บทที่ 194 ไม่ต้องไปฟังนาง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ดูแล้วสองคนนี้มิใช่มาช่วยนางทำงาน แต่มาเพื่อเที่ยวชมสวนสัตว์

ซินหรูเองทำใจไม่ค่อยได้นักจึงพูดกับเสี่ยวฉีว่า “ท่านจะดูก็ไปดูเองเถิด ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อช่วยพี่สาว”

เสี่ยวฉี “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสแล้วว่าต้องการให้เจาอี๋เหนียงเหนียงลงมือด้วยตนเอง”

ทันทีที่หลินชิงเวยได้ยินเขาเอ่ยถึงเซ่อเจิ้งอ๋องก็เดือดดาลอย่างยิ่ง เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสแล้ว เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสแล้ว เซ่อเจิ้งอ๋องผายลมน่ะสิ

ซินหรูคัดค้านว่า “แต่ แต่นกพิราบเหล่านั้นข้าก็มีส่วนกิน…”

“แต่เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ก็ช่วยอันใดไม่ได้ ซ้ำยังจะเป็นการรบกวนเจาอี๋เหนียงเหนียง”

หลินชิงเวยคิดในใจว่าหากเสี่ยวฉียังพูดมากขึ้นอีกสักประโยค นางคงทนไม่ได้แล้วกดศีรษะของเสี่ยวฉีลงไปในอาหารนกพิราบ ให้อาหารนกพิราบเข้าไปในจมูกและปากของเขา

หลินชิงเวยหรี่ตาลงแล้วโบกไม้โบกมือ “ซินหรู เจ้าไปกับเขาเถิด”

ซินหรูจึงตกลงยินยอมไปกับเสี่ยวฉี เสี่ยวฉีพูดกับหลินชิงเวยอีกว่า “หากเจาอี๋เหนียงเหนียงมีความจำเป็นอันใดให้เป่าสิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” พูดแล้วก็ส่งนกหวีดไม้ไผ่อันใหม่ให้กับหลินชิงเวย

หลินชิงเวยพูดน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เข้าใจแล้ว ไสหัวไปเถิด เจ้าดูแลซินหรูให้ดีจะดีที่สุด อย่าได้มีความคิดนอกลู่นอกทางเชียว” นางหรี่ตาจ้องเสี่ยวฉีเขม็ง “ระวังตัวให้ดี”

เสี่ยวฉีเงียบขรึม “พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากเสี่ยวฉีพาซินหรูเดินจากไป หลินชิงเวยมองอาหารนกพิราบในถุง แล้วมองลูกนกพิราบที่กระพือปีกอยู่บนต้นไม้ด้วยสีหน้าท่าทางเจียนจะสติแตก

นางนั่งลงใต้ต้นไม้เพื่อสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งก่อน ต่อมาเห็นลูกนกพิราบเริ่มหิวแล้ว มันบินไปมาระหว่างรังนกและต้นไม้ใหญ่ แต่ไม่เห็นว่าในรังนกมีอาหาร ดูแล้วพวกมันคงเคยชินเสียแล้วที่จะบินกลับมาเมื่อรู้สึกโหยหิว

หลินชิงเวยคิดว่าตนเองหิวแล้วเช่นกัน นางเงยหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่สาดส่องลงมาระหว่างกิ่งไม้ อยากจะด่ามารดาออกมาอย่างทนไม่ไหว ที่นี่มีเพียงอาหารนกพิราบแล้วนางจะกินอะไรเป็นมื้อเที่ยงกันเล่า

หลินชิงเวยมองลูกนกพิราบสีขาวราวหิมะเหล่านั้น สายตาพลันเปล่งประกาย ไม่สู้ย่างนกพิราบมากินตัวหนึ่ง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินชิงเวยจึงโรยอาหารนกพิราบลงบนพื้น เมื่อลูกนกพิราบเหล่านั้นเห็นจึงมองด้วยความละโมบ ทว่าด้านข้างมีหลินชิงเวยที่นั่งอยู่ จะต้องเป็นเพราะสายตาละโมบของหลินชิงเวยทำให้พวกมันตระหนกตกใจ ส่งผลให้พวกมันไม่กล้าเข้าไปกิน

ลูกนกพิราบห้าสิบกว่าตัวเรียงตัวกันเป็นแถว ยืนห่างจากหลินชิงเวยบนพื้นหญ้าราวๆ ห้าก้าว แต่ละตัวเอียงหัวครุ่นคิดมองหลินชิงเวยอย่างทึ่มทื่อ

หลินชิงเวยยิ้มตายิบหยีกวักมือพร้อมกับผายมือไปที่อาหารนก “พวกเด็กๆ มาสิ มากินอาหารกัน มีเพียงพวกเจ้ากินอิ่มแล้วจึงจะสามารถมาเป็นอาหารร้องท้องข้าได้”

บรรดาลูกนกพิราบจ้องมองต่อไป ทว่าไม่เข้ามา

หลินชิงเวยสิ้นความอดทน นางสาดอาหารนกกำหนึ่งออกไป ฝูงนกพิราบจึงเกิดความโกลาหลในชั่วพริบตา พวกมันแย่งชิงอาหารกันพร้อมทั้งจิกกินอาหาร หลินชิงเวยจับจ้องหาโอกาสแล้วพุ่งกายเข้าไปเพื่อจะจับนกพิราบสักตัวสองตัวมาเป็นอาหาร ทว่าอย่าดูว่าพวกมันกินอาหารอย่างไม่เป็นระเบียบ เมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความยุ่งยากกลับไม่วุ่นวาย พวกมันแยกออกเป็นสองฝั่งอย่างว่องไวแล้วบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้

ครานี้ดีนัก ไม่ว่าหลินชิงเวยจะหลอกล่อมันอย่างไร พวกมันก็ไม่ยอมลงมา

นางมิใช่ผู้ฝึกสัตว์มืออาชีพ นางเพียงแต่เลี้ยงงูเป็นเท่านั้น และนางไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่ให้อาหารสัตว์ เหตุใดต้องให้นางมาทำเรื่องยากลำบากเช่นนี้

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นร้องคำรามกับท้องฟ้า ที่ตอบนางกลับมานอกจากเสียงร้องของฝูงนกพิราบบนใต้ไม้และสายลมที่พัดโชยมาแล้วก็ไม่มีอย่างอื่น

เจ้าสุนัขรับใช้เสี่ยวฉีมิใช่สุนัขรับใช้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ในเมื่อเขาเป็นคนพาหลินชิงเวยมาที่นี่กลับไม่ได้ย้ำเตือนให้นางเตรียมอาหารกลางวันมาด้วย หรือต้องการให้นางไปแย่งผลไม้กินกับพวกลิงเหล่านั้น?

เชอะ!

หลินชิงเวยเอนกายนอนลงใต้ต้นไม้ ยังดีที่นกพิราบเหล่านี้ไม่ขับถ่ายเรี่ยราด พวกมันจะบินกลับไปยังบ้านนกเพื่อขับถ่ายแล้วจึงบินกลับมาอีกครั้ง ลำพังแค่ดูจุดนี้ก็รู้ว่าพวกมันเป็นนกพิราบที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี นอกจากบ้านนกที่ส่งกลิ่นเหม็นจากสิ่งขับถ่ายของพวกมันแล้ว สนามหญ้าและต้นไม้ใหญ่ล้วนสะอาดสะอ้าน

หาไม่แล้วหลินชิงเวยคงไม่มีความอดทนรออยู่ที่นี่เนิ่นนานถึงเพียงนี้โดยที่ไม่สติแตกเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่เอนกายอยู่บนสนามหญ้าใต้ต้นไม้และนอนหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว…

ใครใช้ให้นางหิวเล่า นอกจากนอนหลับแล้วยังมีวิธีการอื่นในการแก้ปัญหาความหิวได้อีกหรือ?

แสงตะวันค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลินชิงเวยนอนจนถึงยามบ่าย นางไม่ได้รู้สึกตัวตื่นเองแต่เป็นเพราะเสียงร้อง “กรู๊ๆๆ” ที่ดังอยู่ข้างหู นางลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจเห็นนกพิราบฝูงหนึ่งล้อมรอบตัวของนาง ประสานสายตากับนางด้วยดวงตาใหญ่และดวงตาเล็ก ขาดเพียงไม่ได้วางดอกไม้สดช่อหนึ่งบนหน้าอกของนางแล้วส่งนางเข้าไปในพิธีเผาศพเท่านั้นเอง

ยามนี้นางได้ยินเสียงร้อง “กรู๊ๆๆ” ดังขึ้นอีกครั้ง หลินชิงเวยมองไปที่ท้องของตนเงียบๆ ด้วยเสียงนั้นมิใช่เสียงที่บรรดานกพิราบร้องเรียก แต่เป็นเสียงที่ดังออกมาจากท้องของนาง เงียบสงบเกินไปต่อต้านความหิวไม่ได้

นกพิราบเหล่านี้ล้วนก้มหัวลงมองหน้าท้องของหลินชิงเวย จากนั้นต่างพากันส่งเสียงร้องประสานเสียงกัน “กรู๊ๆๆ”

หลินชิงเวยไม่อยากจะเชื่อว่าที่จริงเสียงร้องของกระเพาะของนางถึงกับดึงดูดให้นกพิราบโง่งมเหล่านี้ประสานเสียงร้องพร้อมกัน

หลินชิงเวยคิดในใจว่าเสี่ยวฉีผู้นั้นเป็นผู้มีตาหามีแววไม่ สะบัดก้นก็พาซินหรูเดินจากไปไม่ย้อนกลับมาอีกเลย ไม่รู้หรือว่านางก็หิวเป็น มาตรว่าเวลานี้คนทั้งสองกำลังเก็บเห็ดใต้ต้นไม้อย่างมีความสุข นางปรารถนาให้ซินหรูเก็บเห็ดดอกหนึ่งให้เขากิน แล้วทำให้เขาต้องพิษตายจริงๆ!

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกของท้องนภา ข้างล่างราวกับมีไฟกองหนึ่งแผดเผาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง สีแดงนั้นทิ่มแทงสายตายิ่งนัก ทำให้สนามหญ้าทั้งผืนและบ้านนกกลายเป็นสีแดงก่ำ

หลินชิงเวยเห็นเหล่าลูกนกพิราบล้วนหยุดอยู่บนสนามหญ้าเล่นกับตัวเอง หลินชิงเวยก็เล่นกับตนเองเช่นกัน ราวกับทุกคนล้วนเล่นจนเหน็ดเหนื่อย ราวกับหลินชิงเวยค่อยๆ ยอมรับความจริงที่ว่านางต้องเป็นผู้ฝึกพวกมัน จึงพูดขึ้นว่า “กลัวข้าถึงเพียงนี้ ต่อไปจะเล่นกับข้าอย่างไรเล่า? เข้ามากินอาหารเถิด ข้าไม่ใช่จะกินพวกเจ้าเสียหน่อย”

พูดแล้วหลินชิงเวยก็ยื่นมือเข้าไปในปากบีบปากแล้วผิวปากเรียกครั้งหนึ่ง แม้นางจะไม่ได้เป็นผู้ฝึกสัตว์มืออาชีพ แต่เรื่องเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กๆ พวกนี้นางพอจะรู้บ้าง พวกมันต้องการสัญญาณชนิดหนึ่งที่จะสื่อสารกับตน วันนั้นเซียวเยี่ยนให้เสี่ยวฉีเรียกพิราบสื่อสารในตำหนักเย็นมิใช่ทำเช่นนี้หรอกหรือ

ทว่านาทีถัดมานางกลับรู้สึกสับสน

เพราะนางเคยชินที่จะบีบปากแล้วผิวปาก นั่นเป็นการเรียกงู…

เพียงไม่นานรอบด้านพลันเกิดเสียงสวบสาบๆ เหล่านกพิราบไม่ฟังสัญญาณเสียงของหลินชิงเวยแต่สัตว์อื่นฟังนี่นา นางเห็นเพียงฝูงงูเลื้อยออกมาจากรอบด้านมุ่งหน้ามายังกลางสนามหญ้า มันส่ายหัวรอคำสั่งจากหลินชิงเวย