บทที่ 192 เห็นนางว่างไม่ได้เลยใช่หรือไม่?

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยได้แต่ยิ้มตายิบหยี “ครั้งนั้นไทเฮาชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋อง ฝ่าบาทในเวลานั้นยังไม่ได้ถือกำเนิดกระมัง ไยจึงรู้เรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนเพคะ”

เซียวจิ่นพูดยิ้มๆ “เจิ้นบังเอิญเห็นเสด็จพ่อสั่งให้ขุนนางทัดทานลงบันทึกไว้ในบันทึกลับ เจ้าอย่านำไปบอกผู้อื่นล่ะ”

หลินชิงเวยสูดปาก “อดีตฮ่องเต้ทรง…พระปรีชาสามารถจริงๆ เพคะ”

ต่อมาได้ยินเซียวจิ่นพูดว่าเซียวเยี่ยนจะมากินอาหารเย็นที่นี่ในคืนนี้ ดูสีหน้า ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ บนใบหน้าของเซียวจิ่นแล้วก็คือคิดจะให้เซียวจิ่นและหลินชิงเวยยุติสงครามเย็นบนโต๊ะเสวยในวันนี้

ทว่าหลินชิงเวยเองรู้สึกว่าตนไม่มีความแค้นอันใดกับเซียวเยี่ยน ย่อมไม่มีความจำเป็นอันใดที่ต้องยุติสงครามเย็น นางจึงได้แต่…มีอาการประดักประเดิดกำเริบ ไม่อยากพบหน้าเซียวเยี่ยน

ดังนั้นหลินชิงเวยจึงพยายามที่จะออกจากตำหนักซวี่หยางก่อนอาหารมื้อเย็น เซียวจิ่นจึงพูดขึ้นอย่างเสียดายว่า “ชิงเวย เจ้ากินอาหารเย็นแล้ว เจิ้นให้เสด็จอาไปส่งเจ้ากลับไปไม่ดีหรือไร”

หลินชิงเวย “ซินหรูรอให้หม่อมฉันกลับไปกินข้าวด้วยเพคะ กินอาหารเย็นเสร็จแล้วยังต้องดูแลแปลงสมุนไพรในสวน และทดสอบซินหรูว่าท่องตำราเป็นอย่างไรบ้าง ไอหยา หม่อมฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกมากเพคะฝ่าบาท วันอื่นเถิดเพคะ”

เซียวจิ่น “…”

หลินชิงเวยกล่าวลาเซียวเซียวจิ่นและออกจากตำหนักซวี่หยาง ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งจะเดินมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักก็ได้เผชิญหน้ากับเซียวเยี่ยนที่กำลังเดินมา ยามนั้นสภาพจิตใจของนางยังคงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ยังคิดไม่ออกว่าจะรับหน้าอย่างไรดี

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเซียวเยี่ยนเห็นนางแล้ว ดวงตารูปหงส์ทอประกายบางๆ ฝีเท้านั้นหยุดรั้งลงเพื่อรอให้นางเดินเข้ามา หลินชิงเวยเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้นั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางตัดสินใจไม่รอให้เซียวเยี่ยนเดินมาถึงเบื้องหน้าตนก็หันหน้าวิ่งกลับไปทางเล็กโดยไม่หันมามองอีก

ช่วยไม่ได้จริงๆ นางเพียงแค่ไม่อยากพบกับเขา

เซียวเยี่ยนหยุดฝีเท้า เบี่ยงกายมองเงาร่างของหลินชิงเวยที่วิ่งออกไปไกล เขามีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยและทอดถอนใจยาวเหยียด

ที่จริงแล้วภายในวังไม่มีกิจกรรมสันทนาการอะไรให้ทำ หลินชิงเวยพบว่าเมื่อนางไม่ได้ไปมาระหว่างตำหนักซวี่หยางก็รู้สึกว่างงานไม่มีอะไรทำ ต่อให้นางเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวเพื่อตากลมมองแสงตะวัน นางก็ยังรู้สึกว่าตนเองใกล้จะขึ้นราแล้ว

สำหรับความขัดแย้งระหว่างนางและเซียวเยี่ยน เซียวจิ่นไม่ได้บังคับฝืนใจคน อาการประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกของนางหายดีเมื่อเสี่ยวฉีมาเยือนด้วยตนเองในวันนั้น

ยามสายวันนี้ซินหรูวิ่งเข้ามารายงานว่าเสี่ยวฉีมาพบพร้อมกับบอกว่ามีเรื่องสำคัญ

อย่างไรหลินชิงเวยก็มีเวลาว่างอย่างยิ่ง จึงออกไปดูว่าองครักษ์ผู้นั้นมีเรื่องอะไรกันแน่ ทันทีที่นางออกมาจากเรือนของตนไปถึงเรือนหน้าก็พบเสี่ยวฉีไม่พูดไม่จา เขายืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้แสงตะวัน แสงตะวันสาดส่องใบหน้าของเขาจนปรากฏให้เห็นเหงื่อชั้นหนึ่ง เจ้าหนุ่มคนนี้สวมอาภรณ์ชุดดำทั้งชุด เขาไม่รู้หรือไรว่ามันดูดแสงแดด

คนโง่ ไม่รู้จักหาที่มีร่มเงาต้นไม้ยืนรอหรือไร และไม่รู้จักเข้าไปนั่งรอในห้องโถงอีก

เป็นสุนัขรับใช้ก็ต้องพยายามดิ้นรนเช่นกัน

เสี่ยวฉีพูดขึ้นว่า “ถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียง”

หลินชิงเวยเดินโบกพัดทรงกลมในมือออกมา แสงแดดทิ่มแทงสายตายิ่งยวด นางจึงใช้พัดบังแดดหรี่ตาพูดว่า “ข้าว่าเจ้าโง่เขลานัก”

เสี่ยวฉีมองหลินชิงเวย ด้วยสีหน้าไม่กระจ่างแจ้ง

หลินชิงเวย “เจ้าไม่รู้จักหาที่ร่มยืนรอหรือไร ประเดี๋ยวก็เป็นไข้แดด อย่าได้บอกว่าเจ็บป่วยเพราะการทำงานนะ ตำหนักฉางเหยี่ยนของข้าไม่ต้อนรับ”

เจ้าหนุ่มคนนี้…เมื่อก่อนล้วนมีสีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ท่าทีที่ปฏิบัติต่อนางก็คือไม่ยินดีที่จะต้อนรับ เขาเปลี่ยนไปเพราะอะไรกันแน่ บนใบหน้านั้นกลับปรากฏให้เห็นความจริงใจและความเคารพบูชา

ไม่ ไม่ จะต้องเป็นหลินชิงเวยตาพร่าไปเองแน่ๆ

เสี่ยวฉี “กระหม่อมเคยชินเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทนร้อนได้ เหนียงเหนียงวางใจได้ กระหม่อมไม่เป็นไข้แดดแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“หึ” หลินชิงเวย “พูดจากับข้าเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ พระอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกหรือไร”

ยามนี้ซินหรูยกน้ำแกงคลายร้อนมาให้หลินชิงเวย หลินชิงเวยทางหนึ่งดื่มไป ก็เห็นซินหรูนำอีกถ้วยหนึ่งไปให้เสี่ยวฉี เริ่มแรกเสี่ยวฉีไม่รับ ซินหรูพูดหน้าตึงว่า “ตกลงท่านจะดื่มหรือไม่ดื่ม ท่านไม่รู้สึกร้อนไม่ได้หมายความว่าร่างกายไม่ร้อนหรอกนะ สวมอาภรณ์สีดำเช่นนี้ เหงื่อไหลมากมาย ระวังว่าอีกประเดี๋ยวร่างกายจะเสียน้ำมากเกินไป พี่สาวของข้าไม่สนใจท่านหรอกนะ”

เสี่ยวฉีรับไปอย่างเงียบๆ ถึงกับยังรู้จักกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” คำหนึ่ง จากนั้นดื่มรวดเดียวหมดเกลี้ยง วางถ้วยเปล่ากลับไปในถาด

ซินหรูถามอีกว่า “ท่านมาหาพี่สาว มีเรื่องอันใดหรือ?”

เสี่ยวฉี “กระหม่อมมาเชิญเหนียงเหนียงไปสวนไป่โซ่วพ่ะย่ะค่ะ”

“สวนไป่โซ่ว?” ซินหรูถามแทนหลินชิงเวย “สวนไป่โซ่วคือสถานที่อะไร?”

