ตอนที่ 178 ของขวัญจากหลี่เสินถาน

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ตอนนี้หยางเสียวจิ่นไม่อยู่บ้าน มีแค่ลั่วซินอวี่ที่ไม่มีอะไรทำจึงมาคุยกับพวกเขาในลาน เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าลั่วซิวอวี่ว่างจัดจึงมาชวนคุยเป็นการฆ่าเวลา

เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าหยางเสียวจิ่นจะกลับมาตอนกลางคืน แต่พอฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่เห็นหน้าเธออยู่ดี และลั่วซินอวี่ก็ออกไปข้างนอกด้วย

เขาสัมผัสได้ว่ามีเรื่องผิดปกติ แสดงว่ากำลังมีเรื่องปะทุขึ้นแล้วแน่

ไม่นานนัก ก็มีคนส่งจักรยานที่ลั่วซินอวี่สัญญาไว้มาให้ เริ่นเสี่ยวซู่บอกครอบครัวเสร็จก็ออกไปตะลอนกับเขาด้วย เขาคิดว่าฝ่ายต่างๆ คงลงมือกับสมาคมตระกูลหลี่คืนนี้แหละ!

ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่ออกบ้านไป ใจก็กำลังใคร่ครวญว่าจะเกิดการลงมือที่ไหนกันแน่…มหาวิทยาลัย?

ก่อนฟ้าจะมืดสนิท เขารีบมุ่งไปทางมหาวิทยาลัย มีคนบรรยายภาพมหาวิทยาลัยให้เริ่นเสี่ยวซู่ฟังว่าที่นั่นเป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่สีเขียวเยอะมากไว้ให้พวกนักศึกษาเดินเล่นทำกิจกรรมกัน มหาวิทยาลัยเหมือนสวรรค์อันสงบสุขแห่งหนึ่ง

แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นมหาวิทยาลัยของจริง ก็เหมือนกับตัวเองถูกคนหลอกอย่างไรอย่างนั้น นอกประตูทางเข้าวิทยาลัย เขาเห็นเป็นรั้วป้องกันยื่นออกมา ในเขตวิทยาลัยก็มีบังเกอร์กับป้อมมากมายถูกติดตั้งไว้ ข้างในมีกองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่เดินตรวจตราอยู่ตลอด ทุกคนสำรวจมองรอบกายอย่างจริงจัง

แบบนี้มันเป็นสวนสาธารณะตรงไหนเนี่ย มองยังไงก็ฐานทัพชัดๆ!

ถึงว่าทำไมสมาคมตระกูลหลี่ไม่สนใจเรื่องที่หลัวหลานก่อเลย เป็นเพราะกองกำลังของพวกเขาทั้งหมดที่ประจำการณ์ในป้อมปราการ 109 นั้นมารวมพลกันที่นี่หมดแล้ว

ผลงานวิจัยนั่นสำคัญขนาดไหนกัน สมาคมตระกูลหลี่ถึงต้องปกป้องขนาดนี้

พื้นที่มหาวิทยาลัยไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่โดดเดี่ยว ถนนรอบๆ ยังมีพลเมืองของป้อมปราการเดินขวักไขว่ไม่น้อย พวกคนขายของตามข้างทางยังขายของตามปกติ

ตอนนั้นเองก็มีชายหน้าตาขึงขังในชุดธรรมดาเดินมาหาเริ่นเสี่ยวซู่ เขาเห็นว่าชายผู้นี้มีปืนซ่อนไว้อยู่ข้างตัว

ชายผู้นี้เหมือนจะเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่คอยมองเข้าไปในมหาวิทยาลัย จึงพูดว่า “เจ้าหนู มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าคนผู้นี้น่าจะมาจากสมาคมตระกูลหลี่ เขาไม่คิดเลยว่าสมาคมจะตั้งรั้วเสียแน่นหนาขนาดนี้ เขาเลยพูดว่า “นี่คือมหาวิทยาลัยใช่ไหม ผมมาทำงานวิจัยน่ะ”

ชายผู้นั้นหัวเราะ “เธอคิดว่าตัวเองหน้าเหมือนนักศึกษาที่ทำงานวิจัยอยู่งั้นเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พอใจ “ที่มาก็มาเพราะงานวิจัยหรอก ไม่ได้หรือไง นายเป็นใครถึงมาดูถูกฉัน!”

ชายผู้นั้นแปลกใจ จากนั้นก็ส่งสัญญาณไปรอบๆ คนใส่เสื้อผ้าธรรมดาไม่น้อยรวมตัวกัน

ทว่าตอนนั้นเองคนเดินถนนที่ผ่านมาผู้หนึ่งก็พลันควักระเบิดมืดจากกระเป๋าแล้วโยนใส่ประตูมหาวิทยาลัย หลังจากโยนระเบิดเสร็จก็ไม่ได้หนีไป แต่ชักปืนพกออกมายิงมั่วซั่วต่อ เหมือนกับว่าเขาจะตั้งใจก่อความวุ่นวายอย่างไรอย่างนั้น

เริ่นเสี่ยวซู่ใช้โอกาสชุลมุนนี้รีบหาบังเกอร์หลบ ในใจคิดว่า แม่*ใครวะ แล้วบ้าบิ่นอะไรขนาดนั้น!

เสียงปืนดังสนั่นนอกประตูรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนกับน้ำเดือดปุดๆ ร้านขายของตามข้างทางพลันลงมือยิงสังหารพวกที่ใส่เสื้อผ้าธรรมดาพวกนั้น!

แต่ความโกลาหลยังไม่จบแค่นี้ มือสังหารที่ฆ่าคนใส่ชุดธรรมดาไปหมดแล้วก็ถอยหนีอย่างเร็วไว จากนั้นก็มีรถบรรทุกหลายคันหันหัวมาจากมุมถนนแล้วพุ่งตรงเข้าใส่ประตูรั้วมหาวิทยาลัย!

ถ้าแค่รถบรรทุกไม่กี่คันไม่หนักหนาอะไรหรอกเพราะประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัยนั้นตั้งป้อมไว้อย่างแน่นหนา เริ่นเสี่ยวซู่ยันตัวขึ้นรีบเผ่นทันที บนรถบรรทุกนั้นมีระเบิดอัดไว้เต็มคันแน่!

มือสังหารหลายคนสังเกตเห็นเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่กำลังถอยไปทางหนึ่งในพวกเขา คนผู้นั้นจึงยกปืนขึ้นเล็ง แต่พอลั่นไกปุ๊ป เริ่นเสี่ยวซู่ก็เคลื่อนตัววูบราวผีสาง หลบรอดจากวิถีกระสุน!

เวลานี้กล้ามเนื้อทุกส่วนยืดจนสุดขีด พละกำลังมหาศาลแล่นพล่านไปทั่วทุกองคลีของร่างกาย

มือสังหารนิ่งไป มนุษย์ที่ไหนกันหลบกระสุนได้!

แต่ก่อนที่มือสังหารจะทันลั่นไกอีกนัด ก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่พุ่งมาพร้อมหมัดแล้ว!

หมัดนี้กระแทกเข้ากับลำคอของมือสังหาร เขาไม่ทันได้หลบด้วยซ้ำ เสียงกระดูกหักดังขึ้น!

เพียงหนึ่งหมัด เริ่นเสี่ยวซู่ก็จบลงหนึ่งชีวิต!

มือสังหารคนอื่นเห็นภาพนี้ก็พยายามยิงสู้ แต่พวกเขาก็โดนซุ่มยิงจนเลือดสาดกระจายฟุ้ง ยังไม่ทันได้ยกปืนขึ้นด้วยซ้ำ

กลิ่นโลหิตตลบอบอวล พอลมพัดมาหมอกเลือดก็กระจายราวเมฆโลหิต

มีแค่ปืนสไนเปอร์เท่านั้นที่มีพลังอำนาจทำลายเช่นนี้

เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าขึ้นมองตึกสูงแห่งหนึ่ง บนนั้นเขาเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งถือปืนสไนเปอร์ยักษ์ ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือตึกสูง แขวนไว้ข้างกายหยางเสียวจิ่นพอดิบพอดี

พระจันทร์เสี้ยวโค้งแคบปราณีตนั่นทำให้เธองามจรัสขึ้นไปอีก

ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังขึ้นกลางดึก เสียงนั้นมาจากใจกลางป้อมปราการ

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินก็ชะงัก หลังหกโมงก็ไม่น่าจะมีเสียงระฆังแล้วนี่!

ก่อนระฆังจะดัง

หลี่เสินถานในชุดนักมายากลยืนอยู่บนถนนแห่งหนึ่งห่างจากใจกลางป้อมปราการ ข้างหน้าเขาเป็นหมวกที่มีเศษเงินอยู่บ้าง

เขาอ้าปากกล่าวกับเหล่าผู้คนที่อยู่รอบๆ “ความมหัศจรรย์ของการสะกดจิตคือการช่วยให้ทุกคนสามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ พวกคุณเคยจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาตอนตีสามทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งปลุกหรือเปล่าล่ะ”

“คุณเคยได้ยินเรื่องชายชราผู้หนึ่งคว้าเด็กที่ตกมาจากชั้นเจ็ดด้วยมือเปล่าไหม”

หลี่เสินถานนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “จิตใต้สำนึกคืออะไรกันนะ สมองมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์สมองกว่าหนึ่งพันสี่ล้านเซลล์ สามารถบรรจุข้อมูลได้เท่ากับหนังสือห้าพันล้านเล่ม แต่สุดท้ายก็ลืมสิ่งที่เพิ่งจะจำไปเมื่อชั่วครู่เสียได้”

“คนผู้หนึ่งกำลังควบคุมร่างของคุณอยู่ แต่คุณกลับไม่สามารถควบคุม ‘คนผู้นั้น’ ได้” หลี่เสินถานหัวเราะ “คิดว่าแบบนั้นมันอันตรายมากไหม”

คนในฝูงชนโพล่ง “แล้วเราจะจัดการจิตใต้สำนึกของตัวเองไปทำไมล่ะ”

หลี่เสินถานยิ้ม “เคยคิดไหมว่าถ้าเราสามารถควบคุมจิตใต้สำนึกตัวเองได้จะเกิดอะไรขึ้น เราจะกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษหรือเปล่านะ ไม่หรอก เราจะกลายเป็นเทพต่างหาก!” หลี่เสินถานยกรถที่อยู่ริมถนนขึ้นมาราวกับมันเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง!

ผู้ชมรอบๆ เห็นเช่นนี้ก็ตะลึงไป บ้างก็โยนเหรียญใส่หมวกของหลี่เสินถาน บ้างก็ไปดูว่ารถซ่อนกลอะไรไว้หรือไม่

ตอนนั้นเองระฆังก็ดังขึ้นมากลางฟ้ารัตติกาล หลี่เสินถานยิ้ม “เกม…เริ่มขึ้นแล้ว”

เสียงระฆังดังกังวาลไปทั่ว ชาวป้อมปราการนับไม่ถ้วนราวตกในภวังค์ และค่อยๆ เดินออกไปยังมหาวิทยาลัยราวผีดิบฝูงหนึ่ง

ตอนแรกพวกเขาเดินอย่างเชื่องช้ายิ่ง แต่สุดท้ายก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนเป็นการวิ่งอย่างบ้าคลั่ง!

ความเร็วพวกเขาเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาแล้ว ทุกคนวิ่งไปเหมือนเค้นพลังชีวิตของตัวเองมาเป็นพลังงาน

ผู้อยู่อาศัยร่างท้วมผู้หนึ่งยิ่งวิ่งยิ่งผอม ส่วนผู้ที่ผอมอยู่แล้วตอนนี้ไม่ต่างกับร่างหุ้มกระดูก

พวกเขายังคงวิ่งต่ออย่างไม่สนใจใยดี หลี่เสินถานสั่งการให้การสะกดจิตทำงานเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนดั่งถูกเทพชักจูงจิต

หลี่เสินถานก้มลมหยิบหมวกนักมายากลจากพื้น สะบัดเศษเงินออกจนเต็มถนน แต่เขาไม่สนใจหรอก

ชายหนุ่มเดินไปตามถนนอันสงบเย็นเยียบ หากสภาวะโดยรอบดั่งนรกภูมิขุมหนึ่ง

คืนนี้ บุตรที่ถูกทิ้งแห่งสมาคมตระกูลหลี่มีของขวัญมาให้ตระกูล