ตอนที่ 102 เรื่องร้อนใจของต่งชูหลาน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 102 เรื่องร้อนใจของต่งชูหลาน

ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะรายงานถึงรายละเอียดนโยบายนั้นเรียบร้อย ผู้เฝ้าประตูก็เข้ามาบอกว่าองค์หญิงเก้าขอเข้าพบ

ภายในใจฉินปิ่งจงมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย แต่เขาทำได้เพียงลุกขึ้นจากนั้นเดินไปต้อนรับ

หยูเวิ่นหวินยืนอยู่หน้าประตู เอามือกอดอก เมื่อเห็นฉินปิ่งจงเดินออกมา นางก็รีบเดินหน้าไป

ฉินปิ่งจงกำลังจะทำความเคารพ หยูเวิ่นหวินรีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ฉินอย่าได้ทำเช่นนี้ เวิ่นหวินมาโดยไม่ได้กล่าวล่วงหน้าเพราะว่าต้องการพบฟู่เสี่ยวกวน”

เมื่อพูดจบหยูเวิ่นหวินก็ขยิบตาให้ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน จากนั้นจึงเดินตามฉินปิ่งจงเข้าไปในห้องหนังสือ

“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ นโยบายของเจ้า เสด็จพ่อได้อ่านแล้วกล่าวว่าจะใช้เจ้า”

ฟู่เสี่ยวกวนออกอาการดีใจ ยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาญาณอย่างที่คาดไว้จริง ๆ ”

หยูเวิ่นหวินมองค้อนเขา ในใจนางคิดว่าตนนั้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขามากเพียงใด แต่เขากลับยิ้มออกมาอย่างสบายใจเช่นนี้

“ฝ่าบาทได้ทรงตรัสหรือไม่ว่าเมื่อใดจะให้ข้าเข้าพบ ? ”

“ยังมิได้ตรัส แต่คาดว่าจะเป็นหลังงานชิวเหวย”

เอาเถอะ ยังมีเวลาอีก 2 วัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ แล้วหันไปคุยกับฉินปิ่งจงต่อ

“จากที่ข้ารู้มา ปีนี้หลังจากอุทกภัยที่แม่น้ำหวงเหอ อำเภอใกล้เคียงตลอดเมืองต่าง ๆ ราคาธัญพืชได้ปรับสูงขึ้นกว่าเดิม 5 เท่า นโยบายการตรึงราคาข้าวของเจ้าน่าจะได้ผล แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจเท่าไรนัก ผู้ประสบภัยเหล่านั้นจะนำเงินที่ไหนมาซื้อข้าวกัน ? พวกเขาไม่เหลือกระทั่งที่อยู่อาศัย หลังจากอุทกภัยผ่านไป สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก็คือปลูกบ้าน แม้ว่าจะพอมีเงินทองเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องนำมาปลูกบ้านใหม่ มิใช่นำมาซื้อข้าวสาร”

“เรื่องนี้ท่านโปรดฟังข้าอธิบาย ความจริงแล้วหลังจากเกิดภัยพิบัติขึ้น ผู้ประสบภัยจะเดินทางไปยังเขตเมืองข้าง ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบและพำนักชั่วคราว ท่านอย่าได้ดูถูกความกระตือรือร้นของพวกเขาเชียว พวกเขาจะสร้างที่อยู่อาศัยง่าย ๆ ขึ้นสำหรับอยู่อาศัยชั่วคราว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรอให้ทุกอย่างดีขึ้นและสามารถกลับไปยังที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่โดยเร็วที่สุด ในเวลานี้พวกเขาจำเป็นต้องซื้ออาหาร แต่ราคาอาหารในขณะนี้ยังไม่ได้รับการควบคุม และแม้แต่อาหารที่ใช้ในการบรรเทาสาธารณภัยก็เข้าสู่ตลาดขายในราคาสูง ความต้องการอันดับแรกของผู้คนก็คือการมีชีวิตอยู่ และไม่ว่าอาหารจะมีราคาสูงเพียงใด พวกเขาก็จำเป็นต้องซื้อกิน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เงินที่เหลืออยู่ในมืออย่างรวดเร็ว กระทั่งเลือกที่จะขายที่นาเพื่อให้อยู่รอด เมื่อเงินจากการขายที่ดินถูกใช้ไปจนหมด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี “

“ปัญหานี้เกิดจากราคาอาหารที่สูงขึ้น เจ้าของที่ดินและพ่อค้าข้าวกักตุนอาหารเพื่อบรรเทาภัยพิบัติไว้ โดยการสมรู้ร่วมคิดกับทางการ ดังนั้นผู้ประสบภัยจึงมีไม่พอกินต้องแย่งกันซื้อในราคาสูงจนกระทั่งหมดตัว ในขณะที่เจ้าของที่ดินและพ่อค้าข้าวจะใช้โอกาสนี้ซื้อที่ดินในราคาต่ำ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา ! โปรดทราบว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อซื้อที่ดินในราคาต่ำเท่านั้น ! แต่ถ้าราคาอาหารคงที่ ผู้ประสบภัยก็สามารถใช้จ่ายเงินที่เหลืออยู่ในมือของพวกเขาให้ผ่านความอดอยากนี้ไปได้ อีกทั้งผืนนายังอยู่ในมือพวกเขาตามเดิม และสามารถกลับไปทำมาหากินของตนเองต่อไปได้”

“หากทางราชสำนักต้องการซื้อใจประชาชน จงไปปลูกสร้างบ้านเรือนให้พวกเขาใหม่ คาดว่าพวกเขาจะซาบซึ้งในพระคุณไปตลอดชีวิต”

“แท้จริงแล้วความต้องการของประชาชนมิได้มากมายเลย เพียงมีอาหารประทังชีวิต พวกเขาก็พอใจแล้ว”

“หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถจัดการปัญหาผู้ประสบภัยได้ดีขึ้น หากจะทำให้ละเอียดกว่านี้ ควรจะจดทะเบียนสตรีเด็กและคนชรา อีกทั้งให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาหากมีกำลังพอ จัดหาโอกาสในการจ้างงานให้พวกเขาได้เช่น…การสร้างเขื่อนหรือซ่อมกำแพง ใช้แรงงานของตัวเองเพื่อแลกกับค่าจ้าง จะช่วยแก้ปัญหาได้โดยธรรมชาติ “

ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะพูดยาวไปเสียหน่อย แต่เมื่อฉินปิ่งจงครุ่นคิดดูอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็พยักหน้าเห็นด้วย

“แต่หากเป็นเช่นนี้ พื้นที่เหล่านั้นก็จะไม่สามารถถูกกดราคาขายได้ หากฝ่าบาททรงใช้นโยบายของเจ้าจริง เจ้าอาจจะถูกผู้คนมากมายอาฆาตเอาได้”

แน่นอนว่าปัญหานี้ฟู่เสี่ยวกวนคำนึงถึงก่อนแล้ว อย่างไรเสียบัดนี้เขาก็ได้ถูกผู้คนหลายกลุ่มโกรธแค้นอยู่แล้ว หากจะมีเพิ่มอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร

หยูเวิ่นหวินที่เพิ่งเข้ามากลางคันไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ได้ยินเพียงบทสรุปเท่านั้น ยังคิดว่านโยบายนี้น่าสนใจยิ่ง มิน่าเล่าเสด็จพ่อจึงให้ความสนใจ

ต่งชูหลานมีความกังวลเล็กน้อย ข้าราชการต่าง ๆ เปรียบเสมือนแหขนาดใหญ่ที่หว่านล้อมไปทั่ว นโยบายของฟู่เสี่ยวกวนนั้นต้องการยุติการขายไร่นาที่ไม่เป็นธรรม แท้จริงแล้วข้าราชการทั้งหลายจะเสียผลประโยชน์จากตรงนี้ไป ใครจะรู้ได้ว่าข้าราชการคนใดอยู่ฝ่ายไหน ? หรือมีผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้น ? ”

จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนและฉินปิ่งจงก็ได้พูดคุยถึงปัญหาอื่น ๆ ฉินปิ่งจงมีนิสัยเป็นกันเอง เขาคิดว่าสหายของเขาผู้นี้สมควรแล้วที่ทำการผูกมิตรกัน หากนโยบายของเขาถูกนำไปใช้ คงจะเป็นมีผลดีต่อประชาชนและประเทศมากทีเดียว