เสี่ยวฉี “เป็นสถานที่เลี้ยงสัตว์นับร้อยชนิดในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

หลินชิงเวยดวงตาเป็นประกาย คิดไม่ถึงว่าในวังยังมีสถานที่เช่นนี้ นั่นก็คือสวนสัตว์? คนในวังนอกจากมีเงินแล้วยังมีเวลาว่างนี่นา

ซินหรูยังคงถามอย่างไม่แจ่มแจ้ง “ท่านเชิญพี่สาวไปที่นั่นทำอันใด?”

เสี่ยวฉีเงียบขรึม “เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสว่าเจาอี๋เหนียงเหนียงมีเวลาว่างมากมาย ไม่สู้ไปให้อาหารและฝึกพิราบสื่อสารในสวนไป่โซ่ว ถือเป็นการชดใช้พิราบสื่อสารสามสิบหกตัวก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ”

“…” ซินหรูเงียบงัน

ผ่านไปอึดใจหนึ่ง หลินชิงเวยจึงหรี่ตาลง “ความหมายของเจ้าก็คือเซ่อเจิ้งอ๋องให้ข้าไปเลี้ยงนกพิราบให้เขาในสวนไป่โซ่ว?”

เสี่ยวฉีเงียบขรึมอีก “เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสว่า ออกมาใช้ชีวิตมีหนี้ย่อมต้องจ่ายพ่ะย่ะค่ะ”

หลินชิงเวยบันดาลโทสะทันที “ข้าช่วยงานเขาตั้งมากมาย แต่กลับสู้นกพิราบไม่กี่ตัวไม่ได้ เขาเห็นข้ามีเวลาว่างไม่ได้ใช่หรือไม่ ข้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือไร ไม่อยู่ที่นี่กินอิ่มดื่มหนำให้เย็นสบาย กลับต้องไปเหนื่อยแทบตายที่นั่น” นางพูดกับเสี่ยวฉี “เจ้ากลับไปบอกเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าไม่ไป”

ให้ตายเถอะ มีเพียงเขากระมังที่คิดออกมาได้ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เขายังจดจำเอาไว้อีก

เสี่ยวฉี “…ทว่าก่อนหน้าที่เซ่อเจิ้งอ๋องจะมีบัญชาให้กระหม่อมมาที่นี่ ได้ขอพระบรมราชานุญาตจากฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาททรงอนุญาตเรียกตัวเจาอี๋เหนียงเหนียงไป…สวนไป่โซ่วพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวจิ่นผู้นี้อยากเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจนเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงกับเห็นด้วยกับความคิดร้ายกาจของเซียวเยี่ยน

ยามนี้ดีนัก หากหลินชิงเวยไม่ยอมไปก็คือการขัดราชโองการ นางไม่ไปได้หรือ?

หลินชิงเวยถลึงตาใส่เสี่ยวฉี แม้นางจะไม่เคยไปสวนไป่โซ่วมาก่อน หากต้องการเชิญให้นางไปเยี่ยมชมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นางยังจะมีอารมณ์สนุกสนานออกไปเที่ยวเล่น เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่นี่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับเหลี่ยมเขา อากาศร้อนเช่นนี้ และไม่ใช่การเชิญไปเยี่ยมชมฟรีๆ แต่เป็นการไปทำงานชั้นแรงงาน นางไม่มีอารมณ์สักนิด

ท่าทางซินหรูดูแล้วกลับมีความลิงโลด นางดึงแขนเสื้อของหลินชิงเวย “พี่สาว ไม่สู้พวกเราไปดูๆ สักหน่อยเจ้าค่ะ พวกเรายังไม่เคยไปสวนไป่โซ่วเลย”

ดังนั้นท้ายที่สุดเสี่ยวฉีจึงพาหลินชิงเวยและซินหรูออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนสำเร็จ มุ่งหน้าไปยังสวนไป่โซ่ว

ภายในตำหนักในนั้นกว้างขวางใหญ่โต มีสถานที่มากมายที่หลินชิงเวยยังไม่เคยไปมาก่อน ประการแรกนางมิใช่คนอยากรู้อยากเห็น ประการที่สองนางไม่มีความสนใจ

นี่ยังต้องอาศัยการเดินเท้าจากเท้าทั้งคู่ เกรงว่าเดินไปหนึ่งถึงสองชั่วยามก็ไปไม่ถึง มีรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่หน้าตำหนักฉางเหยี่ยนเนิ่นนานแล้ว หลินชิงเวยและซินหรูขึ้นไปบนรถม้า เสี่ยวฉีควบคุมรถม้าอยู่ข้างหน้า ย่อมต้องเร็วกว่าเดินเท้ามาก