“เจ้าต้องการให้พิสูจน์มิใช่หรือ ข้าก็เลยพิสูจน์ให้เจ้าได้เห็น ปู้เหล่าหลินนั้นมีคนอยู่มากมาย แล้วก็มีหลากหลายสำนัก มีทั้งคนดีคนเลว”
เว่ยเฉิงจึมองเขา พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะยืนอยู่ฝั่งพวกข้า หรือว่าไปตาย”
พวกเขาแสดงสถานะของตัวเองออกมาต่อหน้าหลิ่วสือซุ่ย
ผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวและผู้อาวุโสแห่งเรือนอี้เหมาล้วนแต่เป็นคนของปู้เหล่าหลิน
หากหลิ่วสือซุ่ยไม่ตามพวกเขาไป ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
มีเพียงคนตายถึงจะไม่แพร่งพรายความลับนี้ออกไป
หลิ่วสือซุ่ยยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ พวกเขาถึงสังหารศิษย์แห่งสำนักเสวียนอินผู้นั้น เพียงเพื่อพิสูจน์ว่าปู้เหล่าหลินก็มีคนดีอย่างนั้นหรือ?
“ภารกิจที่พวกข้าได้รับมอบหมายมาคือพาเจ้ากลับไป ทั้งตัวเจ้ายังต้องยินยอมด้วย ดังนั้นพวกข้าจึงได้แต่ต้องใช้วิธีนี้มาเกลี้ยกล่อมเจ้า”
เว่ยเฉิงจึกล่าวว่า “อีกอย่างสำนักจงโจวสังหารมารชั่วไปคนหนึ่ง จะมีปัญหาอะไร?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะสำคัญขนาดนี้”
เว่ยเฉิงจึกล่าวว่า “พรสวรรค์ของเจ้ายอดเยี่ยม อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าสู่จินตันขั้นกลางได้ หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนก็สามารถอยู่ในสิบอันดับแรกได้ สำนักชิงซานไม่เห็นค่า ย่อมต้องมีสำนักอื่นเห็นค่า หากไม่เป็นเพราะสำนักเหล่านั้นไม่อยากล่วงเกินชิงซาน เกรงว่าพวกเขาคงจะมาหาเจ้าแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าขอคิดดูก่อน พรุ่งนี้พวกท่านค่อยมาใหม่แล้วกัน”
เว่ยเฉิงจึกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวตาย แต่อย่าพยายามฆ่าตัวตายล่ะ มิเช่นนั้นคนทั้งหมู่บ้านของเจ้าอาจจะต้องลงไปนอนในหลุมศพเป็นเพื่อนเจ้า รวมไปถึงพ่อแม่ของเจ้าด้วย”
หลิ่วสือซุ่ยจ้องมองดวงตาเขา พลางกล่าว “ที่บอกเล่าเรื่องคนดีคนเลวเมื่อครู่นี้ ความจริงแล้วล้วนแต่เป็นคำพูดโกหกสินะ?”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าอยากได้ยิน เป็นข้ออ้างที่เจ้าต้องการ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เจ้าเพียงแต่ต้องถามตัวเองประโยคหนึ่งว่า — ข้ายอมรับมันได้จริงๆ หรือ?”
กล่าวจบประโยคนี้ เว่ยเฉิงจึและบัณฑิตชราก็หมุนตัวเดินจากไป
……
……
ตกดึก ดวงดาราส่องแสง
หลิ่วสือซุ่ยมองไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังถามประโยคนั้นกับตัวเองอยู่หรือเปล่า
ทันใดนั้นเอง เขาพลันลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องที่อยู่ติดกัน
……
……
มารดาแซ่หลิ่วจับมือเขาไว้ มิรู้ควรกล่าวกระไร
บิดาแซ่หลิ่วถอนใจ ก่อนจะไปหยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของตู้ส่งให้เขา
หลิ่วสือซุ่ยรับเอากล่องมา เมื่อเปิดออกดู พบว่าด้านในคือดอกมะลิดอกหนึ่ง
ดอกมะลิดอกนี้น่าจะถูกพลังอะไรบางอย่างผนึกเอาไว้ สภาพยังคงดูสดใหม่เหมือนเพิ่งเด็ดมา
“คุณชายจิ่วทิ้งสิ่งนี้เอาไว้เมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้”
มารดาแซ่หลิ่วกล่าวว่า “เขากำชับเอาไว้ว่า หากเจ้ายังต้องการจะไป ก็ให้เอาสิ่งนี้มอบให้เจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
มารดาแซ่หลิ่วหยิบเอาดอกมะลิขึ้นมา ก่อนจะใช้เข็มกับด้ายเย็บมันติดไปบนปกเสื้อ น่าดูยิ่งนัก
……
……
หลิ่วสือซุ่ยหายไปจากหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านย่อมต้องรู้ แต่โลกภายนอกกลับไม่มีผู้ใดสนใจเขา
เรื่องที่สำคัญที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนในเวลานี้คืองานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากต่างมุ่งหน้าไปยังเมืองเจาเกอแล้ว
