ตอนที่ 309 ไม่คาดคิด / ตอนที่ 310 เจ้าโรคจิตโตขึ้นแล้ว

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 309 ไม่คาดคิด

 

 

อวี๋กานกานขมวดคิ้วมองเซี่ยวเสี่ยวอิง “ฉันไม่เข้าใจว่าหมอเซี่ยวหมายถึงเรื่องอะไร”

 

 

เซี่ยวเสี่ยวอิงพูดเสียงแหลม “ในโซเชียลก็กำลังพูดเรื่องนี้กันอยู่ไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าหมออวี๋ไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตเลย”

 

 

แน่นอนว่าอวี๋กานกานรู้ทุกเรื่องราวในโลกออนไลน์ เดาไม่ผิดจริงๆ ความคิดแรกก็คิดอยู่แล้วว่าต้องมีใครบางคนกำลังพยายามเล่นงานเธอ 

 

 

อวี๋กานกานพูดเสียงเย็นด้วยท่าทีสบายๆ “ฉันเข้าไปดูแล้ว กำลังอยากรู้ว่าใครเป็นทำอยู่พอดี หมอเซี่ยวสนใจมากขนาดนี้ หรือว่าคุณเป็นคนทำเองคะ… “

 

 

เซี่ยวเสี่ยวอิงชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

 

เธอรีบพูด “เกี่ยวอะไรกับฉัน เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอเป็นคนสร้างกระแสเอง”

 

 

ซูจิ่วซานที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มองดูด้วยสายตาเย็นชา รอดูท่าทางจนตรอกของอวี๋กานกาน

 

 

แต่กลับเห็นเซี่ยวเสี่ยวอิงที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถเล่นงานอวี๋กานกานได้เลย เธอก้าวไปข้างหน้าและยิ้มพลางพูดอย่างมีความนัยว่า “หมออวี๋ ในฐานะหมอสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในวิชาชีพ แทนที่จะใช้เวลาไปอย่างไร้ประโยชน์กับเรื่องพวกนี้ ฉันคิดว่าควรเอาเวลาไปตั้งใจเรียนเฉพาะทางจะดีกว่านะคะ”

 

 

อวี๋กานกานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คำพูดนี้ฉันขอคืนให้คุณก็แล้วกันนะคะหมอซู”

 

 

ในรายชื่อคนเลวที่อยากเล่นงานเธอ ซูจิ่วซานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

เมื่ออวี๋กานกานพูดจบก็ขอตัวกลับก่อน

 

 

โชคดีที่เธอปฏิเสธตอนที่ผู้อำนวยการขอให้เธอเข้าร่วมการบรรยายตั้งแต่แรกและยังบอกอีกว่าอาจจะเกิดกระแสตอบกลับที่ไม่ดี เพราะวิธีที่ดีที่สุดของการดึงใครสักคนให้ตกลงมา จะต้องทำให้เธอก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงก่อน

 

 

ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับสมาคมและผู้อำนวยการอย่างไร

 

 

ซูจิ่วซานมองแผ่นหลังของอวี๋กานกานด้วยความโกรธ

 

 

เธอหันหน้ามองทุกคนราวกับจะบอกว่า ฉันพูดด้วยความเป็นห่วงแท้ๆ พวกคุณดูกิริยาที่เธอทำสิ

 

 

ทุกคนมองไปที่เธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยและและไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

สุดท้ายดวงตาของซูจิ่วซานจ้องมองซย่าเฉิงโจวด้วยสายที่โศกเศร้าราวกับต้องการการปลอบโยน

 

 

ทว่าซย่าเฉิงโจวกลับมองที่เธอด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย

 

 

ซูจิ่วซานโกรธมาก “……”

 

 

ทำไมทุกคนถึงได้มีท่าทีแบบนี้ โฉมหน้าของอวี๋กานกานถูกฉีกออกแล้ว ทำไมพวกเขายังดูเหมือนสิงโตที่แกล้งหลับอยู่อีก?!!

