ตอนที่ 157 เรียบง่ายและดุดันได้ผลชะงัดนัก

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ไอ้พวกนี้สมควรตาย!” ซั่งกวนอิงไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งไร้ยางอายในตระกูลซั่งกวน ไม่นึกเลยว่าพวกนั้นจะกล้ามาหลอกถึงเรือนชาน แต่ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับอวี่ไข่ จะต้องพูดว่าน่ารังเกียจสินะ เสียตรงที่เขาบอกว่าผู้ชายเหล่านั้นดูเหมือนจะเจตนาไม่ดี คิดจะมาล่วงเกินพี่สะใภ้ใหญ่ ส่วนอวี่ไข่เองติดตรงที่ออกหน้าไม่เก่ง จึงอยากจะมอบงานที่ยากนี้ให้กับตัวเอง ต้องขอบคุณอวี่ไข่ที่บอกตัวเองล่วงหน้าสินะ รู้สึกว่าการคลุกคลีตีโมงกับคนแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดี

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” อวี่ไข่ดึงซั่งกวนอิงกลับมา ตอนนี้พวกที่ ‘เจ้าชู้ประตูดิน’ ตะโกนอยู่นอกประตูอยากจะเข้าไปพบเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องไร้สาระ จึงไม่ใช่เวลาที่จะโผล่หน้าให้พวกเขาเห็น

“ข้าจะออกไปเล่นงานพวกเขา!” ซั่งกวนอิงพูดอย่างดุดัน ก่อนที่พี่ใหญ่จะออกไปได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในเรือน (แต่ก่อนเคยบอกว่าเขายังเป็นเด็ก) จึงต้องใส่ใจเรื่องครอบครัวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่าปล่อยให้ญาติผู้หญิงในครอบครัวต้องถูกรังแกแต่อย่างใด เป็นชายชาตรีที่มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เขาจะปล่อยให้พี่สะใภ้ถูกรบกวนจากพวกขยะไร้ยางอายเหล่านี้ได้อย่างไร?

“เดี๋ยวก่อนสิ!” อวี่ไข่ดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น ใครจะรู้ว่าพี่สะใภ้มีมิตรภาพอะไรกับพวกเขาหรือไม่ ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าจะรับผิดชอบ ทำไมเจ้าพวกนี้ต้องมารังควานที่นี่พอดีด้วยเล่า?”

“เจ้าหมายความว่าพี่สะใภ้กับพวกเขามี…” ใจดวงน้อยที่ไร้เดียงสาของซั่งกวนอิงตกตะลึง เขามักจะคิดว่าคนพวกนี้ไร้ยางอาย เมื่อได้ยินว่าพี่สะใภ้งดงามเพริศแพร้วจึงมาถึงเรือนชานอย่างไม่ให้เกียรติ จู่ๆ จะกลายเป็นพูดเช่นนี้ได้อย่างไร

“เจ้ามันโง่!” อวี่ไข่ตบเขาทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ยังไม่แตก ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้เองมีปัญหา ไหนเลยพวกเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้เล่า? เจ้าคิดดูสิ เหตุใดพวกเขาไม่ไปส่งเสียงดังอยู่หน้าเรือนพิงถิง และไม่ไปรบกวนฉินซิน เจาะจงจะมาแต่ที่นี่เสียให้ได้ล่ะ? ถ้าไม่ใช่พี่สะใภ้บอกใบ้อะไรพวกเขาจะเป็นแบบนี้ได้หรือ?”

“แต่ว่า…” ซั่งกวนอิงไม่รู้ว่าควรจะเชื่ออวี่ไข่หรือไม่ เกิดความขัดแย้งขึ้นชั่วขณะ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้อย่างฉับไวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ม่านเหอเป็นคนเก่าแก่ข้างกายพี่ใหญ่ หากพี่สะใภ้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ม่านเหอและคนอื่นๆ จะปล่อยไปได้อย่างไร!”

