ตอนที่ 353 ไม่ใช่ของข้า / ตอนที่ 354 อย่าได้คิดจะปฏิเสธ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 353 ไม่ใช่ของข้า

หูเฟิงส่ายหน้า “ไม่มีทาง ข้ามีพู่หยกแทนตัวเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับพู่หยกชิ้นนั้น”

“เหตุใดถึงไม่เหมือนกันเล่า”

“บนพู่หยกแทนตัว โดยทั่วไปแล้วจะสลักสัญลักษณ์ของตระกูล ไปจนถึงสัญลักษณ์แทนตัวเอาไว้ บนพู่หยกที่เมิ่งหนานมอบให้เจ้าก็มีเครื่องหมายประจำตระกูลเมิ่งเช่นกัน รวมถึงสัญลักษณ์แทนตัวคุณชายของสกุลเมิ่งด้วย คนที่มีความรู้มองปราดเดียวก็มองออกแล้ว” หูเฟิงว่า

ไป๋จื่อมองหูเฟิงด้วยสีหน้าสงสัย นางถาม “ในเมื่อพู่หยกนั่นไม่ใช่ของแทนตัว เป็นแค่สิ่งของธรรมดาทั่วไป และฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว เจ้าเหมือนจะไม่ใส่ใจสิ่งของเหล่านั้นเท่าไร แล้วเหตุใดเจ้ามองเพียงครั้งเดียว ก็จำพู่หยกที่อยู่บนตัวหญิงชราได้ มันคล้ายกับพู่หยกของที่บ้านเจ้ามากเลยหรือ”

หูเฟิงกล่าว “พู่หยกนั่นมีรูปลักษณ์พิเศษ ไม่เหมือนกับพู่หยกทั่วไป ถึงข้าอยากจะลืมก็นับว่ายากนัก”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดจ้านึกไม่ออกว่าพู่หยกนั่นมาจากที่ใด”

ชายหนุ่มมองไป๋จื่อด้วยความสงสัยเช่นกัน “ไยเจ้าสนใจพู่หยกชิ้นนี้นัก หรือว่ามันเป็นของเจ้า”

พริบตานั้น ในใจของไป๋จื่อเกิดความคิดนับพันนับหมื่น แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ของข้า ข้าจะมีของพรรค์นั้นได้อย่างไร ก็แค่เห็นว่าสวยแปลกตา ก็เลยอยากรู้เท่านั้นเอง”

หูเฟิงเป็นองค์ชาย หากพู่หยกชิ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเขาจริง สถานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ไม่ว่าฐานะในอดีตของไป๋จื่อจะสูงส่งเพียงไร ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับนางแล้ว นางไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป

อีกอย่าง ครอบครัวที่ทิ้งเด็กทารกไว้ในป่าได้ ตามหาพวกเขาไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร

ตอนนี้นางเพียงอยากใช้ชีวิตอิสระกับท่านแม่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ นางไม่อยากไปเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีในเมืองหลวง

หูเฟิงไม่ได้คิดมาก ถึงอย่างไรก็เป็นแค่พู่หยกชิ้นหนึ่ง บนโลกนี้มีสิ่งของที่คล้ายคลึงกันอยู่ถมไป

ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีกตลอดทาง เพียงเดินตามกันไปถึงคันนา ข้าวสาลีในที่นาถูกเกี่ยวไปไม่น้อยแล้ว อาอู่กำลังเกี่ยวข้าวสาลีแถวสุดท้ายอยู่

ไป๋จื่อวางข้าวของในมือลง แล้วหยิบกระบอกน้ำในย่ามส่งให้อาอู่

“พี่อู่ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านจะทำไร่ทำนาได้คล่องเช่นนี้”

อาอู่หยุดงานในมือ รับกระบอกน้ำที่ไป๋จื่อส่งให้ หลังจากดื่มไปอึกหนึ่ง รวมถึงเช็ดเหงื่อแล้ว เขาถึงจะยิ้มรับ “เมื่อครั้งที่ข้าพาภรรยาและลูกหนีมา ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ข้าเห็นคนแก่สองคนเหนื่อยจนเป็นลมอยู่ในที่นา จึงเข้าไปช่วยพวกเขา หลังจากนั้นก็ได้อาศัยอยู่ที่บ้านพวกเขาอยู่พักหนึ่ง ช่วยพวกเขาเกี่ยวข้าวสาลีในที่นาจนเสร็จ ได้เสบียงอาหารมาจำนวนหนึ่งด้วย”

“ท่านไม่ใช่คนเมืองชิงหยวนหรือ” ไป๋จื่อถามด้วยคามแปลกใจ

อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่คนเมืองชิงหยวน แต่เพราะมีญาติอาศัยอยู่ในเมืองชิงหยวนอยู่สองสามคน จึงไปขอพึ่งพิงพวกเขา แต่ใครจะคิด…” เขายิ้มขื่น ไม่ได้พูดต่อ เพียงก้มลงทำงานต่อ

ไป๋จื่อก็ไม่ได้ถามอีก นางถือกระบอกน้ำกลับไปที่รถม้า ช่วยหูเฟิงผูกกิ่งต้นหงกั่วไว้บนรถ

เมื่อทำงานในที่นาเสร็จสิ้น ทั้งสามคนก็เร่งกลับไปที่หมู่บ้าน ไปถึงบ้านทันเวลาอาหารกลางวันพอดี

ทว่ายังไม่ทันได้ล้างหน้าและกินข้าวกลางวัน ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญสองคนพุ่งเข้ามาในลานบ้าน

“ไป๋จื่อล่ะ ข้าต้องการพบนางเดี๋ยวนี้!”

จ้าวหลานวางข้าวที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วไว้บนโต๊ะ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหมือนจะเป็นเสียงของเจ้าใหญ่เจี่ยนะ เหตุใดเขาถึงมา”

ไป๋จื่อเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะมา คนพรรค์นี้จะปล่อยโอกาสหลอกเงินจากนางไปได้อย่างไร

“ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ลูกชายของเขาตกลงมาจากบนต้นหงกั่ว ข้าไปพบเข้าพอดี เห็นเขาน่าสงสาร จะปล่อยไปไม่สนใจก็ไม่ได้ จึงช่วยเขาเชื่อมข้อต่อที่แขนจนเรียบร้อย ทั้งยังดามขาที่หักไปแล้วให้ด้วย นี่เรียกว่าทำคุณบูชาโทษแท้ๆ เลยกระมัง เพราะพ่อแม่ของเขากลับไม่เห็นความดีของข้า เอาแต่บอกว่าข้าทำร้ายบุตรชายของพวกเขาท่าเดียว ต้องการให้ข้าชดใช้ด้วยเงิน ท่านว่าข้าถูกเอาเปรียบหรือไม่”

……….

ตอนที่ 354 อย่าได้คิดจะปฏิเสธ

หูจ่างหลินได้ยินคำพูดนี้เข้าก็ส่ายหน้า พลางถอนใจกล่าวว่า “เจ้าใหญ่เจี่ยเป็นคนเช่นนั้นแหละ อายุตั้งปูนนี้แล้ว ช่างไม่มีพัฒนาการเอาเสียเลย”

เจ้าใหญ่เจี่ยยังคงร้องตะโกนอยู่ในลานบ้าน ทุกคนจึงทำได้เพียงวางชามข้าวที่เพิ่งยกขึ้นมา ตอบรับและเดินออกไป

แววตาของเจ้าใหญ่เจี่ยสั่นระริกอยู่บ้าง เพราะคิดว่าหูเฟิงยังคงทำงานอยู่ในที่นา เหตุใดถึงกลับมาในเวลานี้ได้ เขาตั้งใจมาที่สกุลหูค่อนข้างเร็ว ด้วยกลัวว่าจะเจอกับหูเฟิงเข้านี่แหละ

หลี่ซื่อที่อยู่ข้างๆ เจ้าใหญ่เจี่ยว่า “ไป๋จื่อของพวกเจ้าทำร้ายลูกชายของข้า เพิ่งกลับมาจากบ้านท่านหมอลู่ เสียเงินค่ารักษาไปไม่น้อย ไป๋จื่อต้องเป็นคนรับผิดชอบ ต้องชดเชยค่าพักฟื้นให้พวกข้า ไม่ต้องมากก็ได้ แค่สิบตำลึงเงินก็พอแล้ว รีบส่งเงินมาสิ”

ขณะนี้ไป๋จื่อ จ้าวหลาน และคนอื่นออกมากันหมดแล้ว ไป๋จื่อเดินหน้าไปสองก้าว สองมือกอดอกยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนทั้งสอง นางเชิดใบหน้าเล็กที่แดงระเรื่อเล็กน้อยเพราะต้องแสงอาทิตย์ มองสองสามีภรรยาสกุลเจี่ยด้วยแววตาแหลมคม แล้วพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ดูท่าพวกเจ้าตั้งใจขู่กรรโชกเงินจากข้านะ ไม่เป็นไร ข้ารับคำท้าของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าคิดจะขอเงินจากข้าง่ายๆ เช่นนี้เกรงว่าจะไม่ได้ ไม่สู้พวกเจ้าไปฟ้องร้องข้าที่ที่ว่าการอำเภอ ใต้เท้านายอำเภอตัดสินเช่นไร ข้าก็จะจัดการให้ตามนั้น”

