อวี้ถังเบิกตากว้าง รู้สึกราวกับคางของตัวเองแทบจะหลุดลงมา
“คุณชายใหญ่…คุณหนูกู้จะแต่งกับคุณชายใหญ่…เป็น เป็นคุณชายใหญ่ของจวนสกุลเผยอย่างนั้นรึ? ลูกชายของนายท่านใหญ่ หลานของท่าน?” นางเอ่ยอย่างกระอึกกระอัก ในสมองราวกับถูกติดหนึบ ไร้ทางที่จะนึกคิดอันใด ทำได้เพียงอาศัยความสามารถพูดออกมา “เช่นนั้นสกุลหยาง ก็เป็นสกุลมารดาของนายหญิงใหญ่?”
ไฉนนางจึงคิดว่าเผยเยี่ยนจะเกี่ยวดองกับกู้ซีได้กัน?
อวี้ถังเอ่ยอย่างสับสนมึนงง ก่อนหน้านี้นางเคยถามเผยเยี่ยน เผยเยี่ยนตอบกลับนางว่า ‘เช่นนั้นก็อย่าพูด’ แต่ ‘เช่นนั้นก็อย่าพูด’ ไม่ใช่ว่าจะมีความหมายปฏิเสธเสมอไปเสียหน่อย!
ทั้งเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจังด้วย!
ยามนี้อวี้ถังจึงเพิ่งรู้ตัวว่า เผยเยี่ยนนั้นกำลังเย้าแหย่นางอยู่!
ชั่วขณะนั้นใบหน้านางก็ร้อนฉ่า ข่มโทสะไว้ไม่ไหว ตะโกนใส่เผยเยี่ยนทันที “ท่าน ท่านดูข้าเล่นตลกมาโดยตลอด!”
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีกแล้ว?” เผยเยี่ยนเชิดคางมองนาง แววตาที่มองนางราวกับกำลังมองเด็กน้อยที่พาลหาเรื่อง “เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าที่จู่ๆ ก็มาพูดต่อหน้าข้า บอกว่าเจ้าไม่ถูกกับกู้ซี กู้ซีไม่เหมาะกับข้า ข้าครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ค่อนวัน คิดว่าคำพูดเจ้ามีเหตุผล ปฏิเสธงานแต่งของสกุลกู้ เพียงคาดไม่ถึงว่าเจ้ากลับพูดกล่อมข้าได้ ผลปรากฏว่าพี่สะใภ้ใหญ่กลับกระโดดลงไปในหลุมเสียก่อน ยามนี้ไม่ใช่ว่าข้ากำลังกลัดกลุ้มว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้หรอกรึ?”
อวี้ถังไม่มีหน้าจะพูดกับเผยเยี่ยนอีกแล้ว ไม่พูดพร่ำอันใด ก็หมุนกายวิ่งหนีทันที
เผยเยี่ยนทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
อวี้ถังวิ่งออกมาจากสวน ก็ยังคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะของเผยเยี่ยนลอยมาตามหลัง
ไฉนนางจึงโง่งมเช่นนี้?
เหตุใดนางจึงคิดว่าเผยเยี่ยนเป็นคนที่เก่งแต่ในตำรากัน คิดว่าแม้เขาจะสามารถเรียนรู้จัดการเรื่องในเรือนได้ดี ก็ย่อมบกพร่องในเรื่องมนุษย์สัมพันธ์…แต่เมื่อมองยามนี้กลับเห็นได้ชัด ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็รู้ดีทั้งนั้น!
ไม่แปลกที่นางจะถูกเผยเยี่ยนหัวเราะเยาะ
อาหมิงวิ่งตามอย่างกระหืดกระหอบ ตะโกนเรียก “คุณหนูอวี้!”
อวี้ถังอยากจะก้มหน้าก้มตาเดินหนีอย่างยิ่ง แต่ระหว่างตรอกเสี่ยวเหมยไปยังเรือนนางอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณสองเค่อ ทั้งเกี้ยวที่นางจ้างไว้ก็ยังรออยู่ที่ห้องพักเกี้ยว แม้นางคิดจะหลบก็คงหลบไม่พ้น
อวี้ถังทำได้เพียงหยุดฝีเท้า ทำท่าราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แสร้งถามอาหมิงอย่างใจเย็น “มีอะไรรึ? เจ้าเรียกข้าไว้มีเรื่องสำคัญอะไรกัน?”
