ตอนที่ 182 เลี้ยงรอดหรือไง

แม่สาวเข็มเงิน

ท้ายที่สุด เจียงป่าวชิงกลับมาที่บ้านพร้อมด้วยถ้วยน้ำนมสีขาวนวล นางใช้ฟางมาทำเป็นหลอดเพื่อป้อนนมให้ทารกตัวน้อยทีละนิดจนหมด

ทารกแรกเกิดยังกินได้ไม่มากเท่าไหร่นัก กินเสร็จนางก็หลับต่อ

เจียงหยุนชานวางทารกตัวน้อยลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง เขากลัวจริง ๆ ว่าทารกตัวน้อย ๆ คนนี้จะหนาวเกินไปจึงคิดจะห่มผ้าห่มให้นาง ทว่าเจียงป่าวชิงรีบห้ามไว้ในทันใด “อย่านะพี่ สุภาษิตกล่าวไว้ว่าถ้าหากว่าอยากให้เด็กเล็กปลอดภัย ต้องให้เขาทนหิวและทนหนาวสักเล็กน้อยเป็นการฝึกให้ตัวเด็กมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ  ในสภาพอากาศแบบนี้ เราต้องไม่ปิดร่างกายทารกตัวน้อยจนมิดชิดเกินไป นางร่างกายอ่อนแอ ยังปรับอุณหภูมิร่างกายได้ไม่เต็มที่ ถ้าอบอุ่นเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะเหงื่อออกมากและขาดน้ำจนสลบไปได้ ผลที่จะตามมาก็อาจจะร้ายแรงจนเราคิดไม่ถึงเลยทีเดียวเชียวล่ะ”

เจียงหยุนชานได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึงไปทันที “เอ้อ… อ่า… อืม… เลี้ยงเด็กนี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ นะป่าวชิง”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “เฮ้อ… ต่อไปข้าคงต้องยุ่งมากกว่าเดิมแน่เลย” พูดเสร็จ นางก็ไปรื้อตู้หาเครื่องนอนเก่า ๆ กับเสื้อผ้าเก่าออกมา

นางกับเจียงหยุนชานต่างก็อยู่ในช่วงเจริญเติบโตกันทั้งคู่ โดยเฉพาะเจียงหยุนชาน เขาเหมือนเห็ดในหน้าฝน ศีรษะของเขางอกขึ้นเร็วมากจนน่าตกใจ ตอนที่เจียงป่าวชิงให้เสื้อผ้าเขา นางมักจะเหลือความยาวของแขนเสื้อและขากางเกงเผื่อไว้ให้เสมอ ถึงตอนนั้นหากว่าพี่ชายของนางสูงใหญ่ขึ้น ก็ค่อยนำชายผ้าที่เหลือนั้นออกมา

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีเสื้อผ้าหลายตัวที่เจียงหยุนชานใส่ไม่ได้ นางจึงซักมัน ตากแห้งมัน และจัดเก็บมันไว้อย่างเรียบร้อยโดยพับเก็บในตู้  เดิมทีนางตั้งใจว่าถ้ามีเวลา นางจะนำเสื้อผ้าพวกนี้มาปรับแก้เป็นอะไรสักอย่างที่พอเหมาะพอควรจะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้

เจียงป่าวชิงรื้อค้นเสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนี้ออกมาจากในตู้เสื้อผ้า ส่งสายตามองมันอย่างเสียดาย จิตใจก็ยังคงว้าวุ่นลังเล แต่จากนั้นนางตัดสินใจลงมือตัดเสื้อผ้าพวกนี้เป็นแถบยาว

เจียงหยุนชานมองอย่างตกตะลึง “นี่เจ้าทำอะไรอีกล่ะนั่น ?”

เจียงป่าวชิงตัดเสื้อผ้าไปด้วย พูดกับพี่ชายไปด้วย “ทำผ้าอ้อมให้ทารกน้อยเจ้าค่ะ”

“…”

เจียงหยุนชานชะงักไป ผ่านไปสักครู่เขาถึงจะตอบสนองกลับมา และรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

เมื่อถึงเวลารักษาขาให้กงจี้ เจียงป่าวชิงก็มองทารกตัวน้อยที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์ นางกำชับเจียงหยุนชานเกี่ยวกับข้อควรระวังครั้งแล้วครั้งเล่า เจียงหยุนชานตั้งใจฟังและพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ดูแล้วขาดแค่ไปหยิบปากกามาจดบันทึกเท่านั้น

