บทที่ 162: ไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็ง

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 162: ไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็ง

สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรในยุคสมัยของวินสเตอร์และอิซาเบลลา?

เนื่องจากโรเอลถูกส่งตัวเข้ามายังมิติแห่งนี้อย่างกะทันหันเกินไป เขาจึงไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบข้อมูลสำคัญ ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยบันทึกมากมายที่เด็กชายอ่านมาจนถึงตอนนี้ เขาก็สามารถทำแผนที่ชีวิตของวินสตอร์ออกมาคร่าว ๆ จนพอที่จะคาดเดาสถานการณ์ได้บ้าง

ปัจจุบันคือยุคที่สาม ปี 261

นี่เป็นปีที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักประวัติศาสตร์ทุกคนในอนาคต เนื่องจากเป็นปีที่เกิดสงครามครั้งแรกระหว่างมนุษยชาติและพวกกลายพันธุ์

สำหรับมนุษยชาติ​ มันคือช่วงเวลาอันมืดมนและน่ากลัว ความสนใจของทุกคนต่างมุ่งไปที่การสู้รบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น ณ ชายแดนด้านตะวันออก โดยไม่สนใจชายแดนทางใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโซเฟียที่เข้าถึงได้ยาก และมีเพียงน้อยคนที่จะรู้จัก การทำสงครามกับพวกกลายพันธุ์ทำให้วรรณกรรมและบันทึกจำนวนมากสูญหายไป ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติเป็นอย่างมาก

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแทบไม่มีบันทึกใด ๆ เกี่ยวกับอาณาจักรโซเฟียหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตามตอนนี้โรเอลเพิ่งได้รู้ว่าอาณาจักรโซเฟียในปัจจุบัน หรืออย่างน้อย ๆ จักรพรรดินีอิซาเบลลาก็ไม่ได้แยกตัวออกจากอาณาจักรอื่นจนมัวแต่เพลิดเพลินในสวรรค์แห่งความมั่งคั่งที่สร้างขึ้นอย่างที่ลือกัน

“หกภัยพิบัติ? มันคืออะไรหรือคะ พี่สาวอิซาเบลลา?”

“โอ้? วินสเตอร์ไม่ได้บอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยเหรอ? อืม ก็พอเข้าใจได้ เขาค่อนข้างปากหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้”

เมื่อได้ยินคำถามของชาร์ล็อต อิซาเบลลาก็วางศีรษะลงบนแขนของเธออย่างสบาย ๆ จากนั้นครู่ต่อมาหญิงสาวก็หัวเราะอย่างเชื่องช้าก่อนจะพูดต่อ

“ข้าเองก็คิดว่าข้าควรจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากเอกลักษณ์ของตระกูลเรา ทุกคนบนเรือจึงรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว ดังนั้นยังไงข้าก็คงไม่สามารถปิดบังมันจากพวกเจ้าได้ โรเอล เจ้าได้อ่านจดหมายแล้วใช่ไหม เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่า ‘ไข่’ หมายถึงอะไร?”

“เดี๋ยวนะ หรือว่า…”

“ใช่แล้ว กองเรือทองคำได้รับคำขอจากสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำให้ขนส่งไข่ของหกภัยพิบัติ”

ระหว่างที่อิซาเบลลากำลังอธิบายเรื่องนี้ เธอก็เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อมองดูธงสีขาวของเรือที่กำลังโบกสะบัดขึ้นไปบนท้องฟ้า หญิงสาวหยิบแก้วขึ้นมาจิบไวน์เล็กน้อย ปล่อยให้เป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามคำถามด้วยเสียงอันนุ่มลึกหนักแน่น

“พวกเจ้าสองคนเชื่อในโชคชะตารึเปล่า?”

“โชคชะตา?”

คำถามของอิซาเบลลา ทำให้โรเอลและชาร์ล็อตตกตะลึง โรเอลแสดงความสับสนในคำถามที่ทำให้เขาสับสน ในขณะที่ชาร์ล็อตซึ่งคุ้นเคยกับหัวข้อนี้มากกว่า หยุดลงครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมาอย่างช้า ๆ

“โชคชะตาเป็นคำที่กว้างมาก มันครอบคลุมหลายเรื่องมากเกินไป คำตอบจึงอาจแตกต่างกันมาก​ ขึ้นอยู่กับหัวข้อเฉพาะเจาะจง ดิฉันขอทราบได้ไหมว่าพี่สาวหมายถึงโชคชะตาแบบไหนกัน?”

“อืม ถ้าข้าต้องให้คำนิยามละก็ คงเป็นชะตากรรมของมนุษยชาติ”

“หา?”

คำตอบของอิซาเบลลาทำให้ชาร์ล็อตขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจ ขณะเดียวกัน​ โรเอลไม่เข้าใจว่าการสนทนานี้มีความหมายถึงอะไร และอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ

การดูดวงแบบวันต่อวันไม่เพียงพอที่จะทำให้พึงพอใจกันแล้ว พวกเธอเลยเริ่มทำนายวันโลกาวินาศกันงั้นเหรอ?

โรเอลนึกถึงตำนานคำทำนายแปลกประหลาดทั้งหมดที่เขาเคยได้ยินเมื่อปี 2542 และ 2555 ในอดีตชาติ​ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคำพูดของอิซาเบลลาไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป แม้ว่าไฮเอลฟ์จะมีฝีมือในด้านการทำนายโชคชะตา แต่ความจริงแล้ว การทำนายชีวิตคน ๆ เดียวนั้นยากมาก โดยเฉพาะในโลกที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติทุกประเภทแบบนี้ การพยายามที่จะทำนายชะตากรรมของมนุษยชาติทั้งหมด คงเป็นอะไรที่งมงายไร้ประโยชน์มาก ๆ

หากจะเปรียบเทียบแล้ว โชคชะตาก็เหมือนด้ายนับไม่ถ้วนที่ตัดผ่านกัน มีความซับซ้อนอยู่มากมาย เพียงแค่การเคลื่อนไหวของด้ายเส้นเดียวก็มีผลกระทบสะเทือนทั่วเครือข่าย ชะตากรรมของมนุษยชาติที่ถูกทำนายเอาไว้มันจึงฟังดูไร้ความหมาย เนื่องจากมันมีตัวแปรความแปรปรวนมากเกินไป

แม้แต่ชาร์ล็อตที่มีความรู้ในด้านนี้ ก็ยังรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว

อิซาเบลลาสังเกตเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเด็กสาว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ จักรพรรดินีเพียงแต่หมุนถ้วยไวน์อย่างสงบ ก่อนจะโยนคำถามที่สองออกไป

“นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลากว่า 200 ปีแล้วที่พวกเราอพยพเข้ามายังสวรรค์แห่งใหม่นี้ และมวลมนุษยชาติก็เริ่มฟื้นฟูกลับขึ้นมา ด้วยรากฐานของอารยธรรมใหม่ ระเบียบใหม่จึงค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ ผ่านความยากลำบาก และผู้เสียสละมากมาย แต่พวกเราก็สามารถเอาชนะภัยพิบัติต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญหลังสิ้นสุดยุคที่สองมาได้ อย่างไรก็ตามพวกเจ้าเคยลองคิดถึงมันบ้างไหม?”

“เมื่อนานมาแล้ว ในสมัยโบราณที่พวกเราทำได้เพียงแค่มองดู ผ่านตำนานที่สืบทอดกันมา เคยมีตัวตนที่มีอารยธรรมและพลังเหนือธรรมชาติอันเหลือเชื่อ พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาหายไปไหนล่ะ?”

“เอ๊ะ? หรือว่า…”

คำถามของอิซาเบลลาทำให้ทั้งโรเอลและชาร์ล็อตต้องตกตะลึง

ตระกูลผู้มีพลังเหนือธรรมชาติและตระกูลขุนนางในปัจจุบัน ล้วนสืบทอดสายเลือดโบราณอันทรงพลัง ยกตัวอย่างเช่น ตระกูลเซไซต์ พวกเขาได้สร้างอาณาจักรอันทรงอำนาจ และศาสนาที่ทรงอิทธิพล โดยครอบครองทั้งสองอย่างนั้นมาเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปี

คำถามก็คือ…แล้วทูตสวรรค์จริง ๆ หายไปไหนกัน?

ไม่ใช่แค่ทูตสวรรค์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีทั้งพวกยักษ์ ไฮเอลฟ์ และเผ่าพันธุ์โบราณอีกมากมาย พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดล้วนมีคาถาอันทรงพลังและเทคโนโลยีขั้นสูง พวกเขาสร้างอารยธรรมอันรุ่งเรืองล้ำหน้าไปกว่ามนุษย์ในปัจจุบันมาก แล้วพวกเขาหายไปไหนกัน?

นี่เป็นคำถามที่เกินคำตอบของโรเอลและชาร์ล็อต อันที่จริงอาจไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ บนโลกนี้ ที่สามารถให้คำตอบอันชัดเจนแก่ปริศนานี้ได้

อย่างไรก็ตามความตั้งใจของอิซาเบลลาไม่ใช่การบอกให้พวกเขารีบเร่งค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปริศนาลึกลับของโลกนี้ หญิงสาวจิบไวน์อีกครั้ง ก่อนที่จะเปิดเผยความจริงบางส่วนที่เธอรู้ออกมา

“พวกเขาถูกทำลาย หายไปทั้งหมด อารยธรรมอันเจริญรุ่งเรืองเหล่านั้นได้พังทลายลง กลายเป็นซากปรักหักพังภายใต้กระแสเวลาอันไร้ความปราณี มีเหตุผลที่เป็นไปได้หลายประการ เช่น สงคราม โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติที่สร้างขึ้นเอง มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวที่อารยธรรมที่มีอำนาจทรงพลังเหล่านั้นกลับมีเวลาที่เปราะบางด้วยเช่นกัน”

“โชคชะตามีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน่าประหลาด ไม่ว่ากับเผ่าพันธุ์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือกับมนุษยชาติ ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ อนาคตของพวกเขานั้นไม่มีความแน่นอนเสมอ เพียงแต่ว่า…บางครั้งเมล็ดพันธุ์แห่งโชคชะตาก็ซุ่มซ่อนอยู่ภายในความมืด”

ด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง อิซาเบลลาได้เปิดเผยความจริงข้อหนึ่งของโลกนี้ แก่เด็ก ๆ ทั้งสอง

“อารยธรรมบางส่วนไม่ได้ถูกทำลายด้วยวิธีการทางธรรมชาติ และต้นเหตุของพวกมันก็คือหกภัยพิบัติที่มารดาแห่งเทพธิดาทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”

“ถูกทำลาย? มารดาแห่งเทพธิดา?”

“หกภัยพิบัติ? มันคืออะไรกันแน่…”

การเปิดเผยนี้ทำให้เด็ก ๆ สับสนยิ่งขึ้น พวกเขาต่างก็ร้องขอคำตอบเกี่ยวกับคำถามนี้ในทันที รูม่านตาของโรเอลค่อย ๆ ขยายออกในขณะที่เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเข้าใกล้หนึ่งในความลับอันสำคัญของโลกนี้อย่างช้า ๆ

“หกภัยพิบัติ คือชื่อที่ตระกูลของพวกเรา เรียกพวกมันในเพลงพื้นบ้านที่สืบทอดกันปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น ‘มารดาแห่งเทพธิดาหลับตา พระอาทิตย์ทมิฬลอยขึ้นเหนือฟากฟ้า ความโกลาหลและหายนะหลุดรอดมาจากนัยน์ตาของนาง ธารน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก ความร้อนแผดเผา ความทุกข์ทรมาน และเสียงร้องไห้อันโศกเศร้า พวกมันลงมายังโลกด้วยกายาอันสมบูรณ์ พวกเราเรียกพวกมันทั้งหกว่า ทัณฑ์สวรรค์’ ข้อความนี้ถูกตัดตอนมาจากบทกวีของไฮเอลฟ์ ที่เรียกว่าบทกวีของฟูเลียร์”

อิซาเบลลาท่องส่วนหนึ่งของเพลงพื้นบ้านด้วยท่วงทำนองไพเราะก่อนจะส่ายหน้า

“ในตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ามักจะคิดว่าเพลงพื้นบ้านนี้เป็นเพียงแค่ตำนานอันน่าสยดสยอง แต่เมื่อโตขึ้น ข้าก็รู้ว่า ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของตำนานนี้ด้วยเช่นกัน”

หลังจากนั้น อิซาเบลลาก็เริ่มเปิดเผยความลับอีกประการหนึ่งให้แก่โรเอลและชาร์ล็อต เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของมนุษย์ โดยใช้องค์กรหรือบางครั้งก็ทั้งอาณาจักรเพื่อบรรลุเป้าหมาย พวกเขาเป็นกลุ่มนักปราชญ์ที่มีวิสัยทัศน์มองไปไกลเกินกว่าโครงสร้างของเวลาและห้วงมิติเพื่อเป็นสักขีพยานของประวัติศาสตร์ที่แท้จริง

สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ

นี่คือกลุ่มคนที่เลือกจะอุทิศชีวิตตนเอง เพื่อป้องกันการสูญสลายของอารยธรรมมนุษย์

หกภัยพิบัตินั้นได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ถือกำเนิดขึ้นมา หลังจากการสูญสิ้นของตัวตนสูงสุดที่รู้จักกันในชื่อ มารดาแห่งเทพธิดา พวกมันเป็นศูนย์รวมความน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดบนโลก คล้ายคลึงกับคำสาปในกล่องของแพนโดร่า ภัยพิบัติเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะศัตรูของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ร่องรอยของพวกมันสามารถพบได้จากการล่มสลายของอารยธรรมโบราณหลายแห่ง

จุดมุ่งหมายสูงสุดของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ คือการกำจัดตัวตนแห่งการทำลายล้างเหล่านี้

อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองในอดีตกาล มนุษยชาติเสียเปรียบในการทำสงครามกับหกภัยพิบัติ เพราะขาดซึ่งสติปัญญา แม้จะด้วยความพยายามอันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของสมาชิกสมัชชานักปราชญ์แห่งพลบค่ำตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็สามารถหาร่องรอยของพวกมันได้เพียงสามอย่างเท่านั้น

โรเอลจับราวบันไดที่เย็นเฉียบของเรือเอสเอส เซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นเรือธงของกองเรือทองคำขณะที่ก้มลงไปมองด้านล่างด้วยความตกตะลึง ลมเย็นที่พัดมาจากเบื้องล่างทำให้ใบหน้าของเขาเย็นยะเยือกไปด้วย

ของเหลวสีทองที่หมุนวนอยู่ภายในเรือ กำลังล้อมรอบเศษน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน เศษน้ำแข็งนั้นมีความกว้างน้อยกว่าหนึ่งเมตร และมีเงาอยู่ภายใน ภาพเงานั้นดูเหมือนเป็นตัวอ่อนของบางสิ่งบางอย่าง ชวนให้นึกถึงทารกที่ซุกตัวอยู่ในครรภ์มารดา

“นั่นคือไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็ง พวกเราเจอมันโดยบังเอิญระหว่างต่อสู้กับชาวเผ่าทะเล ทว่าตอนที่เราได้พบมัน พื้นที่รอบ ๆ ทะเลก็ได้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาไปแล้ว ถ้าพวกเรามาช้ากว่านี้สองเดือน ตอนนี้ที่นี่เองก็คงจะกลายเป็นธารน้ำแข็งด้วยเช่นกัน และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะไม่มีใครสามารถหามันเจอได้อีก”

อิซาเบลลามองไปยังศัตรูด้านล่าง พร้อมเริ่มแบ่งปันประสบการณ์รวมถึงกระบวนการที่เธอใช้เรือตัดน้ำแข็งทุบเส้นทางผ่านภูเขาน้ำแข็งและเก็บไข่ดังกล่าวมา แค่ฟังกระบวนการก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โรเอลต้องสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง

ความเยือกเย็นเป็นศัตรูตัวยงของอารยธรรมส่วนใหญ่ การขจัดความอดอยากและโหยหาความอบอุ่นเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีเพื่อความอยู่รอด เพราะถ้าหากพวกเขาล้มเหลวในการแสวงหาสองปัจจัยนั้น มันก็อาจจะส่งผลไปสู่ความตายได้ โดยผู้สร้างธารน้ำแข็งนั้นคือหายนะแห่งความเย็นยะเยือก

แม้จะอยู่ในสภาพที่ยังไม่ฟักตัว แต่ผู้สร้างธารน้ำแข็งก็สามารถแช่แข็งทะเลรอบ ๆ จนกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งได้ โรเอลแทบจะจินตนาการถึงความน่ากลัวของมันไม่ออกเมื่อหกภัยพิบัติตัวนี้ถือกำเนิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรู้ว่ายังมีพวกมันอีกห้าแบบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลก รอคอยวันที่จะได้มาเยือนอารยธรรมมนุษย์ ก็ทำให้โรเอลรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ

“ว่ากันว่าดินแดนของคนแคระ อเลฟอร์เต้ ถูกทำลายด้วยคาถาเวทอันเยือกเย็นที่กินเวลานานหลายทศวรรษ ตอนแรกข้าก็เคยคิดว่ามันเป็นเพียงแค่นิทาน แต่เมื่อได้เห็นสิ่งนี้…”

อิซาเบลลาพ่นไอหมอกสีขาวออกมาพร้อมถอนหายใจ เมื่อได้ยินว่าผู้สร้างธารน้ำแข็งเคยได้ออกอาละวาดมาแล้ว ทั้งโรเอลและชาร์ล็อตก็ตกตะลึง

“ฝ่าบาท ท่านตั้งใจจะจัดการกับไข่ใบนี้อย่างไร? จากรูปลักษณ์ในปัจจุบัน ไข่นี่แค่ถูกปิดผนึกเอาไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้นใช่ไหมคะ?”

“ใช่แล้ว เราผนึกมันเอาไว้อยู่ในตอนนี้ พูดตามตรงนี่คือทั้งหมดเท่าที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้ ความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงของหกภัยพิบัติ คือมันเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดพวกมันโดยสมบูรณ์ แทนที่จะเรียกพวกมันว่าสิ่งมีชีวิต ให้พวกเจ้ามองว่าพวกมันเป็นกฎเกณฑ์ดูจะเหมาะสมกว่า…”

คำพูดของอิซาเบลลาทำให้หัวใจของโรเอลพลันหล่นวูบ พลังอำนาจของไข่ที่มันแสดงออกมาให้ได้เห็น เป็นหลักฐานยืนยันถึงศักยภาพในการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของมันได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกใจเลย ที่มันสามารถทำลายล้างอารยธรรมจนสูญสิ้นได้ มนุษย์จะสามารถรับมือกับอะไรแบบนี้ได้อย่างไร…

โรเอลครุ่นคิดพลางขมวดคิ้วแน่น แต่ก่อนที่เขาจะนึกอะไรออก จู่ ๆ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นในใจของเขา

【กริ๊ง!】

【ตรวจพบศิลาแห่งมงกุฎ】

【กำลังเริ่มขั้นตอน ‘การสร้างพลังสายเลือดใหม่’…】