ลำแสงกระบี่หลายสิบสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน ดูยิ่งใหญ่ตระการตา — ภาพอาจารย์เซียนของชิงซานรวมตัวออกเดินทางกลายเป็นภาพอันงดงามของแผ่นดินทางใต้ หากอากาศดีพอ ก็มักจะมีชาวบ้านที่มีบุญวาสนาได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ และกลายเป็นเรื่องให้พูดคุยกันต่อในภายภาคหน้า
เมืองเฉาหนานได้รับแจ้งมา จึงรีบทำการปรับข่ายพลังโดยเร็วที่สุด กระทั่งลำแสงกระบี่หลายสิบสายลงมายังเมืองจึงเริ่มวางข่ายพลังใหม่อีกครั้ง
มณฑลหนานเหอถือเป็นพื้นที่ของสำนักชิงซานมาแต่โบราณ เหล่าศิษย์ชิงซานเวลาออกเดินทางจึงมิต้องพักในที่พักเซียนเหมือนอย่างผู้บำเพ็ญพรตอื่น
ในฐานะที่เป็นเรือนประมูลที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลหนานเหอ ทุกวันเรือนเป่าซู่จะหาเงินทองและหินผลึกได้เป็นจำนวนมาก ทว่านับแต่เมื่อวานก็ได้หยุดการประมูลทุกอย่าง หัวหน้าเรือนเป่าซู่ลงมาเป็นคนสั่งการให้ผู้ดูแลและคนใช้สิบกว่าชีวิตทำความสะอาดเรือนเป่าซู่ทั้งเก้าชั้นให้สะอาดหมดจด ห้ามมิให้มีฝุ่นแม้เพียงนิดเดียว
ชั้นเก้าถูกแบ่งออกเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงซึ่งเป็นผู้นำคณะเดินทางในครั้งนี้ ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นของเจ้าล่าเยวี่ย
หัวหน้าเรือนเป่าซู่ไม่มีสิทธิ์ได้พบเจ้าแห่งยอดเขาทั้งสองท่าน เขาเพียงหวังว่าเจ้าแห่งยอดเขาท่านหนึ่งในนี้จะไม่จดจำเรื่องที่มิได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติในครั้งนั้น — ห้องลี้ลับหมายเลขสองบนชั้นเจ็ด ไม่ว่าดูอย่างไรก็มิได้ถือเป็นการต้อนรับที่ไม่สมเกียรติ แต่ในเวลานั้นผู้ดูแลคนนั้นไหนเลยจะทราบว่าหญิงสาวที่คลุมผ้าสีเทาปิดบังใบหน้าจะเป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่ร่ำลือกัน?
เรือนเป่าซู่ย่อมมิกล้าละเลยการดูแลเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง แต่เหล่าศิษย์ชิงซานทั้งที่เข้าร่วมประลองในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยและที่ติดตามมาชมงานชุมนุมในครั้งนี้ต่างก็รับรู้ได้ถึงความเคารพและระมัดระวังที่เรือนเป่าซู่มีต่อเจ้าล่าเยวี่ย นอกจากความรู้สึกหวาดกลัวที่เผยออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว ยังมีความรู้สึกต้อนรับขับสู้ที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
เยาซงซานเป็นหนึ่งในศิษย์จำนวนสิบคนที่ถูกคัดเลือกออกมาจากงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเมื่อปีที่แล้ว ก่อนไปอยู่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาฝึกกระบี่อยู่ที่ยอดเขาซั่งเต๋อมาโดยตลอด จึงไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ครั้นได้ยินศิษย์ของยอดเขาซีไหลและยอดเขาซื่อเยวี่ยอธิบายให้ฟัง ถึงได้ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
เรือนเป่าซู่เป็นทรัพย์สินในโลกภายนอกของสำนักชิงซาน อาศัยการประมูลทำให้ได้รับหินผลึกและเงินทองเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับสำนักชิงซานแล้วมันไม่ถือเป็นสิ่งสำคัญอะไร สิ่งที่สำนักชิงซานสนใจจริงๆ ก็คือวัตถุดิบปรุงยาและทรัพยากรที่ใช้สำหรับบำเพ็ญเพียรที่ทางราชสำนักและพันธมิตรพรรคต่างๆ ร่วมมือกันแจกจ่ายในทุกๆ ปี โดยตอนนี้เรือนเป่าซู่เป็นผู้รับผิดชอบจัดส่งของเหล่านี้มายังชิงซาน
เหลยพั่วอวิ๋นผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูคนก่อนตายไปหลายปีแล้ว มรดกหรือพูดอีกอย่างก็คือเส้นสายความสัมพันธ์ได้หายไปจนหมด เรือนเป่าซู่ย่อมต้องกังวลว่าจะถูกยกเลิกสิทธิ์ในการส่งของให้ชิงซาน
เยาซงซานกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ยอดเขาเสินม่อเพิ่งจะตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน กระทั่งการประชุมของชิงซานก็ยังมิเคยเข้าร่วม แล้วจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร เหตุใดเรือนเป่าซู่จึงไม่ไปหาอาจารย์ของยอดเขาอื่น?”