“เป็นเพราะม่านเหอและคนอื่นๆ พี่สะใภ้ถึงแสร้งทำเป็นหยิ่งโอหัง มิฉะนั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” อวี่ไข่ไม่ละความพยายามใส่ร้าย พลันพูดเบาๆ ว่า “ข้าจะบอกให้ เจ้าอย่าตื่นเต้นนะ ข้าได้ยินมาจากคนรับใช้ของเรือนเหนือที่รับใช้เจ้าพวกนี้เล่าว่าเมื่อคืนไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนมาสักพักหนึ่ง พอกลับมาก็หัวเราะคิกคักและเตรียมสิ่งของเหล่านี้ พูดทำนองว่าดูสิใครจะทำให้หญิงงามถูกใจได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ข้าจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

“เจ้าหมายความว่าพวกเขาถูกพี่สะใภ้บอกใบ้ ถึงได้เป็นแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้กระมัง!” ซั่งกวนอิงพูดอย่างตกใจมาก

“ใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้เล่า? เจ้าดูสิ สาวใช้อีกคนก็ออกมาด้วย เป็นสาวใช้คนสนิทข้างกายพี่สะใภ้ ดูสิ พวกเขาพากันเข้าไปจริงๆ ด้วย…เร็วเข้า เจ้าไปหาลุงจิ่นพาคนมาช่วยเร็วเข้า!” อวี่ไข่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะปล่อยให้คนเข้าไปง่ายดายเช่นนี้ แม้ไม่รู้ว่าจะมีลูกไม้อะไร แต่ก็ตัดสินใจส่งซั่งกวนอิงออกไปอย่างเด็ดขาด

“ข้าจะไป เจ้าต้องจับตาดูให้ดี!” ซั่งกวนอิงวิ่งออกไป…

“พี่ม่านเหอ เจ้าจะปฏิเสธแขกผู้มีเกียรติให้อยู่หน้าประตูได้อย่างไร!” จื่อหลัวขัดจังหวะม่านเหอด้วยรอยยิ้มเผล่ และยิ้มต้อนรับขับสู้พวกคุณชายผู้ลากมากดีอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “สะใภ้ใหญ่ได้เตรียมต้อนรับทุกท่านอยู่แล้ว ทุกท่านเชิญเจ้าค่ะ!”

“จื่อหลัว!” ม่านเหอขมวดคิ้วเป็นปม นางส่งคนปีนกำแพงเรือนไปเชิญลุงจิ่นแล้ว ยังมีแม่นมที่ฝีไม้ลายมือไม่เลวอยู่ในเรือนอีกสองสามคน ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาคิดจะบุกมาทำร้าย สะใภ้ใหญ่จะชักศึกเข้าบ้านได้อย่างไรกันเล่า?

“พี่ม่านเหอ เจ้าไม่ฟังที่สะใภ้ใหญ่พูดแล้วหรือ?” จู่ๆ จื่อหลัวก็มีใบหน้าบึ้งตึง มองม่านเหออย่างไม่พอใจปราดหนึ่งแล้วแย้มยิ้มพูดว่า “เหล่าคุณชายเชิญเจ้าค่ะ!”

“ไม่ได้!” ม่านเหอขวางอยู่หน้าประตู บอกว่าไม่ยอมให้เข้าก็คือไม่ให้เข้า เห็นจื่อหลัวปากกระตุก แล้วดึงม่านเหอไป

อย่างไม่ไยดี พวกคุณชายก็ฉวยโอกาสแวบเข้าไป

“เจ้า…” ม่านเหอไม่ได้เตรียมป้องกันจื่อหลัว จึงปัดมือของจื่อหลัวออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว ถลึงตาจ้องมองอย่างดุดันปราดหนึ่ง แต่เห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของจื่อหลัว และยื่นมือออกมาทำท่า ‘จุ๊ๆ’ จึงไม่ได้แย่งเข้าไป

ประตูเรือนเปิดออกกว้าง มีคุณชายห้าคนเดินจ้ำอ้าวเข้าไป ทันใดนั้นก็มีเมฆดำปกคลุมด้านบน จากนั้นก็มองไม่เห็นอะไร ก่อนที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยา ไม้พลองที่คล้ายเม็ดฝนก็ตกลงมา พยายามดิ้นรน แต่ก็ถูกคนจากด้านนอกใช้เชือกมัดทั้งห้าไว้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด ในท้ายที่สุดก็ได้แค่กุมหัวไว้แน่นและทนเจ็บเพราะถูกทุบตี…

“นี่!” ม่านเหอระเบิดเสียงหัวเราะลั่น นางเห็นถนัดถนี่ว่าเป็นผ้าสีดำชิ้นหนึ่งดูเหมือนน่าจะหยิบออกมาจากห้องเย็บปักถักร้อย แม่นมสองคนที่มีวรยุทธ์ชั้นสูงที่ลุงจิ่นส่งมาให้สะใภ้ใหญ่เมื่อคืนถือมุมทั้งสี่อยู่ในมือพอดี ครั้นคุณชายห้าคนเข้าประตูมาก็ถูกแม่นมทั้งสองซุ่มโจมตีกระโดดลงมาจากที่สูง แล้วใช้ผ้าคลุมพวกเขา จากนั้นแม่นมทั้งสองก็มัดคนกลุ่มนั้นเป็นวง วนอยู่สองรอบอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มัดแน่นขึ้น แม่นมร่างกำยำและบรรดาสาวใช้ก็จับอาวุธในมือพุ่งเข้ามา…นอกจากไม้นวดแป้งที่อยู่ในมือของแม่นมร่างบึกบึนแล้ว ของอย่างอื่นล้วนเป็นขาโต๊ะ ดูคล้ายโต๊ะหลายตัวจะถูกรื้อทำลาย

มิน่าเล่าที่จื่อหลัวจะเปิดประตูต้อนรับแขก ไม่ใช่สิ…นี่เรียกว่าล่อให้ศัตรูเข้ามา แล้วปิดประตูตีแมว! แต่ก็ได้ระบายอารมณ์ดีทีเดียว! ม่านเหอก็วิ่งเข้าไป คว้าขาโต๊ะจากมือของสาวใช้ที่หงุดหงิดเล็กน้อยขึ้นมากระหน่ำตีแรงๆ สองสามครั้ง แล้วยื่นขาโต๊ะให้จื่อหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ

“เอาล่ะ พอสมควรแล้ว หากตีต่อไปจะฆ่าคนได้ดูไม่เป็นมงคล สะใภ้ใหญ่กล่าวว่า ไม่ควรมีเลือดสุนัขแปดเปื้อนอยู่ในเรือน!” เซียงเสวี่ยเห็นว่าน่าจะพอได้แล้วเช่นกัน คุณชายทั้งห้าก็นั่งยองๆ บนพื้นและร้องครวญคราง ด้วยคำพูดที่ใจดีมีเมตตา บรรดาแม่นมสาวใช้ก็เก็บอาวุธสังหารทันที ทุกคนดูไร้เดียงสา จากนั้นแม่นมทั้งสองคนก็ฉีกผ้าที่ฉีกขาดวิ่นเป็นริ้วๆ แล้วอย่างแรง ชายหนุ่มผู้ลากมากดีที่ยังนั่งยองๆ อยู่ก็เอนนอนลงในฉับพลัน ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการพูดจา

“หลบไป! หลบไป!” เสียงเอะอะทำให้เหล่าแม่นมสาวใช้ยอมหลีกทางให้ เซียงชุ่ยที่ไม่เคยเผยโฉมหน้าให้เห็นมาก่อนรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับสาวใช้สามถึงห้าคน โดยถือหม้อยกกะละมังไว้ในมือ ในขณะที่บรรดาแม่นมสาวใช้ก้าวออกไป ก็หยิบของในหม้อในกะละมังออกมาทักทายคุณชายที่เอนตัวนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่เกรงใจ ส่วนคุณชายเหล่านั้นก็ร้องเจ็บโอดโอย ครวญครางดังขึ้นในชั่วพริบตา…

เป็นน้ำล้างจาน? ไม่ ไม่ถูก ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงแล้วน้ำล้างจานมาจากไหน? ม่านเหอมองเข้าไปใกล้ๆ อีก แต่สาวใช้เหล่านี้ใช้เครื่องปรุงรสต่างๆ แล้วเติมน้ำคนผสมออกมา น่าสะอิดสะเอียนตรงที่พวกนางไม่ลืมจะตัดใบผักบางส่วนใส่เข้าไปด้วย คุณชายพวกนั้นที่เดิมทีแต่งตัวสะโอดสะองก็ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงแล้ว ยามนี้เหมือนวณิพกขอทานข้างถนนเสียมากกว่า ไม่สิ ถ้าฝนตกลงมา อย่างน้อยขอทานก็จะเปียกปอนไม่ใช่เล่น

