บทที่ 157 นักพรตหญิง

คู่ชะตาบันดาลรัก

ทั้งสี่คนโดดเด่นมากไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายกันออกไป

อาหว่านเดินลากหมิงเวยแล้วก็เห็นรอยแตกขนาดใหญ่ตรงก้อนหินหลังพุ่มไม้จึงยัดนางเข้าไป “ท่านซ่อนตัวให้ดีเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็คุกเข่าอยู่ด้านข้างพร้อมรับมือ

เมื่อเทียบกับเสียงฆ่าฟันทางด้านนั้นแล้วตรงนี้ถือว่าเงียบกว่ามาก

อาหว่านเห็นนางมีสีหน้ากังวลใจจึงพูดออกไปอย่างยากลำบาก “ท่านวางใจเถอะ คุณชายได้เรียกสายลับหวงเฉิงซือที่อยู่ระหว่างทางมาแล้วในขบวนมียอดฝีมือไม่น้อยพวกเขาไม่เสียเปรียบง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”

ผู้ใดจะรู้ว่าหมิงเวยเหลือบมองนางแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้เป็นห่วงคุณชายของท่านเสียหน่อย”

“….” อาหว่านด่าตัวเองปากเสียเงียบๆ รู้อยู่แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร ทำไมต้องหาเรื่องทำให้ตนเองอารมณ์ไม่ดีด้วย

คิดแล้วก็ไม่สบายใจจึงถามออกไป “แล้วท่านเป็นห่วงใครหรือเจ้าคะ”

หมิงเวยถอนหายใจแล้วถามนาง “ครอบครัวทางด้านนั้น การคุ้มกันแน่นหนาหรือไม่”

อาหว่านฟังแล้วก็เข้าใจอดไม่ได้ที่จะถากถาง “ตอนอยู่ที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ท่านไม่เห็นจะไว้หน้าพวกเขาสักนิดจะมากังวลอะไรตอนนี้กันเจ้าคะ”

“เรื่องสองเรื่องเอามารวมกันไม่ได้” นางพูด “แม้พวกนางจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่อะไรหลายๆ อย่างทำให้พวกนางไม่มีทางเลือกและโทษที่ควรได้รับก็ไม่ถึงตาย”

อาหว่านฟังน้ำเสียงกลุ้มใจของนางแล้วก็เงียบ ผ่านไปสักพักนางก็หัวเราะกับตนเอง “โลกนี้นี่ไม่ยุติธรรมจริงๆ ผู้ที่ทำผิดคือบุรุษ ทำไมครอบครัวต้องมาโชคร้ายไปด้วย เรื่องทุกอย่างพวกเราไม่ได้ทำเสียหน่อย”

หมิงเวยมองนาง “เจ้ากำลังระบายความรู้สึกอยู่ใช่หรือไม่”

แล้วอาหว่านก็ดุร้ายขึ้น “เกี่ยวอะไรกับท่านด้วยเจ้าคะ!”

หมิงเวยกลับไม่สนใจแล้วพูดต่อช้าๆ “ข้าดูโชคของเจ้า พูดตามเหตุผลเจ้ามีชาติกำเนิดที่สูงส่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ตกต่ำขนาดไปเป็นสาวใช้ของผู้อื่นแน่”

อาหว่านเลิกคิ้ว “สาวใช้แล้วอย่างไรเจ้าคะ ท่านเคยเห็นสาวใช้ผู้ใดเก่งกาจเท่าข้าบ้าง ข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถของคุณชาย ท่านอย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย”

หมิงเวยเลิกคิ้ว “ผู้ใต้บังคับบัญชางั้นหรือ หรือว่าเจ้าไม่ใช่สาวใช้ตระกูลโหวแต่เป็นคนจากหวงเฉิงซือ”

อาหว่านร้องเฮอะ “แล้วอย่างไรเจ้าคะ ข้าจะบอกท่านให้ ข้ามีแผ่นป้ายสายลับตามจริงแล้วท่านต้องเรียกข้าว่าใต้เท้าด้วยซ้ำ!”

หมิงเวยหุบยิ้มแล้วยกมือประสานกัน “ข้าน้อยเสียมารยาทจริงๆ”

อาหว่านร้องหึแล้วหันหน้าไปทางอื่นไม่สนใจหมิงเวยอีก แต่แววตาของนางดูหม่นหมอง ชาติกำเนิดสูงส่งงั้นหรือ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนริมฝีปากของนาง

หมอกด้านนอกหนาขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง อาหว่านรู้สึกถึงความผิดปกติ “ทำไมฟ้ามืดเร็วขนาดนี้กัน”

หมิงเวยตอบเสียงเบา “เพราะนี่เป็นข่ายพลังยังไงล่ะ” พูดจบนางก็ออกมาจากรอยแตกของหิน

อาหว่านรีบพูดออกไป “ท่านออกไปทำไมเจ้าคะ กลับเข้ามาซ่อนเร็วเข้า”

แต่หมิงเวยกลับจับมือนางแทน “ออกมา พวกเราต้องทำลายข่ายพลังนี้ซะ”

อาหว่านตกใจและถูกอีกฝ่ายลากออกมาจนเซ “อะไรนะเจ้าคะ”

“ข่ายพลังนี้ร้ายแรงเราจะละเลยมันไม่ได้” หมิงเวยเดินไปพูดไป “มันจะแยกพวกเราออกจากกันและโจมตีรายคน”

“มันทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ”

“ใช่แล้วมันทรงพลังมาก” หมิงเวยมองท้องฟ้าที่มืดขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผู้ที่สร้างข่ายพลังนี้แข็งแกร่งมาก”

อาหว่านอดไม่ได้ที่จะถามต่อ “แข็งแกร่งกว่าท่านหรือไม่เจ้าคะ”

หมิงเวยชะงักก่อนจะตอบไปว่า “วิชาไม่สูงไปกว่าข้า แต่พลังแข็งแกร่งกว่าข้า”

อาหว่านคิดในใจ นางไม่ได้พูดไร้สาระใช่หรือไม่พลังของนางในตอนนี้…เดี๋ยวนะ นางหมายความว่านางมีความรู้เคล็ดวิชาเป็นอย่างดี แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความต่างนี้ใช่หรือไม่

หมิงเวยเลิกคิ้วนางสำรวจบริเวณรอบๆ อย่างระมัดระวัง เสียงต่อสู้ค่อยๆ ห่างไกลออกไป แต่นางไม่สนใจหรอก ตั้งแต่มาถึงยุคสมัยนี้นางไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเลยสักครั้ง

นายท่านสามก็แค่ผู้เชี่ยวชาญที่รู้เพียงผิวเผิน ซูรื่อฉู่เป็นเสวียนชื่อที่แท้จริง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมุ่งเน้นไปที่วรยุทธ์เสียมากกว่า เคล็ดวิชาของเขาอยู่เพียงระดับปานกลางเท่านั้น แต่ผู้ที่ลงมือในวันนี้ทำให้นางรู้สึกถึงอันตราย

อย่างแรกคือหมอก อย่างที่สองคือท้องฟ้าที่มืดมิด ดูจากข่ายพลังแล้วไม่ปรากฏร่องรอยเลยแม้แต่นิดเดียว

นี่คือยอดฝีมือที่แท้จริง!

หากตนยังอยู่ในจุดสูงสุดการพบเจอยอดฝีมือเช่นนี้นางไม่กลัวที่จะต่อสู้ด้วยเลย แต่ในตอนนี้ด้วยพลังอันเล็กน้อยในร่างกายเป็นเรื่องยากมากที่นางจะรับมือ

“เกิ้นซานตุ้ยซื่อ เฉียนอีคุนอู่” นางพึมพำเสียงเบาและดึงอาหว่านเดินผ่านพุ่มไม้และก้อนหินอย่างรวดเร็ว

อาหว่านรู้สึกสับสนและรู้สึกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไป

นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านไม่ได้ตั้งใจสอนข้าหรือเจ้าคะ ข้าถึงได้ไม่เห็นอะไรผิดปกติเลย”

หมิงเวยเหลือบมองนางแล้วตอบกลับไป “เคล็ดวิชานั้นกว้างขวางลึกล้ำยิ่งใหญ่ไพศาล ในตอนนี้เจ้าอยากเรียนรู้อะไรล่ะ ข้าเรียนรู้คาถาขั้นพื้นฐานตั้งแต่สามขวบใช้เวลาสิบกว่าปีไม่หยุดแม้แต่วันเดียว เมื่อข้าอายุได้ประมาณเจ้า ท่านอาจารย์ถึงได้บอกว่าข้ามีความรู้ความชำนาญระดับปรมาจารย์แล้ว”

อาหว่านพูดไม่ออก “ท่านใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะเป็นปรมาจารย์หรือเจ้าคะ”

“ก็ไม่มาก เพียงยี่สิบปี” ในขณะที่พูดอยู่ ทันใดนั้นหมอกเบื้องหน้าก็ขยายกว้างขึ้นเผยให้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนแท่นบูชาและยังมีคนในชุดดำหลายคนคอยปกป้องอยู่ด้านข้าง

นางชี้มือ “ฆ่าพวกเขาซะ!” อาหว่านไม่มีเวลาให้ถามอะไรเพิ่มเติม นางดึงกริชออกมาแล้วรี่เข้าไปหา คนชุดดำพวกนั้นไม่คิดว่าพวกนางจะปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขางุนงงอยู่พักหนึ่งแล้วหนึ่งในนั้นยกนกหวีดขึ้นและกำลังจะเป่า

อาหว่านยกมือขึ้นและลูกธนูก็พุ่งออกไปยิงชายคนนั้น พริบตาเดียวพวกเขาทั้งหมดก็ล้อมวงกัน วรยุทธ์ของอาหว่านนั้นไม่ธรรมดาแม้ศัตรูมีหลายคนก็ไม่มีทางล้มนางได้ง่ายๆ

เมื่อมีนางคอยสกัดกั้นให้หมิงเวยจึงเดินไปที่แท่นบูชาอย่างสบายๆ นางมองกลวิธีการจัดวางแล้วก็หัวเราะเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นคนที่หนานเหยียนส่งมา” นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็จัดการเปลี่ยนแท่นบูชาเล็กน้อยแล้วท้องฟ้าก็สว่างขึ้นทันที

อาหว่านจัดการฆ่าชายชุดดำคนสุดท้ายเสร็จก็ถามนางเสียงหอบ “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“เรียบร้อยแล้ว” หมิงเวยหันไปมองนางแล้วเลิกคิ้ว “มือของเจ้า…”

อาหว่านก้มลงมองหยิบผ้าออกมาให้นางช่วยพันแผลให้แล้วตอบ “คนพวกนี้วรยุทธ์ไม่ได้อ่อนแอ…”

พูดจบนางก็ยกกริชขึ้น “ผู้ใดกัน!” ในสายหมอกมีสตรีนางหนึ่งเดินออกมาอย่างช้าๆ ดูจากวัยแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบต้นๆ นางสวมชุดนักพรตของลัทธิเต๋าตัวใหญ่ มือถือแส้ขนหางจามรี สีหน้าท่าทางดูใจดีมีเมตตา

“เมตตา กรุณา” นางก้าวเดินอย่างมั่นคงจนไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองแล้วโค้งคำนับมองหมิงเวยด้วยรอยยิ้ม “สหายตัวน้อยช่างเก่งกาจยิ่งนัก สามารถหาสถานที่กางข่ายพลังได้ในเวลาอันสั้น”

นับตั้งแต่ที่ได้เห็นแท่นบูชาหมิงเวยก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักยิ่งเมื่อเห็นนักพรตหญิงผู้นี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหมดได้ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันแล้ว นางมองไปที่แท่นบูชาเบื้องหน้าแล้วหันไปมองนักพรตหญิงอีกครั้ง จากนั้นก็ถามออกไป

“ท่านเทพจงใจให้ข้ามาที่นี่งั้นหรือ” นักพรตหญิงพยักหน้า

หมิงเวยพูดเสียงขรึม “นี่เป็นกลวิธีของหนานเหยียน เท่าที่ข้ารู้พวกเขาไม่มีลูกศิษย์หญิงไม่ทราบว่าท่านเทพเป็นผู้ใดกัน”

นักพรตหญิงยิ้ม “ข้ามีนามว่าชิงหลิน” อย่างไรนางก็ไม่พูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตนเองกับหนานเหยียน

อาหว่านมองอีกฝ่ายอย่างระวังตัว “ท่านพานางมาที่นี่คิดจะทำอะไรกันแน่”

ชิงหลินมองนางแล้วยิ้ม “จะจับโจรให้จับหัวหน้า”

พูดจบนางก็สะบัดแส้ขนหางจามรีแล้วขนหางพวกนั้นก็พุ่งเข้าหมายจะรัดตัวอาหว่าน

อาหว่านตกใจนางยกกริชขึ้นเพื่อโต้กลับ ผู้ใดจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของนักพรตหญิงนั้นไม่ธรรมดาเปลี่ยนไม่กี่กระบวนท่าก็ทำให้กริชของนางร่วงหล่นกับพื้น

“หนีไป!” อาหว่านร้องบอกหมิงเวย

……………………