อาหมิงเอ่ยว่า “นายท่านสามบอกให้ข้าใช้เกี้ยวในจวนไปส่งท่านกลับเรือนขอรับ ทั้งยังให้ข้าถือของว่างสองกล่องมา กล่าวว่าให้ท่านนำกลับไปให้นายหญิงอวี้ชิมขอรับ เป็นของที่เพิ่งส่งมาจากเมืองหลวงเมื่อวาน มีความแตกต่างจากขนมทางใต้ของพวกเราอย่างยิ่งขอรับ” เขาอธิบายราวกับกลัวอวี้ถังไม่ยอมรับ “ข้าจัดการเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว ท่านตามข้ามาเถิดขอรับ นายท่านสามของเรายังกล่าวว่า ภายหลังหากมีคนของสกุลท่านมาหา ให้นำทางไปที่พ่อบ้านสามโดยตรงเลยขอรับ”
สกุลที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากสกุลเผยนั้นมีไม่มาก ในเมืองหลินอัน ยิ่งไม่มีเกียรติอันใดจะสูงส่งไปกว่านี้อีกแล้ว
สีหน้าของอวี้ถังนั้นแข็งทื่อ ตัดสินใจแล้วว่าภายหลังจะไม่ทำตัวฉลาด วิ่งไปหาเผยเยี่ยนก่อนอีกแล้ว
ในสมองของนางว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงเรือนได้อย่างไร
—
ด้านเผยเยี่ยนกลับไม่อาจหยุดหัวเราะได้
คุณหนูผู้นี้ของสกุลอวี้ น่าสนใจจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าสายตาในการมองคนของเขายังนับว่าพอใช้ได้ ไม่อย่างนั้นตอนแรกยามที่เห็นนางแอบอ้างชื่อสกุลเผยหลอกลวงผู้คน ก็คงจะรู้สึกไม่พอใจ คิดว่าคุณหนูผู้นี้เป็นตัวก่อเรื่องไปแล้ว
ยามนี้เข้าใจผิดคิดว่าเขาจะผูกสัมพันธ์กับสกุลกู้ คาดไม่ถึงว่าจะวิ่งมาตักเตือนเขา
หากเขาไม่ฟัง ไม่รู้ว่านางจะทำเหมือนครั้งก่อนที่ทำลายงานแต่งระหว่างสกุลกู้และสกุลหลี่หรือไม่ คิดหาวิธีแยก ‘เขาและสกุลกู้’ ออกจากกัน
ความคิดพวกนี้วาบขึ้นมาในสมอง เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างเลือนราง
หรือเขาไม่ควรจะเรียกนางกลับมาอีกครั้ง ควรปล่อยให้นางเข้าใจผิด จากนั้นก็ดูว่านางจะใช้วิธีอะไรมาทำลายงานแต่งของ ‘เขาและสกุลกู้’? แต่ว่า หากรอนางกลับสกุลอวี้ นางไปได้ยินข่าวลือเอง เช่นนั้นเขาก็ย่อมไม่เห็นปฏิกิริยาที่น่าขบขันเมื่อครู่ของนาง เมื่อคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่ารั้งตัวนางไว้ ให้นางรู้ความจริงของเรื่องนั้นดีที่สุดแล้ว
เผยเยี่ยนพึงพอใจยิ่ง รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดเท่าที่เคยประสบพบเจอมาในหลายวันนี้
นี่ทำให้ชูชิงที่ตามเข้ามาเพราะได้ยินเรื่องที่สกุลเผยและสกุลกู้อาจจะเกี่ยวดองกัน ถึงกับหยุดฝีเท้าอย่างประหลาดใจ เอ่ยอย่างงุนงง “เกิดเรื่องน่าดีใจอันใดก่อนที่ข้าจะเข้ามาหรือขอรับ?”
เผยเยี่ยนเก็บรอยยิ้ม เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่มี ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” แต่เมื่อพูดจบ แววตาของเขากลับปรากฏรอยยิ้มออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ชูชิงสงสัยอยู่เต็มอก แต่เผยเยี่ยนเอ่ยปฏิเสธเขาแล้ว เขาย่อมไม่อาจมากความ ทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ รอมีเวลาค่อยหยั่งเชิงเผยเยี่ยนอีกที เขาเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาพบเผยเยี่ยน “เรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่ ก็ปล่อยให้สกุลหยางยุ่งวุ่นวายเช่นนี้หรือขอรับ? เกี่ยวดองกับสกุลกู้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่สำหรับคุณชายใหญ่แล้วกลับไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”
เผยเยี่ยนส่ายศีรษะ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหน็บแนม “เจ้าคิดว่าสกุลหยางไม่รู้หรอกรึ? แต่พวกเขากลัวว่าข้าและท่านแม่จะวางแผนเรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่ จึงยอมให้เรื่องนี้ตกมาอยู่ในมือก่อน ยิ่งไปกว่านั้นสองปีมานี้กู้ฉ่างก็แสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม คาดว่าคงไม่อยากจะยุ่งเรื่องทางนั้นแล้ว แบบนี้ก็ดี ภายหลังจะเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้ายก็เป็นพวกเขาที่เลือกกันเอง ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษข้าว่าไม่ได้ขัดขวางก็พอ”
ชูชิงถอนหายใจ
เผยเยี่ยนอดเอ่ยไม่ได้ “ช่างโง่งมเสียจริง! กระทั่งเด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องราวอันใดล้วนรู้ว่างานแต่งครั้งนี้ไม่มีประโยชน์ เขาเป็นบุรุษแท้ๆ กลับฟังคำพูดของสตรี ให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น แม้ภายหลังจะรับราชการ ข้าว่าคงจะเป็นข้าราชการที่โง่เขลา ไม่ทำร้ายชีวิตคนอื่น ไม่ก่อเรื่องเดือดร้อนให้วงศ์สกุลก็ดีแค่ไหนแล้ว”
เด็กสาว?
ชูชิงคิดกลับไปกลับมา รู้สึกคล้ายกับตัวเองเข้าใจอะไรขึ้นมา ทั้งไม่กล้าเชื่อในการคาดเดาของตัวเองอยู่บ้าง
หากนายท่านสามมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ ตำแหน่งฐานะของทั้งสองคนย่อมแตกต่างห่างไกลกันเกินไป เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว!
เขาขบคิดในใจ เผยเยี่ยนกลับกล่าวออกมา “เรื่องนี้เกรงว่ายังต้องให้เจ้าออกหน้า ดูว่าสกุลหยางและสกุลกู้จะพูดอย่างไร ข้าคร้านจะแจกแจงรายละเอียดยิบย่อยกับพวกเขาเหมือนพ่อค้าขายปลีกแล้ว เรื่องพวกนี้มอบหมายให้เจ้าก็เพียงพอแล้ว”
ชั่วขณะนั้นชูชิงก็ปวดศีรษะอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงรับปากไป
—
ด้านอวี้ถังกลับถึงเรือน อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง
นางแปลกใจขึ้นมา เวลานั้นเหตุใดตัวเองจึงมั่นใจว่าการเกี่ยวดองระหว่างสกุลเผยและสกุลกู้เป็นเผยเยี่ยนและกู้ซีกัน? นางถึงได้เข้าใจผิดออกมาเช่นนี้ เช่นนั้นพวกคุณหนูของสกุลเผยล่ะ? ไม่รู้ว่ายามที่พวกนางทราบว่ากู้ซีจะแต่งให้เผยถง คุณชายใหญ่บ้านใหญ่ของสกุลเผย ยามที่รู้ว่ากู้ซีกลายเป็นพี่สะใภ้ของพวกนางจะมีสีหน้าอย่างไรกัน?
พรุ่งนี้นางยังต้องตามสตรีของสกุลเผยไปอารามดับทุกข์…หากเผยเยี่ยนทำเหมือนครั้งก่อน ตามพวกนางไปที่อารามดับทุกข์ด้วย เช่นนั้นไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้นางต้องพบกับเผยเยี่ยนอีกแล้วรึ?
อวี้ถังนั่งไม่ติดที่ขึ้นมาทันที
เผยเยี่ยนผู้นั้นปกติก็เคร่งขรึมเย็นชา อย่าพูดว่ายิ้มเลย แต่คำพูดดีๆ ก็แทบไม่มี วันนี้กลับหัวเราะเสียงดังยังไม่ห่วงภาพลักษณ์ต่อหน้านาง ดีใจอย่างกับอะไรดี พรุ่งนี้หากพบหน้าเขา ยังไม่รู้ว่าจะหยอกล้ออะไรนาง?
พรุ่งนี้นางไม่ไปอารามดับทุกข์แล้วได้หรือไม่?
อวี้ถังครุ่นคิดในใจ หาข้ออ้างอะไรก็คล้ายจะฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น
หรือพรุ่งนี้นางต้องไปอารามดับทุกข์กับเผยเยี่ยนจริงๆ?
อวี้ถังคิดเล็กคิดน้อยในใจ กุมขมับคุกเข่าอยู่ข้างธรณีประตู
หากมีรอยแยกออกมา นางก็คงจะมุดลงไปทันที
แต่จู่ๆ เหตุใดสกุลกู้จึงเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านใหญ่ของสกุลเผยกัน?
นางจำได้ว่ายามที่กู้ซีอยู่เรือนนอก ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกับนายหญิงใหญ่นัก ก่อนหน้านี้กู้ซีก็มีใจให้เผยเยี่ยนมาตลอด เหตุใดจึงตกลงปลงใจจะแต่งให้เผยถง? หรือเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจแล้ว? หรือว่าคุณหนูสกุลใหญ่และนางมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน? ก่อนหน้านี้มีคนกล่าวว่า สกุลใหญ่ที่สามารถแต่งงานกับคนที่ฐานะคู่ควรมีเพียงไม่กี่สกุล ทั้งตัวเลือกก็มีน้อยนัก เป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ กู้ซีจึงได้เปลี่ยนแปลงความคิด?
