ตอนที่185 สมรู้ร่วมคิด
ชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นธรรมชาติทั้งสองคน กำลังเดินตรงเข้าไปหาพนักงานต้อนรับสาว และเมื่อไปถึงหนึ่งในนั้นก็เอ่ยทักทายหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นทันที
“สวัสดีครับคนสวย ผมอยากจะขอสอบถามอะไรหน่อยครับ”
“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย มีอะไรให้ทางเราช่วยเหลือรึเปล่าค่ะ?”
คังฟานคลี่ยิ้มอย่างที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดในชีวิตให้กับหญิงสาวว และใช้สายตาอันทรงพลังของตนเองสบตากับพนักงานต้อนรับสาวคนนั้น ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวานว่า
“กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่เข้าร่วมงานประชุมในวันนี้อยู่ชั้นไหนเหรอครับ? พอดีคุณพ่อของผมป่วยหนัก ก็เลยอยากจะมาขอพบคุณหมอเก่งๆสักท่านให้มาช่วยเหลือหน่อยครับ”
พนักงานต้อนรับสาวถึงกับตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวานของคังฟาน ผนวกกับเมื่อได้ยินว่า อีกฝ่ายต้องการพบเจอคุณหมอเพื่อรักษาอาการป่วยให้พ่อของเขา ด้วยความซาบซึ้งต่อความกตัญญูของชายหนุ่มคนนี้ เธอรีบโน้มศีรษะเข้าหาพร้อมกระซิบเสียงเบาว่า
“อยู่ชั้น6ค่ะ ส่วนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอยู่ที่ชั้น7”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณช่วยพาผมขึ้นไปที่ชั้นเจ็ดด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ กรุณรอสักครู่นะคะ ทางเราจำเป็นต้องขอบัตรประจำตัวประชาชนของคุณเพื่อทำการลงทะเบียนให้ก่อนค่ะ”
คังฟานยิ้มหวานให้อีกครั้ง พร้อมกับหยิบบัตรประจำตัวประชาชนของตนเองออกมา พนักงานต้อนรับสาวชำเลืองมองภาพถ่ายบนบัตร พลางจำชื่อ‘ซานเหวินจ้าว’ที่ติดอยู่บนบัตรไว้ในใจ
“คุณซาน เรียบร้อยแล้วค่ะ นี่คือบัตรประจำตัวของคุณ สามารถนำไปสแกนเพื่อขึ้นลิฟท์ได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะครับคนสวย หวังว่าโอกาสต่อไปเราจะได้ไปดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อนะครับ”
คังฟานยิ้มให้พนักงานต้อนรับสาว ก่อนจะเดินนำหลู่หยานขึ้นลิฟท์ไป
หลู่หยานได้แต่เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยทันทีว่า
“ไอ้ฟาน ทำไมแกใช้ต้องใช้บัตรประชาชนปลอมวะ?”
คังฟานอธิบายอย่างใจเย็นว่า
“แกนี่ไม่เข้าใจอะไรเลย การใช้ชื่อแฝงในการทำความรู้จักกับคนพวกนี้ นับเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่คนอเมริกันชอบทำกัน พอดีฉันอยู่ที่นั่นนานก็เลยติดนิสัยนี้มาน่ะ”
หลู่หยานระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฮ่าฮ่า…ตลกจังว่ะ มีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ? ฉันเพิ่งรู้เลยนะเนี่ย”
เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าห้อง ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อมมือไปเปิดประตู สายตาของหลู่หยานก็พลันเหลือบไปเห็นหน้าจอ ที่กำลังฉายภาพจากบรรยากาศภายในห้องที่มีแต่คนเฒ่าคนแก่ เขาก็เริ่มรู้สึกรับรู้ได้ถึงกลิ่นที่ไม่ดีขึ้นมา จึงรีบกระซิบถามคังฟานว่า
“นี่แกจะเข้าไปจริงๆเหรอวะ? ไม่ใช่ว่าคนแก่พวกนี้จะมาเพื่อหาอาหารหรูๆจากโรงแรมระดับ5ดาวกินอย่างเดียวหรอกเหรอ? บอกตามตรงนะ ในความคิดของฉัน วงการแพทย์แผนจีนแม่งน่าจะใกล้จะถึงจุดจบแล้วว่ะ”
“แกก็อคติเกินไป ไม่ลองคิดกลับกันล่ะว่า สภาแพทย์แผนจีนจะต้องมีงบประมาณมหาศาลขนาดไหน ถึงได้กล้าจัดประชุมในโรงแรมระดับ5ดาวแบบนี้ตลอดทั้งวันได้? รอให้คนข้างในพูดคุยกันให้เสร็จก่อนดีกว่า แล้วค่อยเดินเข้าไปทำความรู้จักใครสักคนสองคน”
หลู่หยานเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง
“แค่คนสองคนเองเหรอ? ถ้าจะหาแค่นั้นแกจะต้องถ่อมาถึงที่นี่ทำไม? ในงานประชุมมีคนอย่างต่ำๆก็หลักร้อย มาทั้งทีทำไมไม่ทำความรู้จักให้หมดไปเลยล่ะ?”
คังฟานยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ไปทักทายหัวเรือใหญ่สักคนสองคนก็พอแล้ว เราไม่ได้ต้องการรู้จักคนมากขนาดนั้น”
“ไอ้ฟาน ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมถึงเลือกธุรกิจแพทย์แผนจีนวะ?”
คังฟานเหลือบมองหลู่หยานเพื่อนในวัยเด็กของตนที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี และคำถามที่หลุดจากปากเพื่อนคนนี้ของเขานั้น ก็ชี้ชัดว่าเพื่อนของเขาคนนี้ได้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจริงๆหากเทียบกับเมื่อก่อน
ก่อนนนี้ หลู่หยานเป็นเด็กที่มีแต่เชื่อฟังและทำตามเขาทุกอย่าง โดยไม่แม้แต่จะกล้าตั้งคำถามด้วยซ้ำไป
แต่ก็เพราะนิสัยแบบนี้ ทำให้คังฟานเชื่อใจในตัวหลู่หยานมากกว่าใครๆ ว่ากันว่า ก่อนจะอยากให้ใครไว้ใจตน ก็จำเป็นต้องมอบความไว้วางใจให้คนผู้นั้นก่อน และนี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดี
เพราะคังฟานเองก็ได้ฝากความหวังไว้กับเพื่อนคนนี้ไม่น้อยเลย
คังฟานล้วงกล่องบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เคาะบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนโยนไปให้หลู่หยาน ก่อนจะเริ่มจุดบุหรี่ของตัวเองขึ้นดูดเข้าปอดเฮือกหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามออกไปว่า
“นี่แกมีอคติกับการแพทย์แผนจีนขนาดนี้เชียวเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าอคติว่ะ แต่ก็ใม่ได้มองในแง่ดีเหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันยังไม่เคยเห็นใครสักคนที่ขึ้นแท่นกลายเป็นมหาเศรษฐีได้จากวงการนี้”
หลู่หยานจุดบุหรี่ของตัวเองเสร็จแล้วก็พูดต่อว่า
“ปัจจุบัน ธุรกิจที่ได้รับความนิยมที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็พวกเทคโนโลยีขั้นสูง ต่อให้จะประสบความสำเร็จในวงการนี้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้แกรวยได้สุดนะเว้ย รู้แบบนี้แล้วแกยังอยากจะเดินหน้าต่ออีกเหรอ?”
“แล้วแกคิดว่าเรามีเงินและอำนาจที่มากขนาดจะไปเทียบชั้นกับนักธุรกิจเจ้าใหญ่ๆในอุตสาหกรรมพวกนั้นได้รึไง?”
แน่นอนว่าธุรกิจอย่างอสังหาริมทรัพย์หรือเทคโนโลยี มันจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่มหาศาลมาก หลังจากหักค่าที่ดินตั้งโรงงานกับค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว กำไรสุทธิที่ได้มาจริงๆกลับไม่ได้มากมายอย่างที่คาดหวัง
นั่นมันเป็นธุรกิจที่เหมาะสำหรับพวกมหาเศรษฐีที่ตั้งใจสร้างรากฐานไว้กินระยะยาว
และที่สำคัญ พวกมหาเศรษฐีที่รวยล้นฟ้าขนาดนั้น คงจะไม่มาเสียเวลาอยู่ในรีสอร์ทแห่งนี้
คังฟานอธิบายต่อว่า
“ถึงธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์จีนจะมีคนใหญ่คนโตคุมอยู่เช่นกัน แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ใหญ่เกินกว่าที่คนหนุ่มอย่างเราจะเอื้อมถึง เพราะแบบนี้ไงฉันถึงได้พาแกมาทำความรู้จักกับเหล่าปรมาจารย์ที่นี่ ที่สำคัญฉันยังได้ยินมาว่า แม้แต่ประธานสภาการแพทย์จีนเองก็เข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ด้วยนะ”
“หมายถึงประธานกู๋? แล้วยังไงต่อล่ะ?”
หลู่หยานเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ
“ก็ถ้าเรามีเส้นสายอยู่ในสภาการแพทย์จีน เวลาเราจะเคลื่อนไหวทำอะไรมันก็จะง่ายขึ้น แต่จุดสำคัญจริงๆจะอยู่ที่การตลาดออนไลน์ เราจะเป็นต้องหาคอนเทนต์ที่น่าดึงดูดและน่าสนใจพอมาจะเป็นตัวชูโรงให้ได้ก่อน”
“แล้วคอนเทนต์ที่แกว่ามันคืออะไรล่ะ?”
“‘ยาจีนไม่ผสมสารเคมี’ ถ้าเปรียบเทียบกับการแพทย์ตะวันตกแล้ว ยาจีนก็ยังมีข้อดีอยู่หลายข้อนะ หนึ่งในนั้นคือ วัตถุดิบทุกชนิดล้วนมาจากธรรมชาติ และยาจีนยังเป็นรากฐานของประเทศเราอีกด้วย”
“หลังจากที่ขั้นตอนแรกประสบความสำเร็จด้วยดีแล้ว เราจะดำเนินขั้นตอนต่อไปทันที แต่แผนนี้จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้การปรึกษา โดยจำเป็นต้องใช้แพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมาเป็นสื่อกลางโฆษณาให้กับผลิตภัณฑ์ของเรา หลังจากที่คนทั่วประเทศเริ่มใช้ยาจีนกันจนเป็นเรื่องปกติ ภายในสังคมจะก่อเกิดโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า ห่วงโซ่อุปทานขึ้นมาเอง และเมื่อถึงเวลานั้น เม็ดเงินก็จะไหลตามมาเองโดยธรรมชาติ”
ดวงตาคู่นั้นของหลู่หยานพลันเปล่งประกายขึ้นทันใด
“ใช่แล้ว! นี่ฉันลืมอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพและยาไปได้ยังไง! อีกอย่าง เรายังสามารถขยายส่วนการผลิตไปยังอุตสาหกรรมความสวยความงามได้อีกด้วย ส่วนแบ่งทางการตลาดของสองอุตสาหกรรมเหล่านี้เติบโตขึ้นทุกปี ถ้าเราขึ้นมาเป็นผู้ครองตลาดได้ก็จะสามารถทำเงินได้ไม่ยากแล้ว!”
ได้ฟังหลู่หยานพูดออกมาอย่างเข้าอกเข้าใจด้วยตัวเองแบบนั้น คังฟานก็ได้แค่พยักหน้ายิ้มตอบกลับไป แต่อย่างว่า ถ้ามันง่ายอย่างที่พูดจริงๆ เขาก็คงไม่ต้องใช้ทางลัดอย่างที่กำลังจะทำอยู่ในขณะนี้หรอก
คังฟานเลือกที่จะเสี่ยงออกมาทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง ดีกว่าจะต้องนั่งทำงานงกๆอยู่ในห้องทดลองจนวันตาย
พวกเขาไม่ได้สนใจถึงขั้นว่า วงการแพทย์แผนจีนจะฟื้นคืนกลับมาได้มากแค่ไหน ขอแค่พวกตนสามารถกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าได้ แค่นั้นพวกเขาก็พึงพอใจแล้ว
“เอาล่ะ ก่อนที่คนอื่นจะคิดได้เหมือนเรา ทำไมพวกเราไม่รีบตักน้ำตุนไว้ก่อนล่ะ?”
“จริงด้วย! ถ้าเรารู้จักแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงสักสองสามคนจากงานประชุมนี้ ในอนาคตพวกเขานี่แหละจะกลายมาเป็นแม่ไก่ออกไข่ทองคำให้กับเรา!”
คังฟานยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“รออีกสักครึ่งชั่วโมง พวกเขาน่าจะยังกินโต๊ะจีนกันไม่เสร็จ ถึงฉันจะบินไปอยู่อเมริกามานานก็หลายปี แต่ไอ้นิสัยที่ต้องเลี้ยงฉลองมื้อค่ำด้วยสเต็กกับเค้ก ฉันเองก็ยังไม่คุ้นชินเลยวะ กลับมาเห็นภาพโต๊ะจีนแบบนี้แล้วรู้สึกคิดถึงชอบกล”
“นี่สินะที่เขาว่า สันดานมักไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ”
…………
เป่ยฉวนเทียนรู้สึกมีความสุขอย่างมากในวันนี้ ลูกศิษย์ของเขาได้สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงต่อหน้าแพทย์มีชื่อเสียงทั่วประเทศ ทั้งยังได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามกลับมา แม้แต่รองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข โจวเซียวตงเองก็ยังให้ความสนใจในตัวฉีเล่ยอย่างมาก สุดท้ายก่อนงานเลี้ยงจะเลิก ประธานการประชุมยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า
“ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนที่มาร่วมในงานประชุมวันนี้มากเลยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีเล่ย พวกเราดีใจที่วงการแพทย์แผนจีนยังมีชายหนุ่มมากความสามารถอย่างเขาอยู่ด้วย!”
ในเมื่อวันนี้ลูกศิษย์ของตนเองได้สร้างผลงานอันโดดเด่นขึ้นในงาน เป่ยฉวนเทียนจึงมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใสตลอดทั้งวัน
ในฐานะอาจารย์ของฉีเล่ย เขาเองก็มีบรรดาแพทย์มีชื่อเสียงมากมายแวะเวียนมาขอชนแก้วด้วย แม้กระทั่งโจวเซียวตงเองยังเดินมาชนแก้วกับเขาเป็นการส่วนตัว เรียกได้ว่า ตลอดทั้งงานนี้เขาเองยังดื่มไม่มีพักเลยเช่นกัน เกรงว่าหากมีคนมาขอชนแก้วอีกสักคนสองคน มีหวังเขาคงหมดสติคาโต๊ะอย่างแน่นอน