“หลบไป!” มีเสียงร้องอีกครั้ง แต่เป็นลู่หลัวกับม่านเหลียนที่พุ่งเข้ามาดูอย่างน่าตื่นเต้น และไม่รู้ว่าพวกนางไปเอาผงแป้งครึ่งถุงมาจากที่ไหน บรรดาสาวใช้หัวเราะครื้นเครงบอกให้พวกนางสาดแป้งใส่ตัวพวกคุณชาย…

“แค่กๆ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ในที่สุดเสียงของซั่งกวนจิ่นก็ดังขึ้น มองดูเหล่าแม่นมสาวใช้แล้วตำหนิว่า “อยู่ดีๆ ทำไมถึงมีคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าตั้งหลายคนอยู่ในเรือน ทำให้สะใภ้ใหญ่ตื่นตระหนกเสียขวัญจะทำอย่างไร? พวกเจ้ารับใช้สะใภ้ใหญ่เช่นนี้หรือ?”

ครั้นเห็นซั่งกวนจิ่นซึ่งยืนอยู่นอกประตูดูความตื่นเต้นมาตลอด เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ออกมาข้างหน้า รู้ว่าเรื่องตลกของวันนี้ควรจะจบลงเช่นกัน จึงไม่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างเพื่อดูความสนุกสนาน แล้วเดินลงมาข้างล่างอย่างใจเย็น ดูสภาพที่น่าอับอายนอนเกลื่อนพื้น นึกขำอยู่ในใจ แต่สีหน้าเยือกเย็น พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ทราบว่าลุงจิ่นมาได้อย่างไร?”

“ผู้น้อยคารวะสะใภ้ใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นตีหน้าขรึม ถ้าไม่ทำเช่นนี้เขาเชื่อว่าตัวเองจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแน่ ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะใช้วิธีเรียบง่ายและดุดันเช่นนี้มาจัดการกับคุณชายสวะพวกนี้ ไร้ซึ่งคำถาม เพราะมันได้ผลอย่างที่คาด ทั้งยังเชื่อว่าเมื่อพวกเดนขยะเหล่านี้นึกถึงสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนสิ่งแรกที่นึกถึงจะไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นไม้พลองและความอัปยศอดสูในครานี้ต่างหาก

“ลุงจิ่นไม่ต้องมากพิธี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าซั่งกวนจิ่นต้องการถ่วงเวลา ทำให้พวกน่ารังเกียจเหล่านี้ได้รับโทษมากขึ้น จึงไม่ได้พูดโพล่ง แต่ถามอย่างเฉยเมยอีกครั้งว่า “ลุงจิ่นมาได้อย่างไร?”

“คืออย่างนี้!” ซั่งกวนจิ่นกระแอมไอสองครั้ง ระงับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งพลางกล่าวว่า “นายน้อยอวี่ไข่ให้คุณชายน้อยแจ้งผู้น้อยว่าเขาคบเพื่อนไม่ดี ทำให้คนเหล่านี้ที่ไม่รู้จักรักตัวกลัวตายและไร้ยางอาย เข้ามารบกวนความเงียบสงบของสะใภ้ใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงว่าเขาจะห้ามปรามเลย ก็กังวลว่าสะใภ้ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง จึงสั่งให้ผู้น้อยมาดู”

ขณะที่ซั่งกวนอิงไปพบซั่งกวนจิ่นนั้น เขาบังเอิญดื่มชาในเวลาว่างพอดี ไม่สนใจท่าทีร้อนใจของสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ด้านข้างเลย…เป็นสาวใช้ตัวน้อยที่ม่านเหอส่งไปรายงาน เขารู้ดีว่า คุณชายเหล่านั้นเป็นเพียงตัวละครที่เกกมะเหรกเกเร แต่ละคนเจ้าสำราญมักมาก ปล่อยให้เรื่องคาวโลกีย์เกลือกกลั้วตัวเอง เมื่อคืนจึงส่งแม่นมสองคนไปเข้าเวรที่เรือนมีคู่ไว้จัดการพวกเขาก็เกินพอแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคืออย่าเร่งรีบเก็บกวาดสิ่งเหล่านี้ที่ไม่รู้จักความเป็นความตาย แต่เพื่อสะสางผลพวง หวังว่าสะใภ้ใหญ่จะไม่ทำอะไรมากเกินไป จะอย่างไรก็ต้องไว้ชีวิตพวกเขา

