บทที่ 179 ไม่สนใจ

ไหปีศาจ

บทที่ 179
ไม่สนใจ

ท่านบรรพบุรุษ?

ลั่วอู๋มองชายชราในชุดขาวและได้แต่สงสัย
ชายชราคนนี้เป็นใคร
เขาดูเหมือนชายชราที่มีฐานะสูง
เขาเป็นคนที่มาจากตระกูลลั่วรึเปล่า?

“เจ้าไม่มีธุระอะไรที่นี่อีกต่อไปแล้ว กลับไปซะ” ลั่วไป่เหาโบกมือไล่ฉินเฟิง
ฉินเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่านี่เป็นคำสั่งของนายหญิง”
“แล้วยังไง?” ลั่วไป่เหาเหลือบมองเขา
ฉินเฟิงถอยออกไปอย่างรวดเร็ว “เข้าใจแล้วขอรับ”
ในใจเขาได้แต่ด่าตัวเองว่างี่เง่า แม้ว่านายหญิงของเขาจะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่ชายชราคนนี้นั้นเป็นถึงท่านบรรพบุรุษที่อยู่จุดสูงส่งที่สุดของตระกูลลั่ว
ที่แปลกก็คือทำไมเจ้าลั่วอู๋คนนี้ถึงได้กล้าไปมีเรื่องกับท่านบรรพบุรุษมากกว่า

ลั่วไป่เหายิ้ม เขามองไปที่ลั่วอู๋ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนใจ “เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่อว่าลั่วอู๋ใช่ไหม?”
“ใช่แล้วมีอะไรงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ตอบไปอย่างห้วน ๆ
ลั่วไป่เหาถาม “เจ้ามีศิษย์เป็นเด็กสาวที่ชื่อว่าเฉินหมิงหยู่รึเปล่า ? นางมีวิหคกระจกเงาอมตะที่มีค่ามากด้วยใช่ไหม?”
“ถ้าท่านจะมาแก้แค้นนาง อย่ามาหาข้า ข้าไม่ได้รู้จักนางดีขนาดนั้น” ลั่วอู๋เม้มริมฝีปาก

ลั่วไป่เหาไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาได้
เขามีท่าทางไม่เป็นมิตรมากจนถึงขนาดดูเหมือนกับว่าเขามาที่นี่เพื่อต้องการแก้แค้นเลยงั้นเหรอ
อย่างไรก็ตาม ลั่วอู๋ต้องรู้จักกับเฉินหมิงหยู่อย่างแน่นอน เด็กชายคนนี้คือลูกหลานของตระกูลลั่วที่เฒ่าเฉินพูดถึงไม่ผิดแน่
“ข้าไม่ได้มาเพื่อแก้แค้น ไม่ใช่แบบนั้น” ลั่วไป่เหายิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าหนุ่ม เจ้าสนใจจะมาเป็นลูกลูกศิษย์ของข้าหรือไม่?”
ดวงตาข้างหนึ่งของฉินเฟิงเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้าออกมา
ท่านอยากจะรับเขาเป็นศิษย์งั้นเหรอ?
ท่านบรรพบุรุษถ่อมาถึงที่นี่เพื่อมารับตัวลั่วอู๋ไปเป็นศิษย์และเขาก็ดูจะเกรงใจอีกฝ่ายมาก
มีการกล่าวกันมานานแล้วว่า การปรากฏตัวของท่านบรรพบุรุษในครั้งนี้ อาจจะเพื่อมาตามหาผู้สืบทอด
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ลั่วอู๋คือตัวเลือกนั้นของท่านบรรพบุรุษ

“ขอโทษด้วย แต่ข้าไม่สนใจ” ลั่วอู๋พูดตอบไปตรง ๆ
ทันใดนั้นรอยยิ้มของลั่วไป่เหาก็หายไป
นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปีที่เขาถูกปฏิเสธ เขาได้ถูกเด็กคนนี้ปฏิเสธ ซึ่งทำให้เขาหงุดหงิดมาก
“ทำไมล่ะ?” ลั่วไป่เหาถามอย่างสงสัย
“เพราะว่า … ” ปากของลั่วอู๋ แสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มแปลก ๆ “เพราะพลังวิญญาณของเสี่ยวไป่ ฟื้นฟูเต็มที่แล้ว ลาขาดล่ะ”
กระต่ายแห่งแดนสาบสูญตัวใหญ่ที่อยู่ข้างหลังลั่วอู๋มีเปล่งแสงสีขาวเป็นประกาย
แรงบีบตัวของมิติเริ่มก่อตัว
ยิ่งทักษะมีพลังมากเท่าไหร่การใช้พลังวิญญาณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งการทะลวงมิติมีระยะทางไกลเท่าไหร่และต้องบรรทุกคนมากเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็จะถูกใช้ไปมากขึ้นเท่านั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงการผลกระทบจากการโจมตีของมังกรกระดูกผีให้มากที่สุด เสี่ยวไป่ได้ใช้พลังวิญญาณส่วนใหญ่เพื่อพาลั่วอู๋หลบหนีออกมา
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งอินทรี ลั่วอู๋จึงเลือกที่จะไม่หนี เพราะเขาไม่สามารถทำได้นั่นเอง
โชคดีที่ชายชราปรากฏตัวขึ้นและถ่วงเวลาเอาไว้ให้เขาชั่วขณะ พลังวิญญาณของเสี่ยวไป่จึงได้รับการฟื้นฟูเพียงพอ ที่จะสามารถพาลั่วอู๋หนีไปด้วยทักษะทะลวงมิติของมันได้

“เดี๋ยวสิเจ้าหนุ่ม อย่าเพิ่งไป!” ลั่วไป่เหารีบร้อนเข้าไปห้าม พลังวิญญาณของเขาก็พลุ่งพล่านออกมา เขาต้องการจะสกัดกั้นอีกฝ่ายเอาไว้แต่ก็สายไปเสียแล้ว

แสงสีขาวกะพริบจากนั้นร่างของลั่วอู๋ก็หายไปในทันที
ลั่วไป่เหาได้แต่ตกตะลึง
นั่นมันทักษะระดับ SS [ทะลวงมิติ] อย่างนั้นหรอ?

เขาสังเกตเห็นกระต่ายแห่งแดนสาบสูญตัวใหญ่ข้างหลังลั่วอู๋อยู่นานแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจมัน ให้ตายเถอะโลกนี้มันช่างกว้างใหญ่เสียจริง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับแต่ง เขาเองก็มีความรู้หลากหลาย แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นกระต่ายแห่งแดนสาบสูญที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่

แต่ตอนนี้เขากลับตกใจมาก
แค่ทักษะระดับ SS นั้นก็ถือว่าหายากแล้ว แต่การที่มีทักษะระดับ SS ที่เกี่ยวข้องกับมิตินั้นหาได้ยากยิ่งกว่า
หนึ่งในทักษะที่มีค่าที่สุดสำหรับระดับ SS ก็คือทักษะที่เกี่ยวกับมิติ
ใครจะคิดว่ากระต่ายแห่งแดนสาบสูญจะสามารถเชี่ยวชาญทักษะระดับนี้ได้

“ ข้าจำได้ว่าในรายงานของหน่วยข่าวกรอง ราชากระต่ายตัวนี้ได้รับการปรับแต่งโดยตัวของลั่วอู๋เองสินะ? ดวงตาของลั่วไป่เหาเป็นประกาย

นี่มันอัจฉริยะ
ปีศาจชัด ๆ
เขาไม่นึกว่าจะมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้ในบรรดาลูกหลานของตระกูลลั่ว
ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมาตื่นเต้น เจ้าหนุ่มคนนั้นกำลังหนีไปแล้วนะ

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ลั่วไป่เหาก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง “ไอ้เจ้าเด็กบ้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้าอยากจะรับเจ้าไปเป็นศิษย์แท้ ๆ ทำไมเจ้าถึงได้หนีข้าไปแบบนี้กัน!”
ถ้าเขาตั้งใจป้องกันไม่ให้ ลั่วอู๋ หนีไปได้ละก็ ไม่แน่เขาอาจจะสามารถปิดกั้นช่องว่างของมิติได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหนีไป
แต่ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว

ใครจะไปคิดว่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน จะสามารถหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงในตำนานได้
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ใกล้ รู้สึกว่าสามัญสำนึกของเขากำลังจะพังทลายลงไป
เข้าต้องกำลังฝันอยู่แน่ ๆ
ใช่แล้ว เขากำลังฝัน

“เอาล่ะ เจ้าแห่งอินทรีใช่ไหม เจ้าน่ะ ? ไปพาตัวเขากลับมาให้ข้าสิ” ลั่วไป่เหามองไปที่ฉินเฟิง

เมื่อได้ยินคำสั่งฉินเฟิงก็ตื่นเต้นขึ้นมาในทันที

“ด..ได้ขอรับ ”
ฉินเฟิงรีบขึ้นไปนั่งบนนกอินทรีของเขาอย่างรวดเร็วและเริ่มออกค้นหาตัวลั่วอู๋ในทันที แต่ลั่วอู๋นั้นหายไปไม่เหลือแม้แต่เงาแล้ว เขาจะไปหาเจอได้ที่ไหนกันล่ะ ?
……
……

ลั่วอู๋นำศพของเจ้าของร้านคนเก่าไปยังคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเขตหมิงหนาน
เหล่าสมาชิกหลักทุกคนที่เต็มใจจะติดตามลั่วอู๋มาที่นี่

ก่อนเดินเข้าประตู ลั่วอู๋นั้นได้ลังเลอยู่พักหนึ่ง
เขาอยากจะเอาศพของเจ้าของร้านคนเก่ามาให้ทุกคนได้เห็นจริงๆงั้นเหรอ? พวกคนงานทั้งสามคนนั้นคงจะเศร้ามาก หากได้รู้ว่าเขาตายลงยังไง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานลั่วอู๋ก็หยิบดอกไม้ยมโลกออกมาจากไหปีศาจ
ว่ากันว่าผู้ที่กลืนดอกไม้ยมโลกจะสามารถยืดชีวิตของเขาได้สามวัน ตราบเท่าที่เขาไม่ได้ตายลงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากสามวันไปแล้ว เขาก็จะต้องตายลงอย่างสมบูรณ์

“ต้องขออภัยด้วยท่านเจ้าของร้านคนเก่า ข้าหวังว่ามันจะไม่เป็นการรบกวนการพักผ่อนของท่าน”
ลั่วอู๋คิด จากนั้นเขาก็ฉีกดอกไม้ยมโลกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วใส่เข้าไปในปากของเจ้าของร้านคนเก่าแล้วภาวนาหวังว่ามันจะได้ผล
ไอวิญญาณอันนิ่งและมืดมนแผ่ออกมาอย่างช้าๆ
เจ้าของร้านคนเก่าลืมตาขึ้น ทว่าร่างกายของเขาแข็งทื่อและใบหน้าของเขาเหมือนศพเดินได้ที่ปราศจากอารมณ์
“นายน้อยเหรอ ” วู่หยู่หรือเจ้าของร้านคนเก่าพูดออกมา
ในใจของลั่วอู๋มีอารมณ์ที่ซับซ้อนเกิดขึ้น “เจ้าของร้านคนเก่า … ”
“ขอบคุณนายน้อยมาก ท่านไม่ได้รบกวนการพักผ่อนของข้าหรอกนะ ข้าเข้าใจสถานะของข้าดี” เสียงเจ้าของร้านคนเก่านั้นเรียบมาก
ลั่วอู๋ได้เปิดปากของเขาออกมา แต่เขาก็ไม่สามารถพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูดออกมาได้

“ต้องขอบคุณท่านที่ข้ายังสามารถกลับไปพบกับทุก ๆ คนได้อีกครั้ง แม้ว่าข้าจะเป็นแบบนี้ไปแล้วก็ตาม”
เจ้าของร้านคนเก่ายืนตัวแข็ง เขาค่อย ๆ เปิดประตูของคฤหาสน์ออก

“ นายน้อยและเจ้าของร้านคนเก่ากลับมาแล้ว!” มีเสียงร้องด้วยความประหลาดใจดังขึ้น ทุกคนรีบกรูกันออกมารับพวกเขา
“เจ้าของร้านคนเก่ากลับมาแล้ว”
“ข้าว่าแล้วว่าข่าวนั้นมันเรื่องโกหก เจ้าของร้านคนเก่าจะไปตายได้อย่างไรกันเล่า”
“นายน้อยพาเจ้าของร้านคนเก่ากลับมาแล้ว!”

คนงานทุกคนดูมีความสุขมาก
แม้เจ้าของร้านคนเก่าจะดูมีท่าทางแปลก ๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ดีจริง ๆ ที่ได้พบพวกเจ้าอีกครั้ง” เจ้าของร้านคนเก่าพยายามทำให้มุมปากของเขาสูงขึ้น โดยดึงส่วนโค้งออกมาเล็กน้อยเพื่อยิ้ม

“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังนายน้อยให้ดีนะ ข้าต้องไปแล้ว อย่าเป็นห่วงข้าไปเลย”
เจ้าของร้านคนเก่าไม่ได้ให้เวลาพวกเขาในการตอบโต้ใด ๆ
แม้พวกเขาจะเริ่มกังวลเพราะเจ้าของร้านคนเก่าดูแปลก ๆ ไป แต่พวกเขาก็พอใจแล้วที่ได้เจอเขาอีกครั้ง
ทุกคนพยายามที่จะรั้งตัวเขาเอาไว้ แต่ลั่วอู๋ก็เข้ามารับตัวเจ้าของร้านคนเก่าไป แม้เขาจะไม่ได้มีโอกาสระลึกถึงทุกคน แต่เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
อย่างน้อย ๆ เจ้าของร้านคนเก่าก็สบายใจขึ้นมาก

“นายน้อยพาข้ากลับไปเถอะ” เจ้าของร้านคนเก่ากล่าว
ลั่วอู๋พยายามระงับความขมขื่นในใจ และพาเขากลับไปที่สำนักโล่พิทักษ์ในเขตหวงชาด้วยกันสองคน
สำนักโล่พิทักษ์นั้นว่างเปล่า แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ท่านเจ้าของร้านคนเก่า”
“เนื่องจากพวกเราไปฆ่าคนของตระกูลลั่ว 15 คนที่มาบุกที่นี่ พวกเราจึงไม่สามารถทำธุรกิจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว” ลั่วอู๋กล่าวเบา ๆ
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป ท่านเจ้าของร้านคนเก่า พวกเรายังมีโฉนดอยู่ และคนของทีมหวงชาก็ไม่คิดจะกล้าทำอะไรกับที่นี่ ดังนั้นมันจะถูกรักษาเอาไว้แบบนี้ตลอดไป”
“ข้าให้สัญญาว่าสำนักโล่พิทักษ์สาขานี้จะเปิดตัวอีกครั้งในอนาคต”
เจ้าของร้านคนเก่าพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินไปที่ตำแหน่งของตัวเองด้านหลังตู้เก็บของหลัก เขานั่งลงช้า ๆ แล้วหลับตาลง
“ขอบคุณมากนะ นายน้อย”
สามวันต่อมา หลังจากที่เจ้าของร้านคนเก่าหลับตาลง ดูเหมือนว่าเขาจะหลับสนิทและไม่มีลมหายใจอีก
ในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา เจ้าของร้านคนเก่าต้องการที่จะรู้สึกถึงความทรงจำต่าง ๆ ทุกอย่างที่นี่ที่ผ่านมาในอดีตอย่างเงียบ ๆ

ลั่วอู๋ค่อย ๆ ถอยออกจากสำนักโล่พิทักษ์และปิดประตู
สำนักโล่พิทักษ์ตกอยู่ในความเงียบสงบ

ในเวลานี้เสียงประหลาดใจก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
“ให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไหงร้านถึงปิดกิจการได้ล่ะเนี่ย ข้าไม่ได้กลับมาที่นี่นานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ฉูจงฉวนมองไปที่ร้านค้าตรงหน้าเขาอย่างตกตะลึง
ลั่วอู๋เกาหัวของเขา “ข้าเกือบลืมเจ้าไปแล้วนะเนี่ย”
มันช่วยไม่ได้ที่ลั่วอู๋จะลืมเขา
ฉูจงฉวนเที่ยวเล่นอยู่ในหอราตรีนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่ได้แวะกลับเลย เขาจึงลืมไปแล้วว่ามีฉูจงฉวนอยู่ด้วย…