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้เดินทางออกจากจวนฉิน

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานนั่งรถม้าไปคันเดียวกัน หยูเวิ่นหวินกล่าวขอโทษเรื่องที่เดินทางไปจวนต่ง แต่ต่งชูหลานมิได้ถือโทษเนื่องจากนางรู้ว่าหยูเวิ่นหวินมิรู้เรื่องที่ตนถูกกักบริเวณ

“หลังกลับจากหลินเจียง ข้าก็มิได้ออกมาจากจวนเลย ท่านแม่คอยจับตามองอยู่คล้ายกับจับผิดอะไรบางอย่างได้”

“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร ? ”

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้าเองก็ไม่รู้จะบอกเจ้าเรื่องเสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงอย่างไรดี ทำได้เพียงแอบออกไปยามวิกาลเท่านั้น”

“ตื่นเต้นมากใช่หรือไม่ ? ”

“เจ้ามิอยากลองดูบ้างหรือ ? ”

“ต้องอยากแน่ มิเช่นนั้น…คืนพรุ่งนี้ข้าก็แอบออกมาบ้างเป็นยังไง ? ”

……

……

ต่งชูหลานเดินเข้าไปทางประตูใหญ่ของจวนต่งอย่างกล้าหาญ

ห้องโถงด้านหน้ายังคงมีไฟส่องสว่าง นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นตั้งสติชั่วครู่และเดินเข้าไป เสนาบดีต่งและฮูหยินกำลังนั่งอยู่ที่ด้านใน

เมื่อนางเดินเข้าไป เสนาบดีต่งวางหนังสือลงและมองไปที่นาง เอ่ยถามว่า “ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”

ต่งชูหลานตกตะลึง เสนาบดีต่งเอ่ยต่อไปว่า “เขามีเรื่องวิวาทกับเยี่ยนซีเหวินที่หลานถิงจี๋ จากนั้นพวกเขาได้เดินทางไปหอซื่อฟางด้วยกัน แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่พ่อต้องการถามเจ้าคือ เหตุใดเขาจึงกล่าวว่าเจ้าคือคู่หมั้นของเขา ? ”

ท่าทางเรื่องนี้จะหลุดไปถึงหูท่านพ่อเสียแล้ว แต่ต่งชูหลานได้เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้

“ลูกและฟู่เสี่ยวกวนให้คำมั่นสัญญากันแล้วว่าจะเป็นคู่กันตลอดไป”

จากเดิมต่งชูหลานคิดว่านางต้องใช้ความกล้าหาญมากในการเอ่ยประโยคนี้ออกมา แต่แท้จริงแล้วไม่ยากเท่าไร อีกทั้งเมื่อเอ่ยจบกลับโล่งใจกว่าเดิม

“ไร้สาระ ! ”

ต่งคังผิงฟาดหนังสือลงไปที่โต๊ะ “เรื่องใหญ่โตเพียงนี้เหตุใดเจ้ากล้าทำโดยไม่คิด ! พ่อจะบอกเจ้าตรงนี้ว่า เจ้าและฟู่เสี่ยวกวนไม่มีทางเป็นไปได้ ! ”

ต่งชูหลานฟังด้วยความสงบ ต่งคังผิงสูดลมหายใจเข้าและเอ่ยด้วยเสียงต่ำว่า “เดิมทีเจ้ามีสติปัญญาหลักแหลม เหตุใดเรื่องนี้จึงได้โง่เขลานัก ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรของพ่อค้าที่ดิน เขามิได้มีตำแหน่งทางราชการสักน้อย และบัดนี้เนื่องจากความไม่รู้ของเขาที่ช่วยผู้ประสบภัยไว้กว่าสามหมื่นคน กำลังสร้างความเดือดร้อนมาแก่เขา เจ้ารู้หรือไม่ ? ”

“พ่อจะบอกกับเจ้าว่า ไม่เกินหนึ่งเดือนตระกูลฟู่แห่งหลินเจียงจะอันตรธานไป เพราะเหตุนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร เจ้าก็มิอาจแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนได้ ! ”

“ในวันนี้เยี่ยนซือเต้าเดินทางมาพบพ่อ เยี่ยนซีเหวินกำลังจะเข้ารับตำแหน่งที่ต่างแดน ส่วนเรื่องของเจ้าทั้งสองนั้น ก่อนที่เยี่ยนซีเหวินจะเดินทางออกจากเมืองหลวง จะต้องจัดการให้เสร็จสิ้น ! ”