ตอนที่ 163 ตอนที่เธอมีชีวิตอยู่เป็นผู้หญิงของฉัน ตายไปวิญญาณก็ต้องเป็นของฉัน

เดิมพันเสน่หา

ไซ่ตี้จวิ้นยังคงพูดกระซิบข้างหูเหลิ่งรั่วปิง “อย่าคิดมากเลยครับ ผมได้ยินว่าหนานกงเยี่ยกว้านซื้อที่ดินในเมืองหลวงของประเทศเอ้าตูไปสิบกว่าที่ เดาว่าเขาคงกำลังจะอยากจะทำโปรเจคบางอย่างเพื่อหาเงินเท่านั้น มาประเทศเอ้าตูในครั้งนี้ก็น่าจะมาเพราะโปรเจคพวกนั้น คุณอย่าเป็นกังวลไปเลย”

“ค่ะ” ถึงอย่างไรเหลิ่งรั่วปิงก็เป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง หัวใจของเธอกลับมาเต้นปกติอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง หนานกงเยี่ยสูงศักดิ์ราวกับเป็นเทพ ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอเป็นแค่ความรู้สึกสนใจชั่วคราวเท่านั้น การที่เขามาประเทศเอ้าตูจะเกี่ยวข้องกับเธอได้อย่างไรยังไง บางทีเขาอาจจะลืมเธอไปตั้งนานแล้วก็ได้

“ผมไปทักทายเขาก่อน คุณรอผมอยู่ที่นี่นะ” ไซ่ตี้จวิ้นกุมมือเหลิ่งรั่วปิง เขาให้กำลังใจเธออีกครั้ง การมาของหนานกงเยี่ย เขาเพิกเฉยทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรยังไงในแวดวงทางธุรกิจ เขากับหนานกงเยี่ยก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน เขาควรที่จะเข้าไปทักทาย

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า

ไซ่ตี้จวิ้นลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าหนานกงเยี่ย ยิ้มให้เขาอย่างเป็นทางการ “คุณชายเยี่ย ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

“เหมือนว่าช่วงนี้ประธานไซ่ชีวิตราบรื่นดีนะครับ” หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น แววตาเย็นชาจ้องมองไปที่ไซ่ตี้จวิ้น “ได้ยินว่าคุณมีแฟนใหม่แล้ว”

ไซ่ตี้จวิ้นยักไหล่ พยายามทำให้ตนเองดูธรรมชาติที่สุด “คุณชายเยี่ยให้ความสนใจชีวิตของผมมากเลยนะครับ”

หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “ข่าวซุบซิบของประธานไซ่เต็มหน้าหนังสือพิมพ์ แม้ว่าผมไม่อยากรู้ก็ยังต้องรู้!” ดวงตาสีนิลกลรอกไปมา ส่วนลึกของแววตาคู่นั้นทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว “คุณคงรู้ว่าผมกับรั่วปิงมีปัญหากัน ไม่ว่ายังไงผมก็จะตามหาเธอให้เจอแล้วพาเธอกลับมาให้ได้ ถ้าผมรู้ว่าคุณแอบซ่อนตัวเธอเอาไว้ ผมจะทำให้ชีวิตของคุณไม่มีวันสงบสุข!”

ไซ่ตี้จวิ้นชะงักไปนานห้าวินาที กว่าจะกลับมาทำหน้าปกติ เขาคิดไม่ถึงว่า หนานกงเยี่ยจะรักเหลิ่งรั่วปิงมากขนาดนี้ “หึ คุณชายเยี่ยพูดเป็นเล่นไป คุณไม่ดูแลผู้หญิงของตัวเองให้ดี มาหาเรื่องผมทำไมครับ”

หนานกงเยี่ยกระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของเขาเย็นยะเยือกและเหี้ยมโหด “ดีมาก ในเมื่อรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของผม ก็อย่าคิดฝันในตัวเธอ ไม่อย่างนั้นผมรับประกันว่าผมจะทำให้ธุรกิจของตระกูลไซ่ที่มีมานานกว่าร้อยปีหายไปจากโลกนี้”