ดังนั้นเมื่อซั่งกวนอิงมาถึง เขาจึงจัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างช่ำชอง และก็เชื่อเรื่องหนึ่ง นั่นคืออวี่ไข่วางแผนสมรู้ร่วมคิดจริง นี่เป็นเพียงก้าวแรกของเขาเท่านั้น ต่อไปจะทำอย่างไร ยังต้องค่อยๆ ดู เขาจึงหาข้ออ้างที่เหมาะสม พาซั่งกวนอิงกลับมา ตัวเขาเองเดินทอดน่องกลับมาอย่างเชื่องช้า หลังจากดูการแสดงที่ยอดเยี่ยม เขาก็ไม่ลืมจะใส่ ‘คุณงามความชอบ’ ให้กับอวี่ไข่ด้วยเช่นกัน

“ที่แท้เป็นน้องชายนี่เอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รังเกียจจนพูดไม่ออก แต่จู่ๆ น้ำเสียงก็ดูสนิทสนมแล้วยิ้มเอ่ยว่า “นี่ต้องขอบคุณน้องชาย เขามาขอโทษข้าเมื่อวานนี้ แล้วบอกว่าสิ่งที่น่าขยะแขยงเหล่านี้จะมาจู่โจมข้า ทำให้ข้าอารมณ์เสียเป็นแน่ แต่เดิมข้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำตามที่พูด ปล่อยให้พวกเกเรที่ไม่เสียดายชีวิตเหล่านี้มาก่อเรื่องถึงเรือนชาน ลุงจิ่น รบกวนเจ้าให้คนมาล้างทำความสะอาดพวกเขา ดูแล้วอดพะอืดพะอมเสียไม่ได้!”

“ขอรับ สะใภ้ใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นตอบด้วยรอยยิ้ม สั่งให้ลูกน้องลากคุณชายที่นอนขดตัวด้วยความเจ็บปวดออกไป ทำให้อวี่ไข่ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตกใจสะดุ้งโหยง หลบหน้าไม่โผล่หัวออกมา…

“สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ…” เซียงเสวี่ยยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ดูบรรดาสาวใช้ออกแรงทำความสะอาดปากประตูของเรือนมีคู่แล้วล่ำละลักพูดสำนึกผิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่า “ข้าเผลอทำโอสถหายไปเจ้าค่ะ!”

“โอสถอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะดุ้งเล็กน้อย โอสถของเซียงเสวี่ยจะพลาดพลั้งหายไปแม้แต่น้อยไม่ได้!

“หมื่นแมลงแทงหทัยเจ้าค่ะ!” ดวงตาของเซียงเสวี่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้มกริ่ม แต่ปากพูดว่า “เผลอทำหายไปในระหว่างที่โกลาหลเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ!”

“เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเพิ่งเทลงไปในน้ำล้างจานที่เซียงชุ่ยทำเป็นพิเศษกะละมังนั้น!” ริมฝีปากของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ หมื่นแมลงแทงหทัยไม่ใช่ยาพิษก็เหมือนยาพิษ พิษไม่ร้ายแรงถึงตาย แต่ถ้าไปโดนบาดแผล จะทำให้ทั้งร่างกายเจ็บปวดราวกับถูกแมลงชอนไชกัดกินจนสุดจะทานทน ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าน่าขยะแขยงพวกนั้นจะม้วนขดตัวตอนที่ออกไป ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง

“ดูเหมือนจะใช่เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยแสร้งทำเป็นกลัดกลุ้ม จากนั้นโบกมือไหวๆ แล้วพูดตัดบทว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ ของสิ่งนั้นไม่ใช่ยาพิษ ไม่ได้ฆ่าคน เป็นเพียงขวดเล็กๆ ทนเจ็บสักวันหนึ่งก็หายแล้ว!”

จริงด้วย เพราะไม่ใช่ยาพิษ จึงไม่มียาแก้พิษ เพราะไม่ใช่ยาพิษ จึงมีคนรู้หร็อมแหร็ม เจ้าคนที่น่ารังเกียจพวกนั้นต้องทนทุกข์ทรมานสักหน่อย

เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะร่วน สันนิษฐานว่ายามนี้ในใจพวกเขาเกลียดแค้นที่สุดคงไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นซั่งกวนอวี่ไข่สินะ…

——————–