ศิษย์ของยอดเขาซีไหลผู้นั้นกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่ายอดเขาเสินม่อเพิ่งตั้งขึ้นมา นอกจากยอดเขาเสินม่อแล้ว ยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือมีใครบ้างไม่มีการค้าเป็นของตัวเอง? แล้วเหตุใดต้องเอาเรื่องที่มีผลประโยชน์ที่สุดไปให้เรือนเป่าซู่ทำต่อด้วย? เจตนาของเรือนเป่าซู่นั้นชัดเจน พวกเขาคิดอยากจะเปลี่ยนคนหนุนหลัง ก็เลยจะมาเข้ากับทางยอดเขาเสินม่อ”
เยาซงซานเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าว่าพวกเขาคงเหนื่อยเปล่า อาจารย์อาเล็กจะไปสนใจพวกเขาได้อย่างไร”
ศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “อาจารย์อาเล็กย่อมมิสนใจ เรือนเป่าซู่เองก็ปีนขึ้นไปไม่ถึงยอดเขาเสินม่อ แต่เจ้าอย่าลืม ตระกูลของอาจารย์อาเล็กอยู่ในเมืองเจาเกอ หากคิดจะไปหากลับมิใช่เรื่องยากลำบากอะไร ได้ยินว่าเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว เรือนเป่าซู่ได้ส่งของล้ำค่าสิบกว่าคันรถไปยังเมืองเจาเกอ”
เยาซงซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่คุยเรื่องเหล่านี้แล้ว เอาเวลาไปทำสมาธิดีกว่า”
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยอยู่อีกไม่ไกล หากระหว่างทางสภาวะก้าวหน้าขึ้นสักหนึ่งส่วนก็ถือว่าไม่เลว
ศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยผู้นั้นกับศิษย์ของยอดเขาซีไหลสบตากัน ต่างคนต่างยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะ มิได้มีความมั่นใจอะไรเลย
ศิษย์ชิงซานที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้ หลายคนต่างมองว่าเป็นชุดที่อ่อนแอที่สุดในรอบหลายร้อยปีมานี้
จัวหรูซุ่ยยังคงเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ศิษย์ชิงซานที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยย่อมต้องให้กั้วหนานซานเป็นผู้นำ
ศิษย์อันดับหนึ่งของเจ้าสำนักผู้นี้ได้แสดงสภาวะที่เหนือกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันออกมาในงานชุมนุมซื่อเจี้ยน เขาได้บรรลุเข้าสู้ขั้นคเนจรไปแล้ว ตามที่หลายคนคาดการณ์ หากหลายปีมานี้ถงเหยียนไม่มีความก้าวหน้า กั้วหนานซานจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายได้แน่ กระทั่งมีโอกาสที่จะท้าสู้กับลั่วไหวหนาน
แต่สุดท้าย…กระบี่ของเขาหัก
ตอนนี้เขาได้แต่ต้องอยู่ในยอดเขาอวิ๋นสิงเพื่อหลอมกระบี่ขึ้นมาใหม่ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนกี่ปีกว่าจะออกจากสำนักได้
นอกจากกั้วหนานซานแล้ว กู้หานก็กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ เจี่ยนหรูอวิ๋นเองก็กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ
หากครุ่นคิดอย่างละเอียด ศิษย์สองสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดของยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในครั้งนี้ได้
ทั้งหมดเป็นเพราะคนผู้นั้น
ศิษย์ยอดเขาซีไหลกล่าวว่า “เหตุใดเขาไม่ต้องมาพร้อมพวกเราก็ได้?”
ศิษย์ยอดเขาซื่อเยวี่ยกล่าวหยอกล้อเล็กน้อย “เพราะเขาเป็นอาจารย์อาน่ะสิ”
……
……
จิ๋งจิ่วมิได้ขี่กระบี่ เขารอให้ฟ้ามืดก่อนจึงค่อยเดินออกมาจากชิงซาน จนมาถึงเมืองอวิ๋นจี๋
ก็เหมือนกับตอนที่ออกมาจากชิงซานเมื่อครั้งที่แล้ว เขาขึ้นไปบนเหลาสุรา สั่งหม้อไฟมาที่หนึ่ง
ครั้งนี้เขาไม่ต้องใช้หม้อเยียนยาง[1]อีก หากแต่สั่งน้ำแกงใสมาหม้อหนึ่ง จากนั้นต้มผักไปใบหนึ่ง
ไม่มีเหลาสุราไหนจะต้อนรับแขกแบบนี้ แต่แขกได้จ่ายใบไม้ทองมาล่วงหน้าแผ่นหนึ่ง ย่อมต้องมีข้อยกเว้น
……………………………………………………………….
[1]หม้อเยียนยาง คือ หม้อที่แบ่งเป็นสองฝั่ง