“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ซ่งฝูเซิงรีบสวมเสื้อผ้าวิ่งไปหน้าประตูใหญ่

ในห้องโถงใหญ่ เฉียนเพ่ยอิงใช้มือตีหลังลูกสาวเบาๆ แล้วหันมาตอบว่า “ไม่มีอะไร”พวกเจ้ากลับไปอาบน้ำเถอะ”

“จะไม่มีเรื่องได้อย่างไร ถ้าไม่มีเรื่องอะไรลูกสาวจะร้องเรียกทำไม ลื่นหกล้มหรือเปล่า”

“ลูกสาวเจ้ามีปัญหา ข้าบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร รีบกลับไปเถอะ”

ซ่งฝูเซิงกลับไปแล้ว กลับไปอาบน้ำให้หมี่โซ่วต่อ เขารีบขัดตัวให้หมี่โซ่วเร็วกว่าเมื่อกี้ที่ผ่านมา

เขาทายว่า ลูกสาวคงทำให้แม่โกรธ แล้วน่าจะถูกดุ เขาจึงรีบอาบน้ำให้เสร็จ แล้วกลับไปช่วยพูด

ในห้องโถงใหญ่

เฉียนเพ่ยอิงถูกทำให้โกรธ โกรธจนต้องหัวเราะออกมา ตาจ้องไปที่ซ่งฝูหลิง ใช้มือปิดหน้าท่าทางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

เกิดอะไรขึ้นหรือ แต่ก่อนลูกสาวอาบน้ำ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

สระผมครั้งที่สามแล้ว ยังจะอาบน้ำอีก

ถ้าจะตามใจนาง ไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่ คนห้องโน้นเขาอาจจนจะเสร็จแล้ว แต่ห้องนี้ยังสระผมไม่เสร็จ ถ้ารอให้อาบน้ำต่อ ต้องใช้เวลาผ่านไปอีกสักพัก

เฉียนเพ่ยอิงจึงเรียกบอกให้นางรีบอาบน้ำ จึงพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจ “เจ้าจะอาบยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เหาพวกนี้ไม่ใช่สระครั้งสองครั้งมันจะสะอาด มันเป็นสัตว์ดูดเลือด พวกเราไม่มียาฆ่าเหา เจ้าจะอาบทั้งวันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนอะไร”

คำๆ นี้ ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา

ซ่งฝูหลิงยังไม่ได้อาบครั้งที่สี่ จึงใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมผมและก็ทำเหมือนคนบ้า

เดินไปถือดินสอออกมา ซ่งฝูหลิงมีดินสออยู่หนึ่งแท่ง ช่วงนี้มักจะเอาติดตัวตลอดเพื่อใช้วาดรูป

อีกด้านของดินสอ มีอุปกรณ์ประกอบ ลักษณะเป็นวงกลมขนาดเท่ากับนิ้วมือ มันคือแว่น

ขยาย

ซ่งฝูหลิงได้ยินเฉียนเพ่ยอิงบอกว่า เหาอยู่ในหัวจะดูดเลือด ทำให้นางอยากรู้อยากเห็นว่าลักษณะของเหาเป็นอย่างไร

นางก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องอยากเห็นตัวเหาสักครั้ง

ดังนั้น ซ่งฝูหลิงจึงรีบไปหยิบดินสอแท่งนั้น ขณะที่เฉียนเพ่ยอิงไม่ทันระวังตัว นางจับเฉียนเพ่ยอิงที่ยังมัวแต่ยุ่ง ยังไม่ได้สระผมให้นั่งบนเตียงเตา แล้วเอากล้องขยายส่องเข้าไปดู

ตอนนั้น เฉียนเพ่ยอิงเมื่อถูกจับกดให้นั่งบนเตียงเตาไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน

ในใจคิดแค่ว่า ลูกสาวต้องการทำอะไรหรือ

ขณะนั้น ซ่งฝูหลิงมองไปที่หนังศีรษะของท่านแม่ ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือ

“…”

ปฏิกิริยาที่สองของนางก็คือ “อ้าาาา!!”