 

 

 

 

จากคำชื่นชมจู่ๆ กลับกลายเป็นคำด่าทอ อวี๋กานกานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ทุกอย่างดูแปลกจนเกินไป เพราะแบบนั้นอวี๋กานกานจึงได้ขอให้ฟางจือหันช่วยเธอสืบเรื่องนี้

 

 

ในช่วงเวลาอาหารเย็น อวี๋กานกานและฟางจือหันคุยกันถึงเรื่องในโลกโซเชียล “เมื่อเช้าที่คุณให้ลู่เสวี่ยเฉินช่วยตรวจสอบให้ รู้หรือยังว่าเป็นฝีมือใคร”

 

 

ฟางจือหันซดซุปเข้าไปหนึ่งคำ “เจอตัวแล้ว แต่ว่าเรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้น่ะสิ”

 

 

“ไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้เหรอ งั้นเป็นยังไงล่ะคะ”

 

 

อวี๋กานกานทั้งสงสัยและไม่เข้าใจ

 

 

ขณะนั้นโทรศัพท์ที่ว่างอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น อวี๋กานกานจึงลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ คนที่โทรมาก็คือเยี่ยซี

 

 

ไม่ใช่ว่าพอเห็นเรื่องในอินเทอร์เน็ตแล้วจะโทรมาปลอบเธอหรอกนะ

 

 

อวี๋กานกานรับสาย ยังไม่ทันได้พูด ปลายสายก็มีเสียงเยี่ยซีดังแทรกขึ้นมาก่อน “ผมขอโทษครับพี่”

 

 

น้ำเสียงดูร้อนรนกระวนกระวายและรู้สึกผิด

 

 

อวี๋กานกานตกใจ “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

ทำไมเมื่อกี้เยี่ยซีถึงขอโทษเธอกันล่ะ?

 

 

เยี่ยซีไม่ได้คาดคิดว่าการที่ตัวเองอยากเพิ่มชื่อเสียงให้อวี๋กานกานนั้น ไม่เพียงทำให้เธอไม่ได้โด่งดังขึ้น แต่กลับทำให้เธอกลายเป็นเป้าบนอินเทอร์เน็ต ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตัดสินและโจมตีด้วยเจตนาร้ายจากผู้คน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 310 เจ้าโรคจิตโตขึ้นแล้ว

 

 

เยี่ยซีโทรไปที่บริษัทโฆษณาและด่าว่าพวกเขาด้วยความโกรธ บอกให้พวกเขากอบกู้ชื่อเสียงของอวี๋กานกานกลับมาโดยเร็วที่สุด

 

 

บริษัทโฆษณานี้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการโปรโมทดาราในวงการบันเทิงโดยเฉพาะ

 

 

พวกเขาไม่ได้ลงมือจัดการทันทีที่มีกระแสการแฉออกมา เพราะรู้สึกว่าต้องมีหัวข้อให้ถกเถียงกันถึงจะเป็นที่นิยม

 

 

เมื่อเรื่องเลยเถิดจนไม่สามารถควบคุมได้ เกิดความคิดเห็นในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้คิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ดารา แต่เป็นเพียงแพทย์แผนจีนคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

พวกเขาถึงกับอดหลับอดนอนคิดหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

 

 

ทว่าแผนการเหล่านี้ล้วนต้องการความร่วมมือจากอวี๋กานกาน

 

 

ในตอนแรกเยี่ยซีคิดว่าจะรอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยก่อน เมื่อชื่อเสียงของอวี๋กานกานกลับคืนมาแล้ว เขาถึงค่อยมาขอโทษอวี๋กานกาน เนื่องจากแผนการประชาสัมพันธ์ในช่วงวิกฤตต้องได้รับความร่วมมือจากอวี๋กานกาน ดังนั้นเขาจึงต้องโทรมาหาเธอก่อน ถึงจะสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้

 

 

เมื่ออวี๋กานกานได้ยินแผนการของเยี่ยซีที่อยากจะหาทีมช่วยโปรโมทเธอ แต่กลับกลายเป็นได้รับการตอบรับในด้านลบ

 

 

เธอก็ทั้งโมโหทั้งขำ

 

 

เธอพูดกับเยี่ยซีว่า “ขอบคุณนะ แต่ไม่ต้องจริงๆ ฉันเป็นแค่หมอคนหนึ่ง จะดังหรือไม่ดัง มีคนรู้จักหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับการโปรโมทอะไรเลย สำหรับฉันแล้วสิ่งนี้มันออกจะฟุ่มเฟือยไปด้วยซ้ำ”

 

 

“ผมเข้าใจแล้ว ขอโทษครับ”

 

 

“คุณทำไปเพราะความหวังดี ไม่ต้องห่วง ฉันไม่โทษคุณหรอก”

 

 

“พี่วางใจเถอะผมจะล้างข้อกล่าวหาให้พี่เอง” เมื่อพูดจบเยี่ยซีก็ทำเสียงถุยๆ หลายครั้ง จากนั้นก็รีบพูด “ที่จริงไม่ต้องล้างเลยเพียงแค่ทำให้ทุกคนได้เห็นความจริง”

 

 

อวี๋กานกานกำลังจะตอบเยี่ยซี ฟางจือหันเดินมา ยื่นมือเข้าหาเธอ “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน”

 

 

เมื่อมีเครื่องทำความร้อนในห้องนอน ฟางจือหันก็สวมเพียงแค่เสื้อกันหนาวสีดำบางๆ ตัวเดียว ท่อนล่างสวมกางเกงลำลองสีดำเข้าชุด ทำให้เขาดูสูงและผอมมากขึ้น

 

 

ฟางจือหันรับโทรศัพท์จากมือของอวี๋กานกาน ดวงตาของเขาราวกับปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งและพูดอย่างเย็นชาว่า “บอกแผนประชาสัมพันธ์ของนายมา”

 

 

อวี๋กานกานมองเขาโดยไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย และนึกถึงคำที่เขาพูดเมื่อครู่ว่าเรื่องราวไม่ใช่อย่างที่คิดกันเอาไว้ ดูเหมือนเขาจะรู้มาก่อนแล้วว่าเป็นฝีมือของเยี่ยซี

 

 

ไม่รู้ว่าเยี่ยซีที่อยู่หลายสายพูดเรื่องแผนประชาสัมพันว่าอย่างไรถึงได้ถูกฟางจือหันปฏิเสธ “ไม่ได้”

 

 

ดูเหมือนเยี่ยซีจะพูดถึงแผนการอื่นที่คิดเอาไว้อีก แต่ฟางจือหันกลับพูดว่า “ไม่ต้องคิดแล้ว ฉันจะให้เลขาของฉันติดต่อนายไป เขาจะบอกนายว่าต้องทำอะไรบ้าง”

 

 

ฟางจือหันวางสายไป เมื่อเห็นใบหน้าของอวี๋กานกานที่คิ้วขมวด แววตาเศร้าสร้อยจ้องมองเขาด้วยความกังวล เขายื่นมือออกไปลูบศีรษะเธอแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะ”

 

 

ขณะที่ฝ่ามือร้อนของชายหนุ่มวางลงบนศีรษะ ก็ราวกับให้สัมผัสที่แสนอบอุ่น

 

 

อวี๋กานกานส่ายหน้าให้ฟางจือหัน “ฉันไม่ได้ห่วงเลย”

 

 

เธอยิ้มและพูดต่อ “ครั้งก่อนเรื่องปัญหาทางการแพทย์ ฉันถูกโจมตีและต่อว่าทางอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นฉันโกรธมากเลยพยายามไปหาหลักฐาน และได้บังเอิญพบกลุ่มคุณแม่ที่น่ารักเหล่านั้น พวกเธอทำให้ฉันรู้ว่าผู้คนบนอินเทอร์เน็ตไม่ได้เป็นตัวแทนของทุกคน คนที่ด่าฉันส่วนใหญ่ไม่มีความสุขในชีวิตถึงได้มาพึ่งโลกออนไลน์เพื่อแผ่พลังงานเชิงลบและพยายามทำให้คนอื่นกลายเป็นเหมือนพวกเขา ฉันไม่สนใจหรอก เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างจะหายไปกับสายลมและไม่จำเป็นต้องใช้การประชาสัมพันธ์ใดๆ เพียงแค่ปล่อยให้มันสงบลงตามธรรมชาติในอีกไม่กี่วันก็พอ”

 

 

ในโลกที่วุ่นวายนี้ คนส่วนมากมักจะเห็นความจริงเพียงผิวเผิน

 

 

สิ่งที่เธอทำได้คืออย่ากลัวข่าวลือ ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและใช้ชีวิตตัวเองให้ดี

 

 

จู่ๆ ฟางจือหันก็ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าโรคจิตของพวกเราจะโตขึ้นแล้วนะ”