คำพูดทุกคำของหนานกงเยี่ยที่ดังเข้ามาในหูของไซ่ตี้จวิ้น ราวกับเป็นฟ้าผ่า เขาถึงขั้นสงสัยว่าหนานกงเยี่ยรู้แล้วว่าฉู่หนิงซยาก็คือเหลิ่งรั่วปิง แต่เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเขาก็ปฏิเสธความคิดนี้ ข้อหนึ่งเป็นเพราะหน้ากากที่ฉู่เทียนรุ่ยทำนั้นไร้ที่ติ ข้อสองจากนิสัยเผด็จการของหนานกงเยี่ย ถ้าเขารู้ว่าฉู่หนิงซยาคือเหลิ่งรั่วปิง เขาคงพาเธอกลับไปเหมือนตอนที่อยู่เมืองเฟิ่งแล้ว เขาต้องคงบังคับขู่เข็นพาตัวเธอไป ไม่มีวันนั่งขู่ตนแบบนี้แน่นอน

ดังนั้น ไซ่ตี้จวิ้นจึงคิดว่า หนานกงเยี่ยเพียงแค่ลองใจเขาเท่านั้น

ไซ่ตี้จวิ้นคลี่ยิ้มด้วยความโล่งอก “เพื่อผู้หญิงคนเดียว คราวที่แล้วที่เมืองหลงคุณชายเยี่ยถึงกับเอาปืนจ่อหน้าผม ครั้งนี้ยังมาข่มขู่ผมถึงประเทศเอ้าตูอีก คุณคิดว่าตระกูลไซ่รังแกได้ง่ายๆ เหรอครับ ขอถามหน่อยว่าผมเคยไปเป็นแย่งผู้หญิงของคุณตอนไหน คุณทิ้งเธอไปก่อน แล้วผมค่อยตามจีบเธอ ผมล่วงเกินคุณชายเยี่ยตรงไหนครับ”

“ถึงแม้ตระกูลไซ่ของผมจะไม่มีอำนาจเท่ากับตระกูลหนานกง แต่อย่างน้อยก็เป็นตระกูลที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปี ถ้าคุณชายเยี่ยอยากจะทำให้ตระกูลไซ่หายไปจากโลกใบนี้ เกรงว่าคงต้องเปลืองแรงและเงินมากหน่อยนะครับ ต่อให้คุณจะทำตามใจตัวเองแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องผ่านด่านท่านหนานกงก่อน”

หนานกงเยี่ยแสยะยิ้มเย็นยะเยือก แววตาของเขาเหี้ยมโหด เขาจ้องมองไปที่ไซ่ตี้จวิ้น ลุกขึ้นช้าๆ เดินขยับเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ แล้วกระชากคอเสื้อของไซ่ตี้จวิ้นขึ้นมากะทันหัน “กล้าแย่งผู้หญิงกับฉัน ก็ต้องเตรียมตัวตาย ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงมีชีวิตอยู่เป็นผู้หญิงของฉัน ตายไปวิญญาณของเธอก็ต้องเป็นของฉัน ถึงถ้านายอยากได้เธอ ต่อให้ชาติหน้าก็ยังไม่มีโอกาส!” คำพูดแต่ละคำเหมือนมีดที่แหลมคม กรีดผิวหนังของไซ่ตี้จวิ้น “ถ้าให้ฉันรู้ว่านายยังคิดถึงเธอ ฉันทำอย่างที่พูดแน่”

แม้ว่าไซ่ตี้จวิ้นไม่มีท่าทีจะเอาคืน แต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งงัน เขามองหน้าหนานกงเยี่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ “คุณชายเยี่ย คุณรักษาหัวใจของผู้หญิงเอาไว้ไม่ได้เอง แต่กลับมาข่มขู่คนที่ชอบเธอ คุณไม่รู้สึกว่ามันตลกเหรอ เหลิ่งรั่วปิงสวยขนาดนั้น ผู้ชายมากมายบนโลกใบนี้ต่างก็ชอบเธอ คุณไล่ข่มขู่ได้หมดทุกคนเหรอครับ”

หนานกงเยี่ยกระตุกมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แววตาของเขาบอกกับไซ่ตี้จวิ้น ใครกล้ามาแย่งกับเขา เขาก็จะฆ่าทิ้งให้หมด มาหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน มาสองคนก็ฆ่าทั้งสองคน

คนทั้งสามคนที่อยู่ทางนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นแค่ท่าทีของหนานกงเยี่ยที่มีต่อไซ่ตี้จวิ้นไม่ดีนัก ไซ่หย่าเซวียนเป็นกังวล เธอลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไป เหลิ่งรั่วปิงลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตามไปด้วย

ทางด้านฉู่เทียนรุ่ยยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เขาไม่รู้จักหนานกงเยี่ย จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้

“คุณชายหนานกง พี่ชายของฉันทำอะไรให้คุณคะ” ไซ่หย่าเซวียนมองไปที่หนานกงเยี่ยด้วยความกังวล แต่หนานกงเยี่ยไม่แม้แต่จะเหลียวมองเธอ

“คุณหนานกง ที่สาธารณะแบบนี้ คุณใช้กำลังทำร้ายคนอื่น มันเสียมารยาทนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดเสียงเคร่งขรึม เธอรู้จักความเผด็จการของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี ถ้าเขาไม่พอใจ แม้แต่ชักปืนออกมายิงก็ยังกล้าทำ “ถ้าฉันไม่ได้พูดอะไรผิดไป คุณไซ่มาที่นี่เพื่อที่จะทักทายคุณเท่านั้น หรือว่าแค่ทักทายก็ทำให้คุณไม่พอใจได้คะ”

เสียงที่คุ้นหู แววตาที่คุ้นเคย เสียงนั้นดังก้องในโสตประสาทของหนานกงเยี่ย ราวกับใบไม้แห้งที่พัดปลิวไปตามแรงลมในฤดูใบไม้ร่วง เสียงแห้งแข็งกระด้างเกรียมนั้นไม่น่าฟังเท่าไรหร่ เธอกำลังปกป้องไซ่ตี้จวิ้น มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เขาทั้งอิจฉาและริษยาจนแทบจะบ้าคลั่ง อยากจะจับเธอไปขังเอาไว้ ไม่ให้เธอได้เจอใครอีก แต่ว่า สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่น้อยนิดกำลังเตือนเขา ผู้หญิงคนนี้อารมณ์ร้าย เธอยอมตายดีกว่ากลับไปกับเขา ถ้าบีบบังคับพาเธอกลับไป เธอจะทำเรื่องบ้าๆ ยิ่งกว่าตอนที่อยู่เมืองหลง

เขาสามารถทำลายโลกใบนี้ทั้งใบได้ แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรเธอไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปล่อยไซ่ตี้จวิ้น ไม่แม้แต่จะมองหน้าเหลิ่งรั่วปิง “จำสิ่งที่ฉันพูดเอาไว้ให้ดี”

พูดจบ หนานกงเยี่ยชำเลืองมองเหลิ่งรั่วปิง แล้วเดินออกไป ก่วนอวี้เองก็แกล้งทำเป็นมองเหลิ่งรั่วปิงอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็รีบเดินตามหนานกงเยี่ยออกไป

มองตามแผ่นหลังของหนานกงเยี่ยจนเขาเดินออกไป เหลิ่งรั่วปิงดึงสายตากลับมา เธอมองไปที่ไซ่ตี้จวิ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”

ไซ่ตี้จวิ้นพยายามฝืนยิ้ม “เปล่าครับ โปรเจคในประเทศเอ้าตูมีปัญหากันเรื่องผลประโยชน์นิดหน่อย คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

“อะไรเนี่ย มีปัญหากันเรื่องผลประโยชน์นิดหน่อยก็จะใช้กำลังกันเลยเหรอ คุณชายหนานกงเผด็จการเป็นบ้า!” ไซ่หย่าเซวียนเบะปากด้วยความไม่พอใจ

เหลิ่งรั่วปิงไม่เชื่อว่าเป็นเหตุผลนี้ ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะเผด็จการ แต่เรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เขาใช้กำลังทำร้ายคน ในทางกลับกันถ้าเป็นเรื่องนี้หนานกงเยี่ยจะจัดการให้ธุรกิจของคู่แข่งล้มละลาย เขาไม่มีวันลดตัวมาใช้กำลังด้วยตนเอง

ไซ่ตี้จวิ้นกำลังปิดบังอะไรอยู่

อาหารมื้อนี้จบอย่างไม่ดีเท่าไรนักหร่ ฉู่เทียนรุ่ยส่งไซ่หย่าเซวียนกลับบ้าน ส่วนไซ่ตี้จวิ้นกลับคอนโดกลางเมืองไปพร้อมกับเหลิ่งรั่วปิง

บนรถ เหลิ่งรั่วปิงอดไม่ได้ที่จะถาม “เป็นเพราะอะไรกันแน่คะ”

ไซ่ตี้จวิ้นมองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย “คุณอยากรู้มากเลยเหรอ”

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร เธอก้มหน้าลง เธออยากรู้ แต่ก็ไม่อยากทำให้ไซ่ตี้จวิ้นลำบากใจ

ไซ่ตี้จวิ้นชำเลืองมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง “เขายังคงตามหาคุณอยู่”

ขนตางอนลยาวของเหลิ่งรั่วปิงสั่นเทา หนานกงเยี่ยยังคงตามหาเธออยู่จริงๆ หรือ เป็นไปได้ย่างไรยังไง เธอไม่รู้แม้แต่น้อย เขาจะตามหาเธอไปทำไม เวลานี้เขาควรที่จะสวีทหวานกับอวี้หลานซีไม่ใช่เหรอ หรือว่าเขาต้องการเอาเธอไปเป็นนางบำเรอให้ได้

“เขาคิดว่าผมให้ที่ซ่อนกับคุณ ก็เลยข่มขู่ผม”

เหลิ่งรั่วปิง “…”

“ถ้าเขายังคงตามหาคุณต่อไป คุณจะกลับไปหาเขาไหม” ดูเหมือนไซ่ตี้จวิ้นทำท่าทีเหมือนจะไม่ได้เป็นกังวลมาก แต่มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ดี เขาเป็นกังวลมาก กลัวว่าเธอจะกลับไปหาหนานกงเยี่ยอีก

“ไม่ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงตอบโดยไม่ลังเล ยังคงยืนยันคำนั้น “ทางที่เราเลือกที่จะเดินผ่านมาแล้ว ฉันไม่มีวันย้อนกลับไปอีก”

ไซ่ตี้จวิ้นโล่งอก “รั่วปิง เราหมั้นกันเถอะ ดีไหมครับ”

“…คุณไม่กลัวว่าคุณหนานกงจะข่มขู่คุณเหรอคะ”

“ขอแค่คุณยอมอยู่กับผม ผมไม่กลัวหรอกครับ อย่างมากก็แค่บริษัทไซ่เหวยล้มละลาย ผมพาคุณไปใช้ชีวิตเรียบง่ายธรรมดาๆ ก็ได้”

แน่นอน เขาอาจจะตายได้ ดูจากที่หนานกงเยี่ยรักเหลิ่งรั่วปิงมากขนาดนี้ ถ้าเขาแต่งงานกับเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยต้องฆ่าเขาแน่ๆ แต่เหลิ่งรั่วปิงเหมือนยาเสพติด เขาไม่สามารถหยุดเสพไม่ได้ ต่อให้ตาย เขาก็ต้องการเธอ

“นี่เป็นแค่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด ตอนนี้หนานกงเยี่ยไม่รู้ว่าคุณคือฉู่หนิงซยา ทักษะของเทียนรุ่ยเนียนไร้ที่ติ ขอแค่คุณยอมเป็นฉู่หนิงซยาไปตลอดชีวิต เขาก็ไม่มีวันหาคุณเจอ”

“คุณไซ่ตี้จวิ้น ฉันไม่อยากทำให้คุณต้องลำบาก” หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงที่เพิ่งเปิดแง้มต้อนรับความสุข ได้ปิดลงอีกครั้ง เมื่อตอนเที่ยงที่ผ่านมา เธอคิดถึงความอบอุ่นของไซ่ตี้จวิ้น แต่ตอนนี้เธอตัดสินใจแล้ว เธอไม่ต้องการมัน เธอรู้จักหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี สิ่งที่เขาต้องการ ห้ามใครแตะต้องเด็ดขาด แม้แต่มองก็ยังไม่ได้ ตอนนั้นเขาเกือบจะฆ่าไซ่ตี้จวิ้นแล้ว ตอนนี้เธอจึงไม่อยากดึงไซ่ตี้จวิ้นมาตกอยู่ในอันตรายอีก

“รั่วปิง…”

“คุณไซ่ตี้จวิ้น ถ้าคุณไม่อยากบีบให้ฉันไปจากประเทศเอ้าตู อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยนะคะ ดีไหมคะ” เหลิ่งรั่วปิงหมดทางช่วย “ในใจของฉัน คุณเป็นคนที่สำคัญมาก ถึงแม้ฉันจะไม่ได้รักคุณ แต่คุณเป็นคนสำคัญที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ ฉันอยากให้คุณมีชีวิตที่ดี ไม่อยากทำให้คุณต้องมาตกอยู่ในอันตราย”

“รั่วปิง…”

“คุณไซ่ตี้จวิ้น ฉันรู้จักหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี ถ้าฉันแต่งงานกับคุณ เขาไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่ คุณไม่ต้องพูดฉันก็พอจะเดาได้ว่าทำไมเมื่อกี้เขาถึงข่มขู่คุณ ดังนั้น หยุดความคิดนั้นของคุณเถอะนะคะ เป็นประธานบริษัทไซ่เหวยต่อไป อย่าทำให้ฉันรู้สึกผิด”

ไซ่ตี้จวิ้นเหยียบเบรคกะทันหัน เขาจอดรถไว้ข้างทาง

บรรยากาศตอนนี้มันเจ็บปวดมาก ไม่มีคำพูดใดๆ

ภายในรถเงียบสนิท เงียบเหงามาก

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ แล้วตบหัวไหล่ของไซ่ตี้จวิ้น “พอแล้วค่ะ เรากลับกันเถอะ”

“รั่วปิง เราหนีไปด้วยกันดีไหม” ประธานบริษัทไซ่เหวยที่สูงศักดิ์ ชายหนุ่มหน้าตาดี พูดคำว่า “หนีไปด้วยกัน” สี่คำนี้ ด้วยความเศร้าและเจ็บปวด

“คุณมีตระกูลที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปี มีบริษัทไซ่เหวยที่ก่อตั้งมานาน ทั้งยังมีน้องสาวและครอบครัว หน้าที่ของคุณอยู่ที่ประเทศเอ้าตู ถ้าฉันหนีไปกับคุณ ฉันคงจะรู้สึกผิดบาปจนนอนไม่หลับ” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มราวกับเป็นก้อนเมฆที่อยู่ตรงเส้นขอบฟ้า ได้แค่มองแต่ไม่อาจสามารถแตะต้องได้ มีอยู่จริงแต่ก็เหมือนไม่มีอยู่จริง “ความรักบนโลกใบนี้มีาหลากหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นสามีภรรยากันก็ได้ ไม่ใช่หรือคะ”