สวนซิ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเยี่ยจิง ซึ่งจวนฉินอ๋องก็ตั้งอยู่ทางทิศเหนือเช่นเดียวกัน
ตลอดการเดินทาง อวิ๋นหว่านชิ่นมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้าอยู่เป็นระยะ ดูไปแล้ว สวนซิ่งอยู่ไม่ไกลจากจวนฉินอ๋องเท่าไหร่
จวนฉินอ๋องแม้เงียบสงบ แต่ก็ยังอยู่ข้างถนนใหญ่ ทว่าสวนซิ่งนั้น รถม้าวิ่งไปๆ ก็ยิ่งห่างไกลความเจริญไปเรื่อยๆ พอเลี้ยวตรงถนนสายเล็กๆ ที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ ก็ไม่เห็นแม้เงาคนอีก แต่ยังพอจะเห็นไร่นาและควันไฟอยู่ห่างออกไปรอบนอก โดยในไร่มีชาวนาสวมงอบกำลังก้มๆ เงยๆ ทำนาอยู่
รถม้าวิ่งไปตามถนนสายเล็กๆ ราวครึ่งชั่วยาม ก็วิ่งช้าลง และจอดในที่สุด
อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์ลงจากรถตามหลังคนทั้งสอง เห็นกระท่อมมุงแฝกหลายหลังอยู่ด้านหน้า ดูไปแล้วเหมือนหมู่บ้านขนาดเล็กแถบชานเมืองแห่งหนึ่ง มีลำธารคดเคี้ยวเลี้ยวลด น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา สองฟากฝั่งของลำธาร สตรีชาวบ้านสองสามกลุ่มนั่งซักผ้า ล้างผัก พลางพูดคุยยิ้มหัว ข้างๆ มีเด็กเล็กจำนวนหนึ่ง วิ่งเล่นไปมาอย่างสนุกสนาน
เป็นภาพที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและสงบสุข
ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน พอกลุ่มชาวบ้านเห็นเหยากวงเหย้า ก็เดินเข้ามายกมือทักทาย
“หมอเหยามาสวนซิ่งเหรอ”
อีกคนอุ้มเด็กทารกเข้ามาขอบคุณ “หมอเหยา ลูกชายข้าดีขึ้นแล้ว ที่ท้องร่วงน่ะ ขอบคุณหมอเหยามาก”
“พ่อข้าขาหัก มาให้ท่านรักษาเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้ลงเดินได้บ้างแล้ว” ชายคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม หอบเอาเนื้อแดดเดียวกับปลาตากแห้งที่ทำเองมามัดหนึ่ง ยัดใส่มือของเหยากวงเหย้า
ซึ่งเหยากวงเหย้าก็มิได้ปฏิเสธ รับเนื้อกับปลาไว้
“เนื้อนิ่ม ปลาสด อืม ให้ข้าเอามาแกล้มเหล้าได้พอดี”
จากนั้นก็มีชาวบ้านอัธยาศัยดี ใสซื่อและเรียบง่าย เดินเข้ามาห้อมล้อมเหยากวงเหย้าจากทุกทิศทุกทาง ถ้าไม่ทักทาย ก็นำสุราอาหาร ผักผลไม้ที่บ้านตนปลูกเองทำเองมาให้
เหยากวงเหย้ายิ้มรับตาหยี ไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด เห็นชัดว่าเขาสนิทสนมกับชาวบ้านมาก ทั้งท่วงท่าและการพูดจาล้วนไม่มีพิธีรีตอง ดุจญาติสนิทมิตรสหายที่คบกันมานานหลายปีอย่างไรอย่างนั้น
กลุ่มชาวบ้านล้อมเข้ามาพูดคุยกับเขาสักพัก ก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป พอเหยากวงเหย้าหลุดออกจากวงล้อมมาได้ ก็พาคนทั้งสามเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างทาง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ยิ้มพลางพูดเสียงต่ำ
“คุณหนูใหญ่ หมอหลวงเหยานี่ เป็นขวัญใจของคนในหมู่บ้านเชียวนา”
ท่าทางสวนซิ่งอยู่คู่หมู่บ้านมานานพอสมควร เป็นโรงหมอแห่งเดียวในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูเงียบสงบ ไม่มีใครรู้จัก มิน่าเล่าชาวบ้านถึงได้รักและให้ความสำคัญเช่นนี้
พอเดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน ก็เห็นบ้านก่ออิฐสีส้มชายคาเขียวหลังเล็กตั้งอยู่ตรงหน้า แม้ไม่หรูหรา แต่เก๋ไก๋
สดใส เรียบง่ายและสง่างาม
เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นว่าชานบ้านเก็บกวาดได้อย่างสะอาดสะอ้าน ทั้งซ้ายและขวาปลูกต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งมีชุดโต๊ะเก้าอี้หินทรงกลม บนโต๊ะทำเป็นกระดานหมากรุก ใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งทำเป็นระแนงหลังคา แล้ววางแคร่และเก้าอี้ไม้ไผ่ไว้ ให้นั่งเล่นหย่อนใจ บนประตูบ้าน มีป้ายชื่อจารึกชื่อ ‘สวนซิ่ง’
ป่าซิ่ง[1] เป็นสัญลักษณ์ของหมอจีน น่าจะเป็นที่มาของชื่อโรงหมอ ฟังดูกระชับ ไม่โฉ่งฉ่าง แต่คมคาย ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังคิด เหยากวงเหย้าก็เรียกทุกคนเข้าไปด้านใน
ภายในบ้านไม่ต่างจากร้านขายยาทั่วไปในเมือง มีตู้ลิ้นชักไม่แดงสูงราวครึ่งจั้ง (1.65 เมตร) อยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งยาสมุนไพรก็ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักเหล่านี้ ส่วนตู้เก็บของที่อยู่ข้างๆ ใช้เก็บเครื่องมือต่างๆ อย่างตาชั่ง ช้อนตวง ครกบดยา หลอดยาเป็นต้น ตอนค้นคว้าสูตรสมุนไพรอยู่ที่บ้าน อวิ๋นหว่านชิ่นก็มักใช้ของเหล่านี้ จึงคุ้นเคยดี
ส่วนอีกด้าน วางโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้ไว้ทั้งสองด้าน น่าจะเป็นที่ๆ จับชีพจรและตรวจโรคให้กับผู้ป่วย
หญิงวัยกลางคนสวมชุดยาวสีเขียว โพกผ้าไว้บนศีรษะ กำลังกวาดพื้นอยู่ตรงระเบียง พอเห็นเหยากวงเหย้ามากับคนกลุ่มหนึ่ง ก็วางไม้กวาดลง แล้วเดินตามมา ตอนนี้จึงก้าวออกมายิ้ม แล้วว่า
“หมอเหยา” พอหันไปเห็นแขกซึ่งเป็นหญิงสาว ก็โค้งศีรษะให้ แล้วแนะนำตัว
“ข้าแซ่อวี๋ เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเช่นกัน ปกติเวลาที่หมอเหยาไม่อยู่ ข้าจะมาทำความสะอาดสวนซิ่งทุกวัน พวกท่านนั่งพักผ่อนก่อน ข้าจะไปรินน้ำชามาให้”
น้าอวี๋ครองตัวเป็นโสด ไม่มีลูกไม่มีหลาน ถูกว่าจ้างให้มาทำงานบ้านตั้งแต่สร้างสวนซิ่งเสร็จ ซึ่งงานนี้นอกจากทำให้นางหาเลี้ยงชีพได้แล้ว ก็ยังทำให้นางมีอะไรทำฆ่าเวลาไปวันๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นน้าอวี๋แต่งตัวสะอาดสะอ้าน แม้อยู่ในวัยกลางคน แต่หน้าตาก็ยังดูดีมีเสน่ห์ พูดจาฉะฉาน จึงยิ้มตอบ แล้วว่า
“ทำเลของหมู่บ้านไม่เลว ห่างไกลจากความวุ่นวายในเมือง หนทางเข้าออกก็สะดวกสบาย ขนาดข้าอยู่ในเมือง ยังไม่รู้ว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย หมู่บ้านมีมาแต่เมื่อไหร่ ไม่ทราบว่าชื่อหมู่บ้านอะไร”
น้าอวี๋อึ้ง อ้าปากน้อยๆ เหลือบมองเหยากวงเหย้า
เหยากวงเหย้าเพียงยิ้มพลางโบกมือ “เอาล่ะๆ ทำงานบ้านเสร็จ เจ้าก็ไปชั่งยาห่อยาตามที่ข้าบอก พอห่อเสร็จ สักพักคุณหนูอวิ๋นจะได้เอากลับไป” ว่าแล้วก็พูดชื่อยาพร้อมปริมาณยาให้ฟัง
ปกติน้าอวี๋ได้ช่วยเหยากวงเหย้าดูแลชาวบ้านที่มาหาหมอด้วย จึงคุ้นเคยกับชื่อยาต่างๆ ดี
พอนางขานรับ เมี่ยวเอ๋อร์จึงพูดขึ้นอย่างคล่องแคล่ว “บ่าวไปช่วยน้าอวี๋อีกแรง” ว่าแล้วก็เดินตาม เข้าหลังบ้าน ไปต้มน้ำชาในห้องครัว
เหยากวงเหย้าหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเมื่อครู่
“หมู่บ้านนี้เพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีชาวบ้านอาศัยอยู่สิบแปดครัวเรือน โดยเพิ่งมาอยู่รวมกันเมื่อห้าหกปี
ก่อน จึงยังไม่ได้ตั้งชื่อหมู่บ้าน”
ยังไม่ได้ตั้งชื่อหมู่บ้าน? อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง
เยี่ยนอ๋องที่ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดเสียงเบา
“ชาวบ้านสิบกว่าครัวเรือนที่ว่า ล้วนเป็นผู้ติดเชื้อจากโรคระบาดครั้งใหญ่ในรอบสิบสองปีของรัชศกหนิงซี พอติดเชื้อ พวกเขาก็ถูกคนในบ้านและเพื่อนบ้านไล่ออกจากหมู่บ้านเดิม จึงยอมให้ทางการพามากักไว้แถวชานเมือง โดยแต่ละคนมีอาชีพและสถานะหลากหลาย มีทั้งแม่และเด็ก สามีภรรยา วัยรุ่นที่ติดเชื้อกันทั้งกลุ่ม”
โรคระบาดครั้งใหญ่นี้ ทั้งรุนแรงและแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าติดเชื้อก็แทบจะเป็นตายเท่ากัน อีกทั้งยังติดต่อกันได้ง่ายด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เสี่ยงเอามากๆ บ้านสกุลอวิ๋นซื้อข้าวปลาอาหารสำหรับหนึ่งเดือนมาเก็บไว้ในห้องใต้ดิน เตรียมค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ให้พร้อม จากนั้นก็สั่งห้ามไม่ให้บ่าวออกจากบ้านโดยพลการ เพราะกลัวจะติดเชื้อกลับมา ทางการยังมีหมอเฉพาะทางมาตรวจโรคให้ถึงบ้านตามเวลาที่กำหนดอีก ถ้าซ่อนตัวผู้ติดเชื้อไว้ในบ้านโดยไม่แจ้ง คนทั้งบ้านก็จะถูกลงโทษ และผู้ติดเชื้อก็จะถูกนำตัวไป
ผู้ติดเชื้อที่อยู่ในเมือง ไม่มีโรงหมอที่ไหนรับรักษา พวกเขาจึงถูกเจ้าหน้าที่ทางการไล่ต้อนให้ไปอยู่ชานเมือง แล้วปล่อยให้เสียชีวิตไปเอง ผ่านไปครึ่งเดือน ทางการถึงส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บศพ ได้ยินมาว่า กระทั่งศพ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่กล้าขนเข้ามา เกรงว่าจะเป็นพาหะ จึงต้องขุดหลุมใหญ่ในที่รกร้าง โยนศพลง แล้วจุดไฟเผา พูดได้ว่าน่าเวทนามาก
ซึ่งคนในหมู่บ้านนี้ก็คือ ผู้ป่วยโรคระบาดในตอนนั้น ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้?
——
[1] ป่าซิ่ง หรือซิ่งหลิน เป็นถิ่นกำเนิดแพทย์แผนจีนตามตำนาน ต้นซิ่ง คือต้นแอปริคอท เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในจีน ผลเล็กกว่าลูกท้อ ผลกลม มีร่องกลางผลชัดเจน เปลือกบาง มีขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีเหลือง