EP.147 ภารกิจยากเข็ญ

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.147 ภารกิจยากเข็ญ

ตามดังคาด เว่ยโฉวตอบรับคำสั่งย้ายของฉินเหลย จากหน่วยพยัคฆ์ไปประจำหน่วยองครักษ์อินทรีในทันที แม้ว่าจะได้รับเงินตอบแทนน้อยลงกว่าเก่า เขาก็หาสนใจไม่

ยามตะวันสาดแสง หลินมู่อวี่ขี่ม้ากลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ตามลำพัง

“ท…ท่านกลับมาแล้ว!”

ทหารรักษาการณ์วิหารศักดดิ์สิทธิ์มองเขาด้วยแววตาตื่นเต้น ข่าวลือที่ว่าหลินมู่อวี่ถูกเนรเทศไปยังเจดีย์ทงเทียนได้แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนต่างประหลาดใจที่เขายังมีชีวิตอยู่

หลังจากก้าวเข้าสู่ตัววิหาร เขาเห็นว่าที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เหล่านักปราชญ์และปรมาจารย์ยังคงมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรกันอย่างหนัก ชายผู้หนึ่งขี่ม้าออกมาจากประตูวิหารศักดิ์และพบกับหลินมู่อวี่พอดี ซึ่งบุคคลนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล…เขาคือจางเหว่ย

“จางเหว่ย นั่นเจ้ากำลังจะไปที่ใดกัน?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ

จางเหว่ยมีสีหน้าตกตะลึงปนดีใจที่ได้เห็นคนตรงหน้า แต่แล้วเขาก็เกาศีรษะอย่างเก้ๆ กังๆ “ท่านหลินมู่อวี่…ท่านกลับมาแล้ว! ช่างน่าเสียดายข้ากำลังเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่อื่น”

“เจ้าได้รับการมอบหมายให้ไปที่ใด?”

“ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงได้กรุณาแนะนำเป็นการส่วนตัว ให้ข้าเข้ารับราชการในหน่วยทหารรักษาพระองค์ ข้าจะต้องเป็นแม่ทัพคุมทหารนับพันให้ได้!”

“ข้ายินดีด้วย!”

หลินมู่อวี่เผยรอยยิ้มบางๆ “นี่ถือเป็นการเลื่อนขั้นที่ก้าวกระโดดทีเดียว”

จางเหว่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ความจริงแล้ว…ข้าก็ชอบการรับใช้วิหารศักดิ์สิทธิ์นะ ทว่าข้ามีนิสัยซื่อตรงเลยกลัวจะไปขวางหูขวางตาใครเข้า”

หลินมู่อวี่ตบหน้าอก “ดูสิ…ข้าเองก็ออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วเข้าร่วมหน่วยทหารรักษาพระองค์เหมือนกันมิใช่หรือ?”

“มันไม่เหมือนกัน เพราะท่านยังคงเป็นสมาชิกของวิหารศักดิ์สิทธิ์”

จางเหว่ยหันมองโถงทางเดินพร้อมรำพึง “ข้าจำต้องจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดกาล และกลายเป็นสมาชิกของทหารรักษาพระองค์ ข้า…”

หลินมู่อวี่ตบบ่าจางเหว่ย “ไม่เป็นไร…เจ้ายังคงเป็นเพื่อนข้าเสมอ และที่นี่ก็พร้อมต้อนรับเจ้ากลับมาเช่นเดียวกัน”

“อือ!”

จางเหว่ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “งั้นข้าขอลา”

“หากว่ามีเวลา เราคงได้พบกันอีก”

“ก็จริง…ข้าไปล่ะ”

จางเหว่ยขี่ม้าออกไปอย่างเงียบๆ แผ่นหลังเขาดูอ้างว้างเล็กน้อย

หลินมู่อวี่ผูกม้าไว้ก่อนจะหยิบกระบี่เหลียวหยวนขึ้นมา เดินตรงไปที่ห้องโถงหลักของวิหาร ไกลออกไปที่ศาลากลางน้ำ…เห็นเกอหยางยืนอยู่ เขายิ้มและทักทาย “ทิวาสวัสดิ์ ท่านเกอหยาง”

“อาอวี่…เจ้ากลับมาแล้วเหรอ” เกอหยางหัวเราะดีใจ “ท่านผู้นำพูดไว้ไม่มีผิด ท่านเชื่อมั่นว่าเจ้าจะต้องกลับมา ตามมาสิ…ข้าจะนำทางเจ้าไปพบท่านเดี๋ยวนี้เลย!”

“ขอรับ!”

ณ ห้องโถงหลัก เหล่ยหงนั่งบนเก้าอี้พญาราชสีห์ประจำตำแหน่ง ดวงตาเปล่งประกายแสดงให้เห็นความเฉลียวฉลาดจากภายใน ขณะนั้นเขาเผยรอยยิ้มและเอ่ยวาจา “อาอวี่…รีบเล่าให้ปู่ฟังสิ เกิดอะไรขึ้นบ้างที่เจดีย์ทงเทียน”

หลินมู่อวี่ยืนขึ้นด้วยความเคารพ เขาเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ณ เจดีย์ทงเทียน แต่มิได้เอ่ยถึงราชาปีศาจเจ็ดประทีป เหล่ยหงและเกอหยางฟังอย่างตกตะลึง ไม่นาน…เกอหยางกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ฉินหงจะยังมีชีวิตอยู่ในเจดีย์ทงเทียน หากเป็นตอนนี้เขาคงมีอายุหลายร้อยปีแล้ว…”

เหล่ยหงหรี่ตากล่าวขึ้น “ฉินหงยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตเทวะ…ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะมีชีวิตอมตะ แต่เพียงสามารถชะลออายุของตนเพื่อหลีกเลี่ยงความตายก็เท่านั้น หากเป็นข้า…คงยอมดับสูญเสียดีกว่าต้องต่อกรกับปีศาจนรกโลกันตร์”

เกอหยางยิ้ม “อาหวี่…เจ้าเก่งกาจเสียจริงที่รอดชีวิตกลับมาได้ สมควรแล้ว…ที่กลับมาที่นี่ เจ้ามีบางอย่างต้องทำมิใช่หรือ?”

“ใช่ขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับพร้อมถอดชุดเกราะที่ไหล่ออกมา “ชุดเกราะของหน่วยองครักษ์อินทรีไม่สบายตัวเอาเสียเลย ท่านปู่เหล่ยหง…ชุดเกราะของวิหารศักดิ์สิทธิ์ยังพอเหลืออยู่บ้างหรือไม่ขอรับ ข้าอยากจะขอมาใช้สักสองสามชุด เพราะครั้งที่ข้าทะลุมิติผ่านรอยแยกมาชุดเกราะได้พังไปเสียหมดแล้ว”

เหล่ยหงอดยิ้มไม่ได้ “เจ้ามาเพื่อสิ่งนี้เหรอ? ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าแล้ว…เฮ้ย! ทหาร! นำชุดศึกจ้าวทองคำประจัญบานมาให้อาอวี่เดี๋ยวนี้!”

ประตูเปิดออกพร้อมทหารรักษาการณ์สองนายนำชุดศึกเข้ามาอย่างระมัดระวัง ที่ชุดมีตราสัญลักษณ์แห่งปรมาจารย์ทองคำสลักสีทองอร่ามอยู่

เหล่ยหงยิ้มและกล่าว “ชุดศึกนี้ทำขึ้นตามคำบัญชาของข้า มันทำด้วยแร่เหล็กอาถรรพ์อันล้ำค่าที่มีอายุกว่าพันปี มีศิลาทะยานนภาฝังอยู่ภายใน ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ ที่ได้กล่าวมานี้จะช่วยลดแรงกระแทกเวลาเจ้าต่อสู้ ลองสวมดีหรือไม่?”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่รับชุดเกราะมาด้วยความตื่นเต้น เขาเดินตรงมาที่กลางห้องโถงเพื่อสวมใส่มัน จู่ ๆ ก็มีแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากชุดเกราะที่เขากำลังสวมใส่ทันที…หินสีดำทั้งแปดก้อนที่ถูกฝังอยู่บนชุดเกราะนี้คงจะเป็นศิลาทะยานนภาที่ท่านปู่พูดถึงอย่างแน่นอน ชุดเกราะนี้น่าจะหนักราว ๆ หนึ่งร้อยชั่ง (1 ชั่ง เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม) ทว่าหลินมู่อวี่รู้สึกถึงความหนักไม่ถึงห้าสิบชั่งเสียด้วยซ้ำ คุณสมบัติของชุดเกราะถือว่าเป็นของวิเศษอันล้ำค่าได้เลย เขารีบประสานมือพูดอย่างปีติ “เป็นพระคุณอย่างสูงขอรับท่านปู่เหล่ยหง ข้าถูกใจชุดเกราะนี้มาก”

“ดีแล้วที่เจ้าชอบ!”

เหล่ยหงลูบเคราขาวอย่างแผ่วเบา และกล่าวอย่างเป็นกันเอง “มันถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ช่างตีเหล็กประจำวิหารซึ่งมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วล้า จริงสิ…อาอวี่ เจ้าสมัครเข้าหน่วยองครักษ์อินทรีมิใช่หรือ? จะเดินทางไปรังอินทรีเมื่อใดล่ะ?”

“บ่ายวันนี้ขอรับ”

“เยี่ยม! ปู่จะไม่รั้งเจ้าไว้ หน่วยองครักษ์อินทรีแบกรับภารกิจที่แสนอันตราย ดังนั้นเจ้าควรระวังตัว!”

“ขอรับท่านปู่ อย่างนั้นข้าขอลา”

“ไปเถิด!”

เกอหยางเดินนำเขาออกไปพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อาอวี่…ทั้งเจ้าและจางเหว่ยต่างออกจากที่นี่ไป วิหารของเราคงขาดผู้มีความสามารถอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้มีพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวในรุ่นหลังก็คือ องค์ชายเล็กฉินเหยียน”

หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “องค์ชายเล็กฉินเหยียนทรงรอบรู้และมีพระปรีชาสามารถ เป็นดั่งเพชรที่ต้องการเจียระไน ด้วยการบำเพ็ญเพียรที่ดี…ท่านจะสำเร็จวิชาเป็นผู้ชำนาญการ”

“ถูกของเจ้า อย่างไรเสีย…อาอวี่ เจ้าต้องกลับมาเยี่ยมที่นี่บ้างนะ”

“ได้เลยขอรับ ท่านปู่เกอหยาง”

จากนั้น…เขาเดินทางไปที่สำนักวิจัยโอสถวิญญาณ เพื่อบอกลาฉู่เหยาก่อนเดินทางไปรังอินทรี

ค่ายรังอินทรียึดฐานที่มั่นนอกเมืองหลันเยี่ยน มีหน้าที่หลักสองประการ ประการแรก รายงานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับจักรวรรดิแก่ตำหนักเจ๋อเทียน ประการสอง เข้าป่าล่าสัตว์วิญญาณพร้อมกับแสวงหาศิลาวิญญาณ เนื้อสัตว์ และสิ่งต่างๆ ให้แก่ตำหนัก รังอินทรีจะยุ่งวุ่นวายเสมอในฤดูใบไม้ร่วง นั่นก็เพื่อตุนอาหารสำหรับฤดูหนาว

อาอวี่ควบม้าออกนอกเมืองข้ามถนนเส้นเล็กๆ หลายกิโลเมตร มองเห็นค่ายทหารอยู่ไกลๆ ในเทือกเขาใกล้เมืองหลันเยี่ยนซึ่งเป็นที่ตั้งของรังอินทรี หน่วยองครักษ์อินทรีจัดตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของทหารรักษาพระองค์ ตัวค่ายถูกสร้างอย่างลวกๆ มีกระโจมหลักตั้งอยู่ตรงกลาง บริเวณโดยรอบประกอบด้วยกระโจมรูปร่างประหลาดราวกับว่าถูกสร้างแบบขอไปที ไม่แปลกใจสักนิดที่เฟิงจี้สิงและฉินเหลยเคยกล่าวว่า หน่วยองครักษ์อินทรีนั้นลำบาก…ตอนนี้เขาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว

รังอินทรีแห่งนี้มีทหารรักษาการณ์อยู่ไม่กี่ร้อยนาย ซึ่งทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของอาอวี่ก็ปาไปหนึ่งร้อยสิบนายแล้ว

ขณะที่กำลังควบม้าข้ามภูเขา เว่ยโฉวได้ออกมาต้อนรับ เขาคำนับกองทัพจักรวรรดิพร้อมกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ…ท่านผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุดรออยู่ในกระโจมหลักแล้ว เรียนเชิญท่านโดยเร็วขอรับ”

“นำทางไป”

“ขอรับ!”

ทหารทั้งหมดรีบรุดหน้ามาที่รังอินทรีโดยมีหลินมู่อวี่นำขบวนเหล่าทหารม้า หากมองลงไปจะพบว่าหน้าผาแห่งนี้สูงชันมาก ตัวค่ายตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา…เหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้เรียกหน่วยนี้ว่า รังอินทรี

รังอินทรีประกอบไปด้วยแม่ทัพเจ็ดนายรวมไปถึงหลินมู่อวี่ ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุดนามว่า เมิ่งฟาง ว่ากันว่า…บรรพบุรุษของเมิ่งฟางเป็นถึงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อันมีชื่อเสียงเกรียงไกร ทว่าเมื่อเวลาล่วงผ่านหลายพันปี…ตระกูลเมิ่งแทบจะไม่หลงเหลือผู้มีความสามารถอยู่อีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงแม่ทัพคุมทหารในค่ายเล็กๆ วันใดกันเล่าที่จะได้เป็นตำนานเช่นบรรพบุรุษ?

เมื่อเข้าไปในกระโจมหลัก หลินมู่อวี่ประสานมือเพื่อคารวะก่อนกล่าวว่า “ข้า…หลินมู่อวี่ มาเพื่อรายงานตัวต่อท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ!”

เมิ่งฟางเป็นบุรุษอายุราวสี่สิบปีใบหน้าหยาบกร้าน เขาหัวเราะพร้อมกับลุกขึ้น “หลินมู่อวี่…ในที่สุดท่านก็มาถึง นั่งลงเถิด ท่านมาถูกเวลาเสียจริง”

“มีเหตุอันใดหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่นั่งลงพร้อมเอ่ยถาม

เมิ่งฟางกล่าวอย่างลังเลด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล “ตำหนักเจ๋อเทียนมอบหมายภารกิจรวบรวมวัตถุดิบเมื่อครึ่งเดือนก่อน หน่วยของเราจำต้องแสวงหาศิลาวิญญาณอัคนีอายุมากกว่าสี่พันปีจำนวนสองก้อน ศิลาวิญญาณบรรพตอายุมากกว่าห้าพันปีหนึ่งก้อน ศิลาวิญญาณอรุณอายุมากกว่าห้าพันปีหนึ่งก้อน กวางมหาเมฆาอายุมากกว่าหนึ่งพันปียี่สิบตัว หนังหมาป่าวาโยอายุมากกว่าห้าร้อยปีจำนวนหนึ่งร้อยชิ้น หนังจิ้งจอกเตโชอายุมากกว่าหนึ่งพันปีจำนวนสิบชิ้น และเนื้อสุกรไพรวันหนักรวมหนึ่งพันกิโลกรัม วัตถุดิบเหล่านี้จำเป็นต่อนักพรตในการจัดพิธีประจำปี”

หลินมู่อวี่รู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง เขายิ้มและกล่าวว่า “ภารกิจที่ได้กล่าวมาทั้งหมด หน่วยเราทำสำเร็จไปเท่าใดแล้วขอรับ”

เมิ่งฟางกระแอมเล็กน้อยเผยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “แม่ทัพทั้งเจ็ดนายได้ถูกส่งออกไปทำภารกิจ สี่นายแรกถูกส่งไปมณฑลชางหนานเพื่อทำการสอบสวน สองนายถัดมาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการล่าแกะหินผาอายุหกพันปี ส่วนนายสุดท้ายรับผิดชอบล่าหมาป่าวาโย ดังนั้นในตอนนี้จึงเหลือเพียงเจ้าที่จะสามารถสะสางภารกิจที่เหลืออยู่ได้”

“อย่างนั้นข้าควรเริ่มเมื่อไหร่ดีขอรับ?”

“ยิ่งเร็วยิ่งดี!”

เมิ่งฟางหันหน้าไปทางเมืองหลันเยี่ยนก่อนพูดขึ้น “ข้าขอกล่าวด้วยความสัตย์จริง…ศิลาวิญญาณอัคนีสองก้อนถูกจัดเตรียมเพื่อองค์หญิงซี ส่วนศิลาวิญญาณบรรพตถูกจัดเตรียมเพื่อองค์ชายเล็กฉินเหยียน และศิลาวิญญาณอรุณถูกจัดเตรียมเพื่อพระสนมเอกหยิน ข้าทราบมาว่าท่านแม่ทัพหลินคุ้นเคยกับพวกเขา จึงคิดว่าภารกิจนี้เหมาะสมกับท่านมากที่สุด”

หลังจากกล่าวเสร็จ เมิ่งฟางกระแอมอีกครั้ง “ตามจริงแล้ว…เจ้าเป็นผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในรังอินทรีแห่งนี้ หากเป็นผู้อื่นถูกส่งไปล่าสัตว์วิญญาณอายุห้าพันปี ข้าคงเป็นกังวลว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่…”

“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืน เขาประสานมือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพใหญ่…ท่านจะยกทหารให้ข้ากี่นายขอรับ”

“ทหารห้าสิบนาย รวมองครักษ์อวี้หลินระดับขอบเขตปฐพีสิบนาย เท่านี้เพียงพอหรือไม่?”

“เป็นพระคุณมากขอรับ”

“ไม่ต้องมากพิธีไป…ขอให้ท่านแม่ทัพหลินบรรลุภารกิจ!”

หลังออกจากกระโจมหลัก เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “ท่านแม่ทัพขอรับ…ผู้บังคับบัญชากำลังกลั่นแกล้งพวกเรา เขามอบหมายภารกิจอันยากจะบรรลุ ท่านก็เห็นว่าทหารแห่งกองกำลังจักรวรรดิเพียงเดินไปมาอยู่รอบๆ ค่าย บางนายก็เล่นหมากรุก บางนายก็เพียงออกไปล่าสัตว์ ทว่าเขากลับยัดเยียดภารกิจอันแสนอันตรายให้เรา…น่ารังเกียจ!”

หลินมู่อวี่ถอนหายใจพร้อมกับยิ้มรับ “หยุดพูดเถิด…ถือซะว่าเป็นการมอบหมายภารกิจให้แก่ผู้มีความสามารถ! ไปคัดสรรทหารชั้นยอดเสีย เราจะออกเดินทางเข้าป่าล่ามังกรยามอาทิตย์อัสดง อย่าลืมตรวจสอบเสบียงให้ดี และคิดเสียว่าครั้งนี้เป็นการไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์”

“ขอรับ!”

………………………………….