เจียงป่าวชิงมองพี่ชายตัวเองที่หยิบยกทัศนคติทางวิชาการเพื่อจดจำคำแนะนำบางอย่างของนาง ใบหน้าเล็กกลั้นขำ นางโบกมือให้เขา สุดท้ายก็ออกมาจากบ้านได้อย่างสบายใจ

เดินมาจนถึงบ้านกงจี้ ผู้ที่มาเปิดประตูให้ยังคงเป็นฝูฉูเจ้าเก่า สีหน้าท่าทางของนางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างอย่างนั้นแหละ

ทว่าเจียงป่าวชิงไม่สนใจนาง ทำเพียงแค่เดินตรงเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น

ฝูฉูเดินตามหลังเจียงป่าวชิง ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงเบา “แม่นางเจียง”

เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลง ฝูฉูรีบก้าวเดินมาด้านหน้า นางมองไปที่บ้านของเจียงป่าวชิงอย่างไม่เป็นธรรมชาติพลางพูดด้วยเสียงที่เบามาก “คุณชายเจียงเข้าใจอะไรข้าผิดไปหรือเปล่า ทำไมข้าไปหาเขาเพื่อที่จะพูดคุยกับเขา เขากลับไม่สนใจข้าอีกเลยล่ะ ?”

“เข้าใจผิดรึ ?” เจียงป่าวชิงมองฝูฉูอย่างสังเกต รอยยิ้มนุ่มนวลปรากฏขึ้น นางพูดด้วยเสียงเบาว่า “พี่ชายข้ากับพี่จะมีความเข้าใจผิดต่อกันได้ยังไงล่ะเจ้าคะ ? พี่ชายข้าตระหนักได้แล้วว่าที่ผ่านมาตัวเขาคิดเอาเองฝ่ายเดียว และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความอึดอัดใจ เขาคงจะเว้นระยะห่างน่ะ”

ความเก้อเขินแสดงออกผ่านทางสีหน้าของฝูฉู นางหันไปมองในบ้านอย่างประหม่า ราวกับกลัวว่าพวกกงจี้จะได้ยินสิ่งที่เจียงป่าวชิงพูด

เจียงป่าวชิงหัวเราะแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “พี่ฝูฉูไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจความหมายของพี่ดี ไม่ว่าพี่กับพี่ชายข้าจะมีการไปมาหาสู่กันหรือไม่ แต่มันก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ถุงหอมที่พี่มอบให้พี่ชายข้า ข้าโยนมันเข้าไปเผาในเตาแล้วล่ะ จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก พี่วางใจเถอะ”

ฝูฉูก้มหน้า ไม่ทราบเช่นกันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

เจียงป่าวชิงไม่สนใจฝูฉูอีก นางก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้องก็เห็นกงจี้นั่งขมวดคิ้วอยู่

“มีแขกที่ไหนมาบ้านเจ้าในวันนี้รึ ? หนวกหูมากจริง ๆ” เขาปริปากเอ่ยถามนาง

“…” เจียงป่าวชิงแสดงสีหน้าอ่านยาก สุดท้ายนางก็บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้กงจี้รู้ “ข้าเก็บเอาทารกผู้หญิงคนนึงกลับมา นางเพิ่งเกิดได้วันเดียวเองและข้าคาดว่าต่อไปคงจะต้องหนวกหูเสียงร้องของนางหน่อย คุณชายกงให้อภัยข้าด้วยเถอะนะ”

กงจี้ได้ฟังดังนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางนึกสนใจ “ทารกผู้หญิงอย่างนั้นรึ ? เจ้าเลี้ยงรอดหรือไง ?”

ในคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

เจียงป่าวชิงเองก็นึกฉงนไม่ต่างจากเขา ความกลุ้มใจปรากฏอยู่ในแววตาของนาง “ข้าเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กที่ยังเล็กขนาดนี้มาก่อน… แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถ้าข้าไม่พานางกลับมา เด็กผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกย่าของนางกดให้จมโถฉี่ตาย  ข้าสงสารนางมากแต่จะพยายามดูแลนางให้ดี เอาเป็นว่าเลี้ยงวันนึงคิดวันนึงก็แล้วกัน”

กงจี้ไม่ได้พูดอะไร เขาเคยเห็นความโหดร้ายทารุณในโลกนี้มามากแล้ว

การที่ครอบครัวไม่รักกัน พี่น้องฆ่าฟันกันมีให้เห็นอยู่ทุกที่

กงจี้นึกอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนกลายเป็นอึมครึม ทว่าเจียงป่าวชิงกลับไม่ทันสังเกตเห็น นางนั่งยอง ๆ เพื่อทำการตรวจร่างกายให้กงจี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