ไม่ว่าจะอย่างไร กู้ซีไม่ได้แต่งให้เผยเยี่ยน ในใจของอวี้ถังก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่งแล้ว
คนสกุลเฉินให้นางช่วยทำถุงเท้าสองคู่ให้หลานตัวน้อยที่ยังไม่เกิด นางรีบรับปากทันที
“เกิดอะไรขึ้นรึ?” คนสกุลเฉินเอ่ยกับป้าเฉินอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่กล่าวว่าออกไปซื้อปิ่นดอกไม้ลูกปัดหรอกรึ? ไม่ได้ซื้อปิ่นกลับมา ไฉนคนจึงเหมือนถูกอะไรทุบสมองไปเสียแล้วล่ะ เอาแต่ยิ้มเป็นคนโง่อยู่ตรงนั้น?”
ป้าเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงจะพบเรื่องดีอะไรมากระมังเจ้าคะ?”
อวี้ถังได้ยินคำพูดของป้าเฉินก็ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม
ภายหลังกู้ซีต้องถูกภรรยาของเผยเยี่ยนควบคุม เห็นภรรยาของเผยเยี่ยนต้องคำนับอย่างนอบน้อม ขานว่า “อาสะใภ้” คิดดูแล้วก็ทำให้นางรู้สึกเงยหน้าอ้าปากได้อีกครั้ง
นางก็ไม่จำเป็นต้องออกจากหลินอันแล้ว
อวี้ถังเอ่ยเสียงดัง “ท่านแม่ วันนี้พวกเราทำน้ำแกงผักฉุนไช่[1]ใส่ปลาดีหรือไม่เจ้าคะ? บนถนนนำผักฉุนไช่มาขายเต็มไปหมด!”
คนสกุลเฉินตั้งใจหยอกล้อนาง เอ่ยแค่นเสียง “เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้ผักฉุนไช่ครึ่งกิโลขายเท่าไร? แพงยิ่งกว่าเนื้อเสียอีก เจ้าอยากกินผักฉุนไช่อย่างนั้นรึ? ต้องรอหลายวันหน่อย ไม่อย่างนั้นก็รอพรุ่งนี้ยามที่เจ้าตามท่านแม่เฒ่าเผยไปอารามดับทุกข์ ดูว่าคนของอารามดับทุกข์จะให้การต้อนรับเจ้าหรือไม่”
อวี้ถังยู่ปาก ไม่ได้พยายามจะออดอ้อนอะไรนางต่อ
แต่เมื่อถึงยามบ่าย นางยังคงลอบส่งซวงเถาไปพบคุณหนูห้า ถามนางว่าพรุ่งนี้เผยเยี่ยนจะไปอารามดับทุกข์ด้วยหรือไม่
ครั้งนี้คุณหนูห้าตอบด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง นางเอ่ยว่า “ในเรือนมีเรื่องเล็กน้อย เกรงว่าอาสามของข้าจะไม่ว่าง แม้แต่ท่านย่าของข้า พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปอารามดับทุกข์ได้หรือไม่ ส่วนเป็นเรื่องอะไรนั้น ไม่อาจอธิบายได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงเวลานั้นพวกเราพบหน้ากันค่อยพูดกันเถิด”
อวี้ถังสงสัยว่าเป็นเรื่องเชื่อมสัมพันธ์ของสกุลเผยและสกุลกู้
แต่เผยเยี่ยนไม่ไปอารามดับทุกข์ ก็ทำให้นางสบายใจไม่น้อย
เช้าตรู่วันถัดมา นางก็เข้าไปจวนสกุลเผย
เผยเยี่ยนและท่านแม่เฒ่าไม่ว่างดังที่คาด ผู้ที่พาพวกนางไปคือท่านแม่เฒ่าอี้และนายหญิงรอง แต่พวกคุณหนูของสกุลเผยล้วนทราบว่ากู้ซีจะเกี่ยวดองกับเผยถง คุณหนูห้านั่งในรถม้าเอ่ยกับอวี้ถังเสียงเบา “พวกเราตกใจเสียยกใหญ่ ญาติผู้พี่ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบแปดปี ทั้งยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ พวกเราต่างคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องรอออกจากช่วงไว้ทุกข์แล้วค่อยกำหนดงานแต่งกัน อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าลือกันว่าญาติผู้พี่มีใจให้ญาติผู้น้องสกุลมารดาของเขาที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กหรอกรึ? ไฉนจู่ๆ จึงแต่งกับพี่กู้ได้? หรือไม่กี่วันที่ผ่านมา ยามที่พี่กู้มาเป็นแขกในเรือนบังเอิญไปต้องตาป้าสะใภ้ใหญ่เข้า?”
————————
[1]ผักฉุนไช่ เป็นพืชน้ำ มีลักษณะคล้ายใบบัว