เมื่อเฉียนเพ่ยอิงได้ยินเสียงร้อง จึงมองไปที่ลูกสาว นางพบว่าผิวหนังบนตัวลูกสาวของนางตัวเต็มไปด้วยขนชี้ตั้งขึ้นเป็นชั้น

แค่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นขนที่ลุกตั้งชันขึ้นมาทันที

และนางยังพบว่า คอกับใบหน้าของลูกสาว ก็มีขนลุกชันขึ้นมาเหมือนกัน

เฉียนเพ่ยอิงมองไปที่ดินสอในมือ ปลายอีกด้านของดินสอมีแว่นขยายอยู่ บวกกับที่ลูกสาวกำลังส่องไปที่หนังศีรษะของนาง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เจ้าเด็กคนนี้ สงสัยน่าจะมีปัญหา ต้องถูกทำโทษ จะไปส่องดูเหาทำไมกัน เห็นแล้วก็สะอิดสะเอียนใช่หรือไม่

ดังนั้น ตอนที่ซ่งฝูเซิงเข้ามาถาม เฉียนเพ่ยอิงจึงตอบกลับไปว่าลูกสาวของนางมีปัญหา

หันกลับมาดูที่ลูกสาว นางโกรธจนไม่รู้จะดุด่าอย่างไร

ขณะนี้ซ่งฝูหลิงใช้แว่นขยายดูครั้งเดียวนั้น แค่นี้ก็ไม่ปกติแล้ว ครั้งเดียวก็เพียงพอ เห็นครั้งเดียวจำไปตลอดชีวิต ผมของท่านแม่เต็มไปด้วยเหา เส้นผมหนึ่งเส้นมีเหาเกาะอยู่สองถึงสามตัว แล้วในผมของนางล่ะ

ซ่งฝูหลิงรีบเกาหัว แกร๊กๆๆ

เฉียนเพ่ยอิงบอกให้นางหยุด จับมือของนางให้หยุดเพราะกลัวว่าจะเกาจนหนังศีรษะได้รับบาดเจ็บ

“ท่านแม่ ท่านว่าถ้าข้าเกาเสร็จแล้ว เล็บมือของข้าจะมีเหาเต็มไปหมดใช่หรือไม่”

“ไอ้หยา พอๆๆ เจ้าลืมมันไปเสีย” เฉียนเพ่ยอิงก็ขนลุกทั้งตัวตามลูกสาว

มองไปที่ลูกสาว ทั้งเข้าใจและสงสาร กลัวว่าลูกสาวพรุ่งนี้กินข้าวไม่ได้ แต่ว่าในใจก็โกรธขึ้นมา

ใครบอกให้เจ้าดู เรื่องอะไรก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด เด็กคนนี้ มือของเจ้าช่างซุกซนนัก

เรื่องบางเรื่องเหมือนกับใจคน มองให้เห็นถึงก้นบึ้งไม่ได้ ต้องรู้จักปล่อยไปบ้าง เจ้ามองจนเข้าใจถ่องแท้ แต่บางครั้งอาจำให้รู้สึกคลื่นไส้ตัวเอง

“ไม่มีเรื่อง ก็อย่าหาเรื่อง อ๋าาา? รออีกสิบวัน แปดวันก็หายแล้ว แม่รับรอง ถึงตอนนั้นเจ้าลองใช้แว่นขยายส่องดูอีกครั้งก็ได้ รีบลืมเรื่องพวกนี้เสีย”

“ท่านแม่ ข้าเป็นโรคแพนิค ข้าดูเสร็จครั้งเดียว ก็?”

“สมน้ำหน้า หาเรื่องเอง อย่าทำให้ข้าสะอิดสะเอียนตามไปด้วย” เฉียนเพ่ยอิงต่อว่า

คิดไปคิดมา นางก็นึกได้ว่านี่คือลูกสาวที่นางคลอดออกมาเอง ดังนั้นควรต้องให้คำแนะนำ “ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าจะตัดผมให้เจ้าแล้วกัน” พูดเสร็จ เฉียนเพ่ยอิงพยักหน้า “ถ้าตัดผมให้สั้นก็จะลดเหาลงได้เยอะ จะหายจากการเป็นเหาได้เร็วขึ้น ต่อไปข้าจะโกนหัวให้หมี่โซ่วด้วย”

ซ่งฝูหลิงยืนนิ่ง สายหัวไปมา

“ท่านแม่จะโกนหัวเขาจนโล้นไม่ได้นะ หมี่โซ่วจะตัดผมแบบนั้นไม่ได้”

แต่ก่อน เวลาพวกเราดูหนังโบราณย้อนยุคก็แปลกใจว่าพวกเขาตัดผมอย่างไร จึงลองไปศึกษาข้อมูลในตำราโบราณเพิ่ม ข้าจำได้ว่าในตำราเขียนว่า คนโบราณมักใส่ใจเส้นผมกับผิวหนังมากเพราะสองสิ่งนี้ เป็นมรดกได้รับมาจากพ่อแม่

ถ้าคนในครอบครัว พ่อ แม่เสียชีวิต ขุนนางตำแหน่งสูงต้องกลับไปไว้ทุกข์ที่บ้านเกิดสามปี เป็นการไว้ทุกข์ เข้าใจหรือไม่ และอีกอย่างคือ เขาจะไม่ตัดผมในช่วงสามปีนั้นด้วย”

เป็นครั้งแรกที่เฉียนเพ่ยอิงได้ยินเรื่องนี้ “สามปี? หนวดนี่เรียกว่าเส้นผมด้วยหรือไม่ ถ้าเหมือนกับท่านพ่อของเจ้า หนวดขึ้นเร็ว สามปีไม่ตัด คงมองไม่หน้าตาเห็นเป็นแน่”

“ทำไมต้องใช้เวลาถึงสามปี เพราะคนในอดีตบอกว่า หลังจากคนตาย ภายในสามปีจะยังไม่ไปชาติภพอื่น…

…ถ้าลูกหลานที่ในโลกมนุษย์ตัดผม พ่อแม่ที่อยู่ในโลกวิญาณจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนผมถูกกระชาก…

…และยังมีอีกเรื่องที่เล่ากัน ไว้ทุกข์สามปีแสดงให้เห็นว่าจะมีคนมาเกิด เด็กทารกเมื่อเกิดขึ้นมาจะไม่ห่างอกพ่อแม่เป็นเวลาสามปี ในเวลาสามปีนี้จะต้องมีพ่อแม่คอยปกป้องดูแล”

ดังนั้นคนในอดีตจึงเห็นว่า เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต คนเป็นลูกจะต้องกลับไปไว้ทุกข์สามปี และตอบแทนคุณหมือนตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตและดูแลตัวเอง

ขณะสองแม่ลูกกำลังคุยกัน ซ่งฝูเซิงอาบน้ำเสร็จ รีบร้อนใช้ผ้าเช็ดตัว ห่มตัวหอมๆ ของหมี่โซ่วกลับเข้ามา

สุภาพบุรุษสองคน มารยาทดีเสียจริง ก่อนเข้ามายังถามก่อนว่าเข้ามาได้หรือไม่ ซ่งฝูเซิงวางหมี่โซ่วไว้บนเตียงเตา หมี่โซ่วมุดออกมาจากผ้าห่อตัว ใส่เสื้อยืดสีขาวของซ่งฝูหลิงที่เอามาจากในโลกปัจจุบัน แก้มแดงระเรื่อ เสื้อยืดที่อยู่บนตัวหมี่โซ่ว มองเหมือนเขากำลังใส่กระโปรงยาว

เด็กน้อยยังรีบเอามือปิดสามเหลี่ยมตรงมุมเสื้อ ตอนที่หมี่โซ่วมุดออกมาจากผ้าพันตัว เกือบทำให้เห็นอื่นเห็นเหยี่ยวน้อยของเขาเข้าแล้ว

เขากระโดดไปที่ข้างตัวซ่งฝูหลิง “ท่านพี่ เป็นอะไรเหรอ”

ซ่งฝูหลิงหันกลับมา สายตาจ้องไปที่เส้นผมหยักโศกของหมี่โซ่ว

ซ่งฝูเซิงได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นก็หัวเราะออกมา

หลังจากหัวเราะ เขาก็สวมเสื้อคลุมเดินออกไป

เฉียนเพ่ยอิงคิดว่าซ่งฝูเซิงจะไปแปลงปลูกพริกเพื่อเติมฟืนก่อไฟ ในหน้าหนาว หากคลุมเพิงก็จะเป็นแบบนี้ คนจะห่างจากเพิงไม่ได้ จะต้องก่อไฟให้ตลอดเวลา ในห้องต้องอบอุ่น ไม่เช่นนั้นเมล็ดพันธุ์ก็จะแข็งตาย ต้องใส่ใจให้มากๆ ถ้าให้ดีคนคนนั้นต้องย้ายเข้าไปอยู่ในห้องนั้นด้วย

นางรีบอาศัยเวลาจังหวะนี้กลับไปสระผม ยุ่งวุ่นวายทั้งคืนและยังมัวยุ่งกับลูกสาวอีก

นางคิดไม่ถึงว่าที่ซ่งฝูเซิงเดินออกไปสักครู่จะไปนำ “ยา”กลับมา

ทั้งสี่คนนั่งบนเตียงเตา

หมี่โซ่วนั่งข้างหน้าสุด ต่อมาเป็นฝูหลิง ข้างหลังเป็นท่านแม่ คนสุดท้ายเป็นท่านพ่อ

ตอนนี้ทั้งสี่คนกำลังใส่ยาให้คนข้างหน้า

ใช้ “ยา” ค่อยๆ เทลงเป็นชั้นๆ ตรงเส้นผม ทาบนเส้นผม แล้วใช้ผ้าอุ่นๆ ห่ออีกชั้น

เฉียนเพ่ยอิงดมดู นางรู้สึกว่ายานี่มีน้ำมันค่อนข้างเยอะ

ทุกคนทาเสร็จแล้ว ซ่งฝูเซิงจึงบอกว่า “ใช่แล้ว มันคือน้ำมัน น้ำมันถ่านหินกับน้ำมันงารวมกัน”

“อะไรนะ” เฉียนเพ่ยอิงตาเบิกกว้าง รีบบอกลูกทั้งสองว่าอย่าไปโดนไฟ ห้ามไปช่วยเติมไฟและอย่าให้ยาไหลเข้าตา พวกเจ้าต้องระมัดระวังจะติดไป

ซ่งฝูเซิงบอกภรรยาและลูกๆ นี่คือสาเหตุของคนที่มีการศึกษาเขาอ่านหนังสือกัน เขามักจะอ่านตำราลับ อ่านทุกวันตอนกลางคืน ยานี้ใช้ติดต่อกันสามครั้งแล้วก็เอามาห่อแบบนี้ สุดท้ายใช้น้ำส้มสายชูที่ละลายแล้วทาทับอีกชั้น ถ้าวันไหนว่างงานก็ให้ใช้หวีหวีผม ไม่นานก็จะไม่เห็นเหาแล้ว

แต่ในความคิดของซ่งฝูหลิงยังมีปัญหาอยู่ การนอนบนเตียงเตาวันนี้น่าจะเป็นวันที่นางมีความสุข นอนหลับอย่างสบาย แต่นางก็หาเรื่องให้ตัวเองจนได้ นางรู้สึกกังวลมากเพราะหลับตาเมื่อไหร่ก็มีแต่เหา

อีกด้านของกำแพงไฟ นางใช้มือถูไปที่ตามเส้นขนที่ลุกชันขึ้นมา แล้วตะโกนเรียกเฉียนเพ่ยอิง “ท่านแม่ พรุ่งนี้พวกเราเอาผ้าห่มไปซักกันเถอะ ข้าจะช่วยท่านซักและลวกน้ำร้อนเอง”