……

เป็นเพราะเอาแต่นึกถึงทารกตัวน้อยที่บ้าน  เจียงป่าวชิงฝังเข็มเสร็จก็รีบกลับบ้านทันที

เดิมทีกงจี้ยังอยากจะพูดคุยกับนางต่ออีกสักหน่อย แต่เขาสังเกตเห็นอยู่ว่าเจียงป่าวชิงมีท่าทางอยากจะกลับบ้านโดยเร็ว เขาเห็นนางรีบโบกมือให้เป็นการลา  ร่างเล็ก ๆ นั้นวิ่งจากไปทันที

กงจี้ไม่ได้พูดอะไร  ผ่านไปสักพักเขาถึงเอ่ยถามไป๋จีด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ไป๋จี ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจียงป่าวชิงไม่ค่อยอยากจะสนใจข้าเลยล่ะ ?”

ในใจของไป๋จีก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน แต่เขาจะกล้าบอกที่ไหน “จะเป็นอย่างที่นายท่านพูดได้ยังไงกันขอรับ แม่นางเจียงคงคิดถึงทารกตัวน้อยที่บ้านนาง เพราะถึงยังไงนางก็เพิ่งไปพากลับมา”

กงจี้ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “พากลับมาได้วันเดียวก็เอาแต่คิดถึงทารกน้อยแต่ไม่ยอมอยู่ที่บ้านข้าอย่างนั้นรึ ?” กงจี้พ่นลมออกมาทางจมูก “ไร้น้ำใจ…”

“…”

ไป๋จีงงงัน เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม นี่นายท่านของเขากำลังหึงทารกตัวน้อยที่เพิ่งเกิดได้เพียงวันเดียวหรือนี่ ?

……

เจียงป่าวชิงกลับมาถึงบ้าน  เจียงหยุนชานก็รีบออกมารับนางด้วยท่าทางตื่นตระหนก “ป่าวชิง! เจ้ารีบไปดูเร็วเข้า… ทำไมทารกน้อยถึงได้หลับตลอดเลยล่ะ ? นางเป็นอะไรหรือเปล่า ?”

เจียงหยุนชานเป็นชายหนุ่มที่ขาดความกระฉับกระเฉงมาตลอด น้อยครั้งมากที่เจียงป่าวชิงจะเห็นเขามีท่าทีลนลานทำอะไรไม่ถูกแบบนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ “พี่ นางเพิ่งเกิดได้วันเดียวเอง ทารกตัวน้อย ๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น นอกจากกินก็นอน หกชั่วยามต่อวันก็จะนอนเป็นส่วนใหญ่แบบนี้แหละเจ้าค่ะ”

เจียงหยุนชานได้ฟังคำอธิบายถึงจะสบายใจขึ้นมาหน่อย จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเข้าไปในห้อง แต่เพิ่งเข้ามาก็พบว่าเจ้าตัวน้อยกำลังร้องไห้

เจียงป่าวชิงรีบเข้าไปอุ้มนางทันทีและพบว่าเจ้าตัวน้อยอุจจาระราดเสียแล้ว แต่มีหรือนางจะกลัว นางเตรียมการไว้แล้วจึงพาเจ้าตัวน้อยไปเช็ดล้างสิ่งสกปรก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นผ้าอ้อมใหม่ที่นางเพิ่งตัดเสร็จก่อนหน้านี้

เมื่อเจียงหยุนชานเห็นอุจจาระสีเขียวเข้มบนผ้าอ้อม เขาก็ตกใจทันที “เอ่อ… นี่ทำไมถึงเป็นสีเขียวเข้มล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงตบก้นทารกน้อยเบา ๆ เพื่อกล่อมให้เจ้าตัวน้อยหลับลง  นางพูดอธิบายให้พี่ชายฟังไปด้วย “นี่คืออึของทารกในท้อง เกิดขึ้นเมื่อทารกพัฒนาการอยู่ในท้องของแม่ของนาง ช่วงหลังก็คงจะต้องอึแบบนี้ไปอีกสองสามวันเจ้าค่ะ”

เจียงหยุนชานมีสีหน้าสงสัยประมาณว่า ‘มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ ?’ จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่ต้องให้เจียงป่าวชิงสั่ง ก็หยิบผ้าอ้อมที่เปื้อนอุจจาระไปซักในบ้านทันที

เจียงป่าวชิงใช้ปมฟางเล็ก ๆ ป้อนนมและกล่อมเด็กให้นอนอยู่นานจนรู้สึกเริ่มปวดเอวจึงลุกขึ้นทุบเอวตัวเองเบา ๆ

ดูแลเด็กนี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ!

.