สีหน้าของเจ้าใหญ่เจี่ยและหลี่ซื่อพลันเปลี่ยนไป ไป๋จื่อกล่าวต่ออีกว่า “แต่ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้สักคำนำ ใต้เท้านายอำเภอไม่ใช่คนจิตใจดีอะไร หากเขาไม่ถูกชะตากับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะฟ้องร้องใครหรือสิ่งใด เขาล้วนสั่งโบยเจ้าก่อนสามสิบไม้ค่อยว่ากล่าว หากพวกเจ้าอดทนได้ก็จงไปฟ้องร้องเสียเถอะ”

เรื่องนี้ไม่ถือว่าไป๋จื่อขู่เข็ญพวกเขา เพราะพวกเขาก็เคยได้ยินมาเช่นกัน หลายคนเคยไปฟ้องร้อง ทว่ายังฟ้องร้องไม่ทันเสร็จสิ้น ก็ถูกโบยจนปางตายแล้ว

เจ้าใหญ่เจี่ยยังคงยืนกราน “มะ ไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น ข้าให้หัวหน้าหมู่บ้านมาตัดสินคดีนี้ก็ได้ ข้ามีพยานในเหตุการณ์ เจ้าอย่าได้คิดจะปฏิเสธ”

ไป๋จื่อยักไหล่ “ตามใจเจ้า!”

เจ้าใหญ่เจี่ยหมุนกายเดินไปอย่างกระฟัดกระเฟียด ไป๋จื่อพูดกับทุกคนว่า “รีบกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวจะมีเรื่องคึกคัก พวกเราเติมท้องให้อิ่มก่อนค่อยโต้เถียงกับเขาดีกว่า”

อาอู่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “สภาพสังคมเดี๋ยวนี้ช่าง…คนที่ไม่รู้จักพูดกันด้วยเหตุผลพรรค์นี้ ช่างมีให้เห็นอยู่ทั่วไปจริงๆ”

ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “คนดีก็มีเยอะนะเจ้าคะ คนอย่างเจ้าใหญ่เจี่ย อย่างไรเสียก็เป็นส่วนน้อยเจ้าค่ะ!”

หูจ่างหลินรีบกล่าวต่อ “ถูกต้องๆ ในหมู่บ้านหวงถัวของพวกเรา คนดีมีอยู่ถมไป อย่างวันที่หูเฟิงและจื่อยาโถวหายตัวไป ก็มีคนในหมู่บ้านไม่น้อยไปช่วยตามหา คนที่ไม่ได้ไปก็เป็นแค่ครอบครัวส่วนน้อยเท่านั้น ทุกคนไม่ใช่คนเลว ขอเพียงพอจะช่วยเหลือได้ พวกเขาล้วนยินดีช่วย”

อาอู่นึกถึงชีวิตในหมู่บ้านหวงถัวหลายวันมานี้ จึงยิ้มว่า “ท่านพูดถูก ตั้งแต่ข้ามาที่หมู่บ้านนี้ นับว่าทุกคนดีต่อพวกข้าทีเดียว”

หูเฟิงกวาดสายตามองเงาหลังที่ห่างออกไปไกลของเจ้าใหญ่เจี่ยอย่างเย็นชา เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงเข้าเรือนไปกินข้าวพร้อมกับทุกคน

ทว่าเพิ่งกินข้าวไปได้ครึ่งเดียว ข้างนอกก็มีเสียงเอะอะของเจ้าใหญ่เจี่ยดังมา

ไปจนถึงเสียงร้องตะโกนของหัวหน้าหมู่บ้าน

“เอะอะอะไรกัน คนอื่นที่ไม่รู้จะพากันคิดว่าเจ้ามาเรื่อง มีเรื่องอะไรก็พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือไร” หัวหน้าหมู่บ้านตะคอกใส่เจ้าใหญ่เจี่ย สีหน้าของเขาเย็นชานัก

ในฐานะที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านหวงถัว เขาจะไม่รู้จักนิสัยของเจ้าใหญ่เจี่ยได้อย่างไร คนอย่างเขาจะต้องมีคำโกหกสักคำในหนึ่งประโยค ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาบอกว่าไป๋จื่อทำร้ายบุตรชายของเขา แต่ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้ คำกล่าวนี้ตีให้ตายอย่างไร หัวหน้าหมู่บ้านอย่างเขาก็ไม่เชื่อ