

ในตอนนี้ พุทธบุตรอีกคนก็ออกมาจากสวรรค์ชั้นถัดขึ้นไป ข้างหลังเขา พุทธเจ้าจำนวนมากที่มีกายเนื้ออันยิ่งใหญ่ไพศาลก็ติดตามเขาออกมา เมื่อเขานั่งลงบนอาสนะ พุทธบุตรผู้นี้ก็เปล่งแสงเจิดจ้า และรัศมีอันละลานตาก็สาดส่องลงมาจากสวรรค์ยี่สิบชั้น สาดส่องทุกๆ คนในวัด

แสงพุทธธรรมอันอร่ามเรืองนี้อาบไล้ทุกๆ คน และหลวงจีนทั้งหมดในวัดก็ทึ่งตะลึงไป “พุทธบุตรผู้นี้มีความสำเร็จในการฝึกฝนธรรมะสูงยิ่ง!”

ลิงยักษ์อสูรยกมือของเขาขึ้นมา และบังแสงเอาไว้ตรงหน้าดวงตาของเขา เงาของฝ่ามือใหญ่ทาบทับลงบนใบหน้า

ขณะที่พุทธบุตรคนนี้กำลังจะเริ่มโต้วาที เขาก็เห็นภาพนี้และสะดุ้งขึ้นมา รสหวานแล่นมาที่คอของเขา และเขาก็กระอักเลือดสดออกมากำใหญ่

เขาร้องออกมา “ความสำเร็จเชิงธรรมะของเจ้าเหนือกว่าข้าเชียวหรือ ข้ายังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรสักอย่าง และเจ้าก็ชนะการโต้วาทีนี้ไปแล้ว” หลังจากที่กล่าวจบ เขาก็ผงะล้มลงไปข้างหลัง หายใจอย่างอ่อนแรง

ข้างหลังเขา พุทธเจ้าร่างมหึมารีบเข้ามาช่วยเขาไว้ และกู้ชีวิตเขากลับมาได้ในที่สุด พุทธเจ้านั้นกล่าวชม “หัวข้อที่พุทธบุตรผู่จ้าวต้องการถกนั้นก็คือ ‘อะไรคือแสงสว่าง’ เขาไม่นึกว่าพุทธบุตรน้อยผู้นี้จะมองทะลุหัวข้อกระทู้ของเขา เขานั้นไม่มีจุดอ่อนในการโต้วาทีจริงๆ นับถือ นับถือ!”

ฉินมู่อ้าปากค้าง เขาละสายตาออกมาจากลิงยักษ์อสูรด้วยความยากลำบาก และมองไปที่เฒ่าหม่าด้วยความสงสัย

เขาไม่เข้าใจการโต้วาทีแบบนี้โดยสิ้นเชิง

เฒ่าหม่าอธิบาย “พุทธบุตรผู่จ้าวเริ่มหัวข้อกระทู้ด้วยแสงสว่าง และเขาสาดแสงไปอย่างเจิดจ้าด้วยรังสีแสงพุทธธรรมของตน ในขณะเดียวกันนั้น จ้านคงก็ยกมือขึ้นป้องเอาไว้ และข้างใต้ฝ่ามือเขาคือความมืด นี่คือการบอกเขาว่า ที่ใดมีแสง ที่นั่นย่อมมีความมืด และพวกมันไม่อาจแยกจากกันได้ เพราะอย่างนั้น การโต้วาทีของพุทธบุตรผู่จ้าวจึงถูกตัดสะบั้น และเขาไม่อาจพูดอะไรสักสิ่งที่กลั้นเอาไว้ในอก ทำให้เขากระอักเลือดออกมา จากนี่ เจ้าก็คงจะเห็นได้ถึงรากเหง้าปัญญาของจ้านคง”

ฉินมู่อึ้งกิมกี่

เขาเห็นได้ชัดว่าการฝึกปรือของพุทธบุตรผู่จ้าวนั้นสูงล้ำอย่างสุดขีด เขานั้นน่าจะเป็นยอดฝีมือธรรมะในขั้นชาวสวรรค์ ต่อให้ฉินมู่ไปต่อสู้กับเขา ก็อาจจะเอาชนะไม่ได้

ไม่คาดคิดเลยว่าพุทธบุตรผู่จ้าวจะกระอักเลือดและเกือบตายเพียงเพราะลิงยักษ์อสูรยกมือขึ้นป้องแสง!

ลิงยักษ์อสูรได้โต้วาทีเช่นนี้ไปจนถึงสวรรค์ชั้นลักษมี และชั้นถัดไปก็เป็นสวรรค์ชั้นสรัสวดี

จากสวรรค์สรัสวดี พุทธเจ้าหลายตนออกมาข้างหน้าพร้อมกับพุทธบุตรเยาว์ผู้หนึ่ง และเขานั่งอยู่ตรงข้ามลิงยักษ์อสูร พุทธบุตรเยาว์ผู้นั้นนั่งลงอย่างแช่มช้า และเขาไม่พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่ยกดอกบัวขึ้นมาและกล่าว “ไม่มี”

ลิงยักษ์อสูรกล่าว “มี”

พุทธบุตรเยาว์ผู้นั้นขมวดคิ้วและวางดอกบัวลง “มี”

“ไม่มี”

พุทธบุตรเยาว์ลุกขึ้นและตะโกนไป “เจ้าเป็นคนธรรมดาหรืออย่างไร”

ลิงยักษ์อสูรส่ายหัว “ข้า ศักดิ์สิทธิ์”

พุทธบุตรเยาว์ถามด้วยเสียงอันกัมปนาท “เจ้าคือพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์หรือ”

ลิงยักษ์อสูรส่ายหน้า “ข้า ธรรมดา”

ใบหน้าของพุทธบุตรเยาว์แดงก่ำ และเขากล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เมื่อมือข้ามี เจ้าบอกว่าไม่มี เมื่อมือข้าไม่มี เจ้ากล่าวว่ามี เจ้าบอกว่าเจ้าคือพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อข้าถามว่าเจ้าเป็นพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ เจ้าก็บอกว่าเจ้าเป็นคนธรรมดา! เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่”

พุทธเจ้าทั้งหลายข้างหลังเขาขมวดคิ้ว และพวกเขาก็เรียกเทพวัชราจำนวนหนึ่งมาพาตัวเขาไป พุทธเจ้าคนหนึ่งออกมากล่าวขอโทษแก่ลิงยักษ์อสูร “ศิษย์น้องผู้นี้ให้อภัยเขาด้วย หัวใจของเขาตอนนี้กำลังสับสน เมื่อถือว่าสิ่งนั้นมี สิ่งนั้นย่อมไม่มี และบางครั้งสิ่งนั้นก็ไม่มีก็ต่อเมื่อมันมี เมื่อหัวใจของผู้ใดศักดิสิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นความธรรมดา”

ลิงยักษ์อสูรคารวะกลับไป แต่เขาไม่เปล่งวาจา

ฉินมู่อ้าปากค้าง เขารู้สึกสมองโป่งพอง และเขากุมหน้าผากพลางกล่าวกับเฒ่าหม่า “ท่านปู่หม่า ข้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ข้าไม่มีรากเหง้าปัญญาแบบนี้ ดังนั้นข้าไม่ฟังมันจะดีที่สุด”

เฒ่าหม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ข้าเยาว์เท่าจ้านคง ข้าก็ไม่มีทางมีความสำเร็จระดับนี้เหมือนกัน ในเมื่อเจ้ารับฟังจนสับสนงงงวย งั้นพวกเราออกไปเดินเล่นและสนทนากันข้างนอกวัดดีกว่า”

ฉินมู่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ทั้งสองคนเดินออกมาจากวัด และเฒ่าหม่าก็สูดลมหายใจลึก เขามองไปที่ฉินมู่ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่เอ๋อ ตอนนี้ข้าบรรลุเป็นพุทธเจ้าแล้ว และข้าก็ยิ่งเดินห่างไกลออกจากเจ้าไปมากขึ้นทุกที เมื่อข้าสวมใส่กาสาวพัสตร์และนั่งอยู่บนอาสนะพุทธเจ้า ข้าก็ไม่ใช่เฒ่าหม่าจากเมื่อครั้งเก่าก่อนอีกต่อไป ในสายตาของข้า เจ้าคือส่ำสัตว์ทั้งมวล แต่เมื่อข้าเดินลงจากศักดิ์ฐานะพุทธเจ้าและถอดกาสาวพัสตร์ออก ข้าก็จะเป็นเฒ่าหม่าแห่งหมู่บ้านพิการชราของพวกเรา ตำรวจเทวะหม่า เจ้าเป็นเด็กที่ข้าเฝ้ามองการเติบโตมาแต่อ้อนแต่ออก”

ฉินมู่พลันโผเขากอดเขาไว้แน่น

เฒ่าหม่าอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาแย้มยิ้มและตบหลังเขาเบาๆ “จ้านคงเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งนัก หมิงซิ่นก็เป็นเด็กดี ทั้งสองคนจะเป็นผู้สืบทอดวัดใหญ่ฟ้าคำรามในอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะไม่เป็นยูไลอีกต่อไป ข้าจะกลับไปที่หมู่บ้านพิการชชรา และพวกเราก็จะสามารถพูดคุยยิ้มหัวกันได้ในตอนนั้น ดื่มสุราและฉลองด้วยมื้อใหญ่”

ฉินมู่ถาม “ทำไมพุทธเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ยี่สิบชั้นถึงไม่ยินดีที่จะถ่ายทอดคำสั่งสอนของเขาลงมายังแดนต่ำใต้ล่ะ ท่านปู่หม่าได้ถามเหตุผลของพวกเขาไหม”

“ข้าได้ถาม พุทธเจ้าตนหนึ่งได้ตอบเหตุผลกับข้า วัดใหญ่ฟ้าคำรามรักษารอดมาได้ในภัยพิบัติครั้งก่อนหน้าทั้งหมด ก็เพราะว่าพวกเราไม่ถามไถ่เรื่องในโลกหล้า หากแต่ว่า เมื่อพวกเราปริปากถามไถ่ขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเราก็จะไม่ได้รับการปกป้องอีกต่อไป พวกเขาต้องการให้ข้านิ่งเงียบด้วยเช่นกัน”

เฒ่าหม่าถอนหายใจ “คราวนี้ข้าใช้ลูกไม้สกปรกที่เฒ่าใบ้สอนให้ เฒ่าใบ้บอกข้าว่าให้สั่งหลวงจีนทั้งหลายสวดภาวนานามของพุทธเจ้าและรบกวนความสงบของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะทานทนไม่ไหว และตอนนั้นพวกเขาถึงจะมาเจรจากับพวกเรา หากว่าพวกเราชนะการโต้วาทีนี้ พุทธเจ้าแห่งสวรรค์ยี่สิบชั้นก็จะอนุญาตให้คนฝั่งเราไปยังพุทธเกษตรได้สามคนเพื่อแสวงหาความรู้ แต่ทว่าพวกเขาไม่ยินยอมให้ผู้ที่บรรลุเขตขั้นพุทธเจ้าขึ้นไปที่นั่นเพื่อคอยช่วยเหลือ ข้าขบคิดใคร่ครวญอยู่ และข้าก็ตัดสินใจว่าได้ส่งคนไปแค่สามคนก็ยังดีกว่าไม่ได้ส่งไปเลย”

ในตอนนั้นเอง เสียงโห่ร้องก็ดังมาจากในวัด ฉินมู่และเฒ่าหม่าหันไปมองซึ่งกันและกัน พวกเขารีบรุดเข้าไปในวัด และเห็นหลวงจีนทั้งหลายแบกและโยนลิงยักษ์อสูรขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความยินดี รับตัวเขาเอาไว้แล้วโยนขึ้นไปใหม่!

“พวกเราชนะ พวกเราชนะแล้ว!” หลวงจีนทั้งหมดโห่ร้องอย